วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พับโครงการนาซ่า บทเรียนรัฐบาล-ฝ่ายค้าน


พับโครงการนาซ่า บทเรียนรัฐบาล-ฝ่ายค้าน

พับโครงการนาซ่า บทเรียนรัฐบาล-ฝ่ายค้าน
การเมือง ข่าวสด  http://www.khaosod.co.th/

             ล่มแบบชนิดที่ไม่ต้องเสียเวลาลุ้นอีกต่อไปแล้

            เมื่อเว็บไซต์โครงการศึกษาสภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ (SEAC4RS) ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ องค์การนาซ่า ขึ้นประกาศตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา  ระบุข้อความด้วยตัวแดงหนา

             ′นาซ่าขอยกเลิกโครงการ SEAC4RS ที่ตามกำหนดเดิมจะเริ่มในเดือนส.ค.′

             ′เนื่องจากทางการท้องถิ่น (หมายถึงรัฐบาลไทย) มิได้อนุมัติให้นาซ่าใช้พื้นที่ได้ทันตามกรอบเวลา สำหรับการสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ทัน′

              นอกจากนี้ ใน เว็บไซต์ http://espo.nasa.gov/missions/seac4rs/ ยังแจงรายละเอียดโครงการ สาเหตุที่เลือกสนามบินอู่ตะเภาเป็นสถานีวิจัย ตลอดจนระยะเวลาศึกษาว่าเหตุใดถึงต้องกำหนดช่วงนี้ เป็นเพราะปัจจัยใด ซึ่งเป็นเรื่องของวิชาการล้วนๆ

              ยืนยันว่า โครงการ SEAC4RS มีแผนสำรวจก๊าซและละอองในชั้นบรรยากาศ ตลอดจนศึกษาลักษณะของมรสุมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และองค์ประกอบทางกายภาพและเคมีในชั้นบรรยากาศต่างๆ

              เหตุที่เลือกสนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการสำคัญ เนื่องจากสภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์มีความซับซ้อนสูง โดยเฉพาะช่วงมรสุมในเดือนส.ค. การค้นคว้าวิจัยครั้งนี้ มุ่งหวังจะศึกษาประเด็นสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) ในเอเชียด้วย

              โดยนาซ่ามองว่า ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์มีประชากรหนาแน่น เช่น อินเดีย และอินโดนีเซีย จึงต้องการศึกษาผลกระทบของมลภาวะในอากาศ แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกโครงการนี้ทั้งหมดตามข่าว

              ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีท่าทีจากทางการสหรัฐอีกครั้ง

              โดย นายวอลเตอร์ บราวโนห์เลอร์ โฆษกสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย แถลงย้ำว่า เหตุผลที่นาซ่าไม่สามารถรอได้ เพราะโครงการต้องดำเนินการเฉพาะเดือนส.ค.และก.ย.เท่านั้น แต่ฝ่ายไทยโดยมติครม.ที่ผ่านมา ให้รัฐสภาอภิปรายเรื่องนี้หลังเปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเลยกำหนดเส้นตายของนาซ่าไปแล้ว 1 เดือน ก่อนสรุปถึงอนาคตโปรเจ็กต์นี้ว่า

              ′ยังไม่สามารถบอกได้ว่า นาซ่าจะทบทวนโครงการนี้อีกครั้งในปีหน้าหรือไม่′

               กรณีดังกล่าวถือเป็นบทเรียนสำคัญของประเทศ

               การนำเรื่องวิชาการมาโยงกับประเด็นการเมือง ทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสเรียนรู้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และองค์ความรู้ทางวิชาการใหม่ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

               นักวิชาการที่ติดตามเรื่องนี้สะท้อนความเห็นไปยังรัฐบาลและฝ่ายค้านดังนี้

อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ผอ.โรงเรียนสัตยาไส

               กรณีที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสอย่างมากมาย ประเมินความเสียหายไม่ได้เพราะโครงการนี้จะมาช่วยแก้ปัญหาภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น จู่ ๆ รัฐบาลย้ายเวลาตัดสินใจไปถึงการประชุมสภาเดือนส.ค. เป็นเรื่องไม่จำเป็น รัฐบาลสามารถตัดสินใจได้เองอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เป็นโครงการที่จะช่วยแก้ปัญหาภัยพิบัติ ยิ่งไม่จำเป็นต้องนำเข้าสู่สภา

               พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าฝ่ายค้านไม่ได้ออกมาแย้ง เพียงแต่ขอให้ นายกฯประกาศให้ชัดว่านาซ่าจะเข้ามาทำอะไร นักวิทยาศาสตร์เองก็รอฟัง แต่รัฐบาลกลับไม่ประกาศให้ชัด รัฐบาลมีหน้าที่แจ้งให้ประชาชนทราบรายละเอียดโครงการ และชี้แจงว่าประชาชนจะได้รับผลอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน พรรคฝ่ายค้านก็โจมตีไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเขาเองจะเป็นฝ่ายเสียคะแนนเสีย

               บทเรียนสำหรับรัฐบาลต่อไปภายหน้า คือรัฐบาลต้องพูดตรงไปตรงมา ปล่อยให้เป็นเรื่องของสภาไม่ได้ นายกฯเป็นหัวหน้ารัฐบาล สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้เราต้องการนายกฯที่มีพลัง เด็ดขาด กล้าตัดสินใจมากกว่านี้

ไชยันต์ ไชยพร
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

              รัฐบาลดำเนินการเรื่องนี้ล่าช้ามาก ทั้งที่ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว หรืออาจเปิดเวทีประชาวิจารณ์รับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน เชิญนักวิชาการจากหลายสาขามาแสดงความคิดเห็น ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจประชาชน

              ประเทศไทยมีนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถเรื่องวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ส่วนหนึ่งยังทำงานในนาซ่าหรือทำงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในทวีปยุโรป แทนที่รัฐบาลจะสอบถามไปยังนักวิชาการเหล่านี้ เพื่อให้เขาออกมาชี้เเจงว่าโครงการมีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ หากรัฐบาลต้องการให้โครงการนี้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยจริง ต้องฉลาดในการให้ข้อมูลโน้มน้าวประชาชนว่า ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อันใดจากโครงการนี้

               ฉะนั้นในอนาคตหากจะมีการใช้ประเทศไทยเพื่อเป็นฐานดำเนินการโครงการต่างๆอีกนั้น

               สิ่งแรกที่รัฐบาลต้องทำคือ เอาข้อมูลในเรื่องนั้นๆ ออกมาระดมความคิดเห็นที่หลากหลายของสังคมว่ามีความคิดเห็นอย่างไร สมควรดำเนินการโครงการต่อไปหรือไม่ ถ้าดำเนินเเล้วประเทศไทยจะได้หรือเสียประโยชน์อย่างไร

               ส่วนหน้าที่ของฝ่ายค้านที่ออกมาคัดค้านนั้น เป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่ต้องออกมาตรวจสอบและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอยู่เเล้ว

               ในทางกลับกันถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย จะต้องออกมาคัดค้านโครงการนี้อย่างแน่นอน

                อีกอย่างโครงการนี้ยังเป็นเรื่องที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน จึงห้ามพรรคประชาธิปัตย์คัดค้านไม่ได้

สิริพรรณ นกสวน สวัสดี
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

               บทเรียนหลักของรัฐบาล รวมถึงพรรคการเมืองต่างๆ คือ เรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งเริ่มดำเนินการ แต่นาซ่าขอความร่วมมือลักษณะนี้มานานแล้ว กรณีที่เกิดขึ้นน่าสลดใจว่ากระบวนการรัฐสภาไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ในสหรัฐเองเมื่อมีโครงการลักษณะนี้ก็ต้องผ่านรัฐสภาเช่นกัน

               รัฐสภาไทยควรหยิบยกเรื่องนี้มาถกกันตั้งแต่แรก เพราะมีทีมนักวิทยาศาสตร์ไทยทำงานที่นั่นอยู่แล้ว จะได้มีคำตอบที่ชัดเจน และนำเสนอต่อครม.ได้ทันเวลาซึ่งจะเป็นการตัดสินใจด้วยความรู้ ด้วยเหตุผล และโปร่งใส อธิบายได้ตั้งแต่แรก

               แม้กฎหมายหลักในรัฐธรรมนูญจะมีหลายมาตราที่กลายเป็นปัญหาในการตีความ เปิดช่องให้ฝ่ายค้านฟ้องรัฐบาลได้ รัฐบาลจึงกลัว ไม่กล้าทำอะไร แต่ถ้าเอากฎหมายมาใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามเสมอไป คุณจะไม่ได้ใจประชาชน เป็นบทเรียนที่ทั้งสองฝ่ายต้องนำกลับไปคิด

