วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555


เพราะที่นี่คือ ประเทศไทย

ปฏิบัติการ "ป๋า" ภาค 2 สู้ "นารีพิฆาต" 
กับปากคำ "บิ๊กบัง" เรื่อง "ป๋า" 
และการเมืองแสนซับซ้อน ในมุม "ประยุทธ์"


รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1651 หน้า 15

ความอ่อนนุ่มแห่งอิสตรีของนายกรัฐมนตรีหญิง หรือแผนนารีพิฆาต ดูจะสยบความอหังการแข็งกร้าวของกองทัพได้อย่างชะงัด

แม้แต่ที่ว่า แข็งโป๊กอย่าง บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ก็ยังอ่อนระทวย กับความสวยสง่า อ่อนโยนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ว่าเธอจะเป็นน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม

อีกทั้งฝ่าย นายกฯ ปู เอง ก็พยายามเดินเข้าหาผู้นำกองทัพ เพื่อเพิ่มความใกล้ชิดสนิทสนม เพื่อดำเนินกลยุทธ์ "การแยกกองทัพออกจากอำมาตย์" เพื่อตัดเขี้ยวเล็บของฝ่ายศัตรู

จะเห็นได้ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายทหารกลางปี ทั้ง 127 นายพล ที่คลอดออกมาเมื่อ 27 มีนาคม นั้น สะท้อนถึงการไม่แทรกแซงก้าวก่ายกองทัพ ปล่อยให้แต่ละเหล่าทัพจัดวางตัวกันเอง ส่วนฝ่ายการเมือง จะตั้งเพื่อนฝูงพี่น้องเป็นนายพล ก็ทำไป

ทั้งการตั้ง เสธ.หมู พ.อ.สุเมธ พรหมตรุษ เพื่อนซี้ทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี เป็นพลตรี แม้จะเป็นแค่ ตท.28 แต่ก็ได้ Fast Track และ พ.อ.พฤษภะ น้องชายบิ๊กโอ๋เล็ก พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต แกนนำ ตท.10 หัวหน้าฝ่าย เสธ.รมว.กลาโหม รวมทั้งนายทหารในสาย เสธ.ไอ๊ซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต แกนนำ ตท.10 เพื่อนซี้ พล.อ.พฤณท์ ด้วย
และที่สะท้อนความปรองดอง คือการที่บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ยอมตั้งเด็กของ บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เป็นนายพลใหม่หลายคน โดยเฉพาะ น.อ.สุรจิต สุวรรณทัต น้องชาย

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตะลุยแดดเปรี้ยง ลมแรง หรือแม้แต่ฝุ่นตลบ ไปชมการฝึกภาคสนามของกองทัพ อย่างถ้วนหน้า เพื่อเป็นการให้ความสำคัญกับกองทัพ และต้องสื่อนัยให้กองทัพทำหน้าที่ที่แท้จริงของทหารในการปกป้องอธิปไตยของชาติ

ตั้งแต่การลงเรือจักรีนฤเบศร ไปดูการฝึกปราบปรามโจรสลัด การปฏิบัติการทางทะเลกลางอ่าวไทย เมื่อ 2 เมษายน ต่อให้เธอต้องบินไปตรวจสถานการณ์ที่หาดใหญ่ หลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ แม้จะมาล่าช้าไปหลายชั่วโมง จนบิ๊กๆ ในกองทัพและทหารเรือทั้งกองทัพต้องเสียเวลารอจนหมดไปวันหนึ่งเปล่าๆ แต่ก็เธอก็ยังมา
โดยมี บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ตามประกบไปด้วยทุกงานที่เกี่ยวกับกองทัพและความมั่นคง

งานนี้ ผบ.เหล่าทัพ มากันพร้อมหน้า ทั้ง พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม และ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. ที่แต่งเครื่องแบบทหารเรือสีขาวสุดเท่มา ทำให้บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. สุดปลื้ม บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ก็ยังมาแม้จะในชุดทหารอากาศ และไม่ได้มีบทบาทมากนัก แต่ก็มาร่วมเพื่อแสดงความเป็นเอกภาพของ ผบ.เหล่าทัพ ก็มีแต่บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ตั้งใจไม่มาตั้งแต่แรก แม้จะไม่มีเหตุคาร์บอมบ์ที่หาดใหญ่ ที่ทำให้เขาต้องลงพื้นที่ เขาก็ให้บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. มาแทน เพราะเขาคือ ผบ.ทบ. ที่ไม่ต้องสนใจว่า ผบ.เหล่าทัพอื่นจะเอายังไง แต่ ผบ.ทบ. จะเป็นหลัก

แต่ทว่า งานของ ทบ. การฝึกร่วมไทย-สิงคโปร์ "คชสีห์ 2012" ที่สระแก้ว 5 เมษายน ที่ ทบ. ต้องการโชว์สมรรถนะรถเกราะยูเครน ที่ซื้อมา 4 ปี เพิ่งได้มาไม่กี่คัน เป็นครั้งแรก ที่เชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาร่วมชมด้วยนั้น ผบ.เหล่าทัพ ก็มากันครบ

ส่วนของ ทอ. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ให้ความสำคัญ หลังจากที่เคยใส่ชุดนักบินไปชมการปฏิบัติการทางอากาศ ด้วยกระสุนจริงที่ลพบุรีมาแล้ว ก็จะไปเปิดพิพิธภัณฑ์ 100 ปีการบินบุพการี พร้อมชมการแสดงการบินที่ดอนเมือง 2 มิถุนายน

ไม่แค่นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังโปรยยาหอมเหมือนยุคพี่ชาย ด้วยการให้ทุกเหล่าทัพเสนอแผนการพัฒนากองทัพ ว่าต้องการอาวุธยุทโธปกรณ์ใด หรือที่เรียกว่า เสนอเป็นแพ็กเกจ ที่เป็นจริงได้ขึ้นมา ไม่ใช่เสนอมา 9 แสนล้าน แบบในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ก็ทำให้กองทัพมีความหวัง

โดยเฉพาะกองทัพเรือ ที่แม้จะไม่ได้ซื้อเรือดำน้ำเยอรมันมือสอง แน่แล้ว เพราะมีทั้งสิ่งที่มองไม่เห็น และมือที่มองไม่เห็น สกัดไว้ ทั้งๆ ที่เยอรมนี พร้อมยืดเวลาจาก 29 กุมภาพันธ์ ให้ถึงเดือนเมษายนนี้ก็ตาม ที่คาดว่าจะมีการเสนอโครงการอื่นทดแทน เช่น เรือฟรีเกตสมรรถนะสูง 4 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ 2 ลำ รวมทั้งเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง OPV อีก 3 ลำ

ส่วน ทบ. นั้นก็เล็งที่จะขอซื้อเพิ่มรถถัง T-92 Oplot จากยูเครน อีก 3 กองพัน จากที่ซื้อไปแล้ว 1 กองพัน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปดูด้วยตนเองที่ยูเครนมาแล้ว พร้อมการันตีในคุณภาพ เช่นเดียวกับที่เชิญนายกรัฐมนตรีไปชมการฝึกคชสีห์ ก็เพื่อโชว์ศักยภาพรถเกราะ BTR จากยูเครน ด้วยนั่นเอง



แม้ความเป็นผู้หญิง จะสยบความแข็งกร้าวของกองทัพได้ แต่ดูเหมือนว่า เริ่มมีการจับตาว่า นารีจะไม่อาจพิฆาต หรือไม่อาจสยบไฟในใจของ รัฐบุรุษอย่างป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ได้ แต่แค่ทำให้ป๋าต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เท่านั้น

ต่อให้ พล.อ.เปรม ยิ้มแย้มแจ่มใส ชื่นมื่นกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งในงานเลี้ยงวันกองทัพบก หรืองานรักเมืองไทย ที่ทำเนียบรัฐบาล จนทำให้มองภาพว่า มีการจูบปากคืนดีกันแล้ว ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น