               รัฐบาลมีจุดอ่อนเรื่องการชี้แจงข้อมูล ยิ่งระยะหลังมานี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ลอยตัวต่อปัญหาแทบทุกเรื่อง ทำให้เกิดคำถามต่อภาวะผู้นำ สิ่งที่ไม่เคยทำเลยคือการตั้งโต๊ะแถลงข่าวให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน เชิญนักวิทยาศาสตร์มาชี้แจง หรือเชิญตัวแทนจากนาซ่ามาด้วยก็ได้

               เรื่องนี้รัฐบาลล้มเหลวมาโดยตลอดตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วม

               ส่วนฝ่ายค้านซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบ แต่ตอนนี้พยายามใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แท้จริงแล้วโครงการนี้เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำ ต้องถามกลับไปว่า คุณจะเอาผลประโยชน์ทางการเมือง หรือผลประโยชน์ของประเทศชาติ

               ถ้าทั้งสองฝ่ายยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนจะเสื่อมศรัทธาและไม่อยากจะเลือกใครอีก

เครดิตจากเวป http://www.khaosod.c...PQ==&sectionid
http://redusala.blogspot.com

สัญญาณ.."สงครามชิงประเทศ"..มันเริ่มขึ้นแล้ว


สัญญาณ.."สงครามชิงประเทศ"..มันเริ่มขึ้นแล้ว
สัญญาณ.."สงครามชิงประเทศ"..มันเริ่มขึ้นแล้ว
By Kenji IF
 สงครามแย่งชิงประเทศ           การสงครามชิงประเทศครั้งนี้ถือว่าใช้ "สงครามจิตวิทยา" นำในการสู้รบกันทั้งสองฝ่าย เรียกว่าหากใครหัวใจไม่เสริมใยเหล็กมีสิทธิ์แพ้เอาง่ายๆ ผมถือว่าครั้งนี้ไม่ธรรมดานับว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่ต้องบันทึก เพื่อให้ลูกหลานได้จดจำ เพราะตลอดเวลา 80 ปี ที่ประเทศเราเล่นปาหี่อ้างชาวโลกว่าเป็น "ประเทศที่มีการปกครองระบบประชาธิปไตย" ทุกอย่างมันได้เฉลยตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 แต่ครั้งนั้นมันอาจจะไม่ชัดเจน เพราะหลายคนยังกังขาเหตุผลยังสลัดมนต์มายาการสร้างภาพของคนบางคนยังไม่หมด

            สุดท้ายวีระกรรมพรรคอำมาตย์..ได้เฉลยอันธพาลในสภาอันทรงเกียรติ จนกลายเป็นทอล์คอ๊อฟเดอะทาวน์ไปทั่วโลก อีห่าลาก จับชีพจร ขู่กรรโชก กระชากแขนท่านประธานนิติบัญญัติ ตลอดจนองค์กรเถื่อนที่ได้รับการเป่ากระหม่อมลงคาถาแพ้ไม่ได้ ออกมาเล่นเกินบทบาทที่ตัวเองมี ทำความเสื่อมให้กับเจ้าของคอก จนไม่เหลือภาพที่อุส่าห์สร้างมากว่า 80 ปี
            และวันนี้พวกเขาเสมือนหนึ่ง "หมาจนตรอก" เพราะถ้าฝืนปล่อยรัฐบาลปูไปถึงสิ้นปี ความฉิบหายมาเยือนแน่ๆเข้าตำรา "วัวสันหลังหวะ" ภัยทั้งหมดที่ก่อกรรมทำเข็ญเป็นหลายพัน หลายหมื่น หลายแสนคดี คงเป็นบูมมาแลงกลับมาฆ่าตัวพวกเขาตายหมู่ ไหนสมบัติที่ตักตวงทำนาบนหลังคนไทยและแอบใช้ทรัพยากรธรรมชาติมานาน จนจากคนธรรมดากลายเป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก 4 ปีซ้อน เอาแค่คดีอยู่เบื้องหลังการฆ่าเพื่อรักษาอำนาจทุกคดีตั้งแต่ 14 ตุลา 16,14 ตุลา 19, 35 พฤษภาทมิฬ, การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ปี 52, 53