บรรดาคนเสื้อเหลือง สลิ่ม และลูกป๋า ที่เคยใจหาย เพราะคิดว่าป๋าเปรมจะเปลี่ยนใจ เปลี่ยนจุดยืนหรือยอมแพ้ ที่ยอมไปร่วมงานของรัฐบาล ร่วมงานกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะกลัวจะขาด "หัวขบวน" ในการต่อสู้กับระบอบทักษิณ ก็กลับมาใจชื้น หลังจากที่ป๋าเปรมบอกให้เอา เพลง "ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ที่เคยแต่งไว้เมื่อหลายปีก่อน กลับมาเปิดฟัง

โดยเฉพาะเมื่อไปตอกย้ำความเป็น "ป๋าคนเดิม" ในตอนท้ายของการปาฐกถาพิเศษ งาน 12 ปี ผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่องค์การสหประชาชาติ เมื่อ 3 เมษายน แม้จะเป็นการงัดมุขเก่า ประโยคเดิมๆ คำพูดเดิมๆ ที่ป๋าพูดมาตลอด ตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ 19 กันยายน เรื่อยมา แล้วก็เงียบไปพักใหญ่ก็ตาม

"ผมขอพูดนอกเรื่องหน่อย ผมเชื่อว่าชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครมีสิทธิยึดถือเป็นของตนเองได้ พระสยามเทวาธิราชมีจริง พระสยามเทวาธิราชจะคุ้มครองคนดี และสาปแช่งคนไม่ดี คนทรยศต่อชาติบ้านเมืองให้พินาศไป ใครไม่เชื่อ แต่ผมเชื่อ" ป๋าเปรม กล่าวด้วยใบหน้านิ่งเยือกเย็น

งานนี้ ป๋าเปรม ตั้งใจที่จะมาพูด "ผมอายุมากแล้ว แต่แม้จะมีคนบอกว่า ผมไม่มีไฟแล้ว แต่ผมจะลองดูสักครั้งว่า ผมยังไหวไหม ผมจึงรับมาพูดงานนี้ และที่สำคัญ เพราะเน้นเรื่องคุณธรรม-จริยธรรม ที่ต้องคู่กัน"
พล.อ.เปรม ตั้งใจแม้แต่การเลือกที่จะใส่เสื้อพระราชทานแขนยาวผ้าไหมสีเทาควันบุหรี่ และนั่งร่างคำพูดของตนเอง ที่เน้นเรื่อง "การตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน" ทั้ง 9 ข้อ และ "การเป็นคนดีแห่งแผ่นดิน" ที่เน้นความจงรักภักดี การเป็นคนดี และรักษาความดีไว้

ที่น่าสังเกตคือ พล.อ.เปรม เปรยถึงคนดีบางคนที่เคยเป็นคนดี และเป็นที่ศรัทธา แต่ที่สุดก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถรักษาความดีนั้นไว้ได้ "การทำความดีแม้จะยาก แต่การรักษาความดีจะยากมากกว่า"

ที่สำคัญตอนหนึ่ง ที่ป๋าเปรมเอ่ยถึงคุณสมบัติคนดีหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือไม่รังแกผู้หญิง ที่ป๋าเอ่ยแทรกด้วยใบหน้ายิ้มอย่างเยือกเย็นว่า "ใครเป็นผู้หญิงนี่โชคดีนะ"
ที่พลันทำให้ใครๆ คิดไปได้ในหลายแง่ แม้แต่การที่ พล.อ.เปรม ต้องทำดี เอ็นดู ให้เกียรติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา ก็เพราะคุณสมบัติการเป็นคนดีข้อนี้ของป๋า

"คนดีต้องมีความเมตตาด้วย" ป๋า เปรย

ที่น่าสังเกตคือ ป๋าเปรม รำลึกถึงเมื่อครั้งที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ 23 ปีที่แล้ว บ่อยครั้ง "เมื่อตอนที่ผมอยู่ตึกไทยคู่ฟ้า" วันที่เขาคิดม็อตโต้ "เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน" แต่เพิ่งเปิดเผยต่อสาธารณชนเมื่อ 13 ปีที่แล้ว "เป็นคำพูดที่ผมชอบมาก แต่คนชอบไม่ค่อยมีมาก" หรือแม้แต่วันที่เขาคิดเรื่องการแก้ปัญหา "ยากจน" ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย

ป๋าพยายามขายฝันของตนเองที่อยากจะให้มีคนดีในบ้านเมืองมากมายจนเดินเบียดเสียดยัดเยียดกัน ให้คนไม่ดีไม่มีที่อยู่

"คนดีคือคนที่ไม่ทำความชั่ว ไม่ให้แผ่นดินมีปัญหา ไม่ทำให้ใครในแผ่นดินเดือดร้อน" พล.อ.เปรม เน้น

ลูกป๋า สะกิดให้รอดูบทบาทของป๋าเปรม นับจากนี้ด้วยว่า ป๋าเปรม จะพยายามแสดงให้เห็นว่า ยังเป็นป๋าคนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างที่วิจารณ์กัน หลังจากที่ยอมไปร่วมงานในทำเนียบรัฐบาลในยุครัฐบาลเพื่อไทย และในยุคที่มีนายกรัฐมนตรี นามสกุล ชินวัตร

จึงไม่แปลกที่ป๋าเปรม จะไม่ตอบคำถามเรื่องข้อเสนอปรองดองของ เสธ.หนั่น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ให้ พล.อ.เปรม คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ

หลังสิ้นเสียงป๋า ที่ยูเอ็น...ทำให้ฝ่ายรัฐบาลต้องหันมาพินิจข้อวิจารณ์ที่ว่า ที่ผ่านมาเป็นแค่ "ดราม่า" กันมากขึ้น และเลิกคิดเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับประเทศภายในปีนี้
"ใครจะยึดครองชาติบ้านเมือง ไม่มีใครคิดแบบนี้"
"ป๋าเอายังไงกันแน่"
"หนังม้วนนี้ ต้องดูกันยาวๆ ดูให้จบม้วนจริง" เสียงเปรยจากบรรดาเพื่อนทักษิณ ในกลาโหม

ท่ามกลางการจับตามองว่า เทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ไทยนี้ที่ขุนทหารจะเข้าบ้านสี่เสาฯ นั้น พล.อ.อ.สุกำพล รมว.กลาโหม จะนำแถว ผบ.เหล่าทัพ หรือไม่
ที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเข้ารดน้ำขอพรป๋าที่จะให้ผ่านพระราชพิธีพระศพไปก่อน แล้วเปิดบ้าน 18 เมษายน ด้วยหรือไม่

ป๋าเปรม ถือว่ากำลังฮ็อต หลังจากที่ พล.ต.สนั่น อดีตลูกป๋า กับ มาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถามเบื้องหลังปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ต่อ บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ต่อบทบาทป๋า เบื้องหลังปฏิวัติ

แต่หากพลิกดู "ลับ ลวง พราง" ภาคแรก ปฏิวัติปราสาททราย จะพบว่า พล.อ.สนธิ ยอมรับว่า ก่อนการปฏิวัติได้เข้าพบหารือกับ พล.อ.เปรม หลายครั้ง แต่ไม่ได้พูดชัดเจนว่า หารือเรื่องการปฏิวัติหรือไม่ 


"ก็ต้องไปเล่าสถานการณ์ต่างๆ ให้ท่านฟัง" พล.อ.สนธิ กล่าว
"ปกติผมก็ไปหาท่านอาทิตย์ละครั้งอยู่แล้ว ไปเล่าเรื่องต่างๆ ให้ท่านฟัง" พล.อ.สนธิ ย้ำ

แต่เรื่องที่ท่านพาคณะปฏิวัติเข้าเฝ้าฯ นั้น "เพราะท่านอยู่ในตำแหน่งนั้น เพียงแต่เพราะท่านเป็นคนตรงกลาง ทุกคนก็เข้าไปหา ท่านก็รับหมด ใครคุยท่านก็ฟังหมด วันที่ปฏิวัติ ท่านอยู่ในวังอยู่แล้ว ก็ดูว่าท่านเกี่ยวข้อง วันนั้นท่านอยู่ในวังมีงานอยู่แล้ว ตอนนั้นที่เราต้องรีบเข้าเฝ้าฯ หรือเราต้องขอเข้าเฝ้าฯ หรือให้เข้าเฝ้าฯ จำไม่ได้แล้ว เพราะถ้าไม่รีบเข้าเฝ้าฯ ประชาชนจะสับสน" พล.อ.สนธิ กล่าวใน ''''ลับลวงพราง''''

นั่นคือ สิ่งที่ พล.อ.เปรม ต้องการให้ พล.อ.สนธิ บอกแก่สาธารณะ จึงให้ บิ๊กหมง พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีต ผบ.สส. ลูกป๋าคนโปรด สื่อผ่านไปทาง พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์ ซึ่งเป็นเพื่อน ตท.6 ของ พล.อ.สนธิ

เพราะในเวลานั้น ฝ่ายต่อต้านปฏิวัติ โดยเฉพาะ บิ๊กต๋อย พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.สส. ในเวลานั้น ซึ่งก็ถือเป็นลูกป๋า ก็พยายามที่จะเข้าหาป๋า และโทรศัพท์หาป๋า แต่ที่สุด ป๋าก็ต้องเลือกข้างคณะปฏิวัติ แม้แต่การเข้าวัง ที่ดูเหมือนจะไปร่วมเป็นคณะ คมช. แต่ก็หวังจะไปหาป๋าเปรม แต่ก็ถูกกีดกันไม่ให้พบป๋า และไม่ให้เข้าเฝ้าฯ ด้วยนั่นเอง

เบื้องหน้าเบื้องหลังรัฐประหารครั้งนี้ ยังอยู่ในหลุมดำและความมืด จนคนที่เกี่ยวข้อง ต้องลั่นประโยคคล้ายๆ กันที่ว่า "ให้มันตายไปกับตัวผม"
แต่ก็มีบิ๊กบางคนแกนนำปฏิวัติที่พูดกับฝ่ายตรงข้ามมาตลอดว่า "รู้มั้ยว่าคุณสู้อยู่กับใคร ไม่มีวันชนะหรอก" ที่ทำให้ผู้คนคิดกันไปต่างๆ นานา

แต่ทว่า การปฏิวัติครั้งนั้น ส่งผลต่อการเมืองไทยอย่างรุนแรง และส่งผลสะเทือนต่อการเป็น ผบ.ทบ. ของ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย แม้ว่าวันนั้น เขาจะเป็นแค่รองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ยังไม่โดดเด่น แต่ก็เป็นน้องรักในสายบูรพาพยัคฆ์ของบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 ในเวลานั้น
"การปฏิวัติครั้งนั้น ผมไม่เกี่ยว แต่ผมรู้ว่า เป็นการทำไปเพื่อปกป้องสถาบัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

สถานการณ์ในวันนี้ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด และรู้ดีว่า ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาหรือจังหวะที่ทหารจะเข้าไปเกี่ยวข้อง ปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง โดยเขามักจะพยายามย้ำเสมอว่า "กองทัพ" หรือ ตัวเขาเอง "ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง"

"การเมืองทุกวันนี้ซับซ้อนมากขึ้น หน้าพันกันไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร ผมเองไม่ได้อยากจะนำกองทัพเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย ผมยืนยัน แต่ที่ผ่านมาที่ทหารเข้าไป ก็เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
"แล้วก็ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นอีก" บิ๊กตู่ ย้ำ

แต่ทว่า สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น แล้วสิ่งที่พูดๆ ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ใจคิด เพราะทุกวันนี้ ไม่ว่าการเมือง หรือการทหาร ไม่ว่านักการเมือง หรือทหาร ก็ลึกลับซับซ้อน ลับลวงพราง หลายชั้นขั้นเทพ ด้วยกันทั้งสิ้น
เพราะที่นี่ ประเทศไทย...
http://redusala.blogspot.com