            นี่ขนาดยังไม่รวมคดีเล่นแร่แปรธาตุ ปรส.เสียหายกว่า 6 แสนล้านเศษการขายทรัพย์สินรัฐให้เอกชนในราคาถูก การขายโรงกลั่นบางจากแค่เช็คใบเดียว ทั้งที่เหลืออีกไม่กี่วันก่อนหมดอำนาจ คดีกู้มาโกงรัฐบาลอภิสิทธิ์ 2 ปี 8 เดือนมูลค่ากว่า 8 แสนล้าน


             คดีอื้อฉาวในกทม.รถดับเพลิง เรือดับเพลิง การต่อสัญญาบีทีเอส.ฯลฯ


             ผมยังมองไม่ออกว่า หากประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย กลุ่มอำนาจเก่ามันจะยืนอยู่ตรงไหนของประเทศ มันจึงไม่แปลกว่าวันนี้มันจำเป็นต้องทำสงครามครั้งสุดท้าย ก่อนการเปลี่ยนผ่านการปกครอง ที่ประเทศจะเป็นประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนสักที หลังรอมานานกว่า 80 ปีครับ     

       
              ผมถือว่ามาถึงวันนี้ฝ่ายอำมาตย์ เสียรางวัดไปเยอะพอสมควรซึ่งในอดีตพวกเขาไม่เคยคิด คาดไม่ถึงไม่เคยเสียฟอร์ม และคิดไม่ถึงว่าประชาชนจะรู้เท่าทันเขา เพราะตลอดมีสื่อในมือคอยปิดหู ปิดตา ชี้นำคนไทยมาตลอดและไม่เคยเสียสุนัขมากถึงขนาดนี้ รัฐบาลในอดีตยกเว้นรัฐบาลนายกพท ดร.ทักษิณ ทุกยุคทุกสมัยต่างเป็นแค่ตัวแทน(ตรายาง) ซึ่งคนคุมประเทศแอบชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น มาถึงเวลานี้คงเหลืออาวุธไม้ตายที่พวกเขาสามารถเอามาทล่มคู่ต่อสู้ได้ ขบวนท่าเดียวคือ "ความจงรักภักดี" ส่วนเหุผลอย่างอื่นมองดูแล้วแทบไม่สามารถนำมาใช้ได้ง่ายเหมือนครั้งเก่าก่อน


             ประชาธิปไตยบ้านเราเวลานี้ ถ้าเปรียบเสมือนคุณแม่ที่กำลังท้องแก่ คิดว่าน่าจะประมาณ 8-9 เดือนเรียกว่า ใกล้คลอดเต็มทีเพราะคนทำคลอดคือประชาชน อำมาตย์จะออกมาขัดขวางบอกว่ายังไม่ถึงเวลาหรือบอกว่าห้ามเด็กในครรถ์ออกมาดูโลกมันคงยาก เหมือนห้ามพระอาทิตย์-พระจันทร์ขึ้นลงและห้ามกฏเกณฑ์ธรรมชาติ โดยอำมาตย์เป็นคนเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น มันคงเป็นไปไม่ได้ หรือถ้าฝืนทำมันก็คงจะเกิดสภาพอย่างที่เราได้แลเห็น เพราะทุกอย่างมันจะเป็นการฉายภาพไม่ดีของพวกเขาเอง และสุดท้ายสิ่งที่เขาสร้างภาพมาทั้งหมดตลอด80ปี มันก็ไม่ต่างอะไรกับปราสาททรายครับ


             การดิ้นเฮือกสุดท้ายของอำมาตย์ในครั้งนี้ถือว่า เวลาที่เหลือของพวกเขาสั้นลงเรื่อยๆเพราะคำตอบต่อสังคมหลายอย่างมันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆอีกเหมือนกัน ล่าสุด อ.ธิดา และทีมงานเดินทางเอาข้อมูลหลักฐานเพิ่มให้กับศาลอาญาระหว่างประเทศนั้น ถือว่าคืบหน้าไปเยอะและผมถือว่านี่คือ "ไฮไล" ข้อได้เปรียบที่ตลอดเวลาฝ่ายเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาตลอด ผมว่าถ้าจะฝังหมุด ตอกตะปูปิดฝาโลงฝ่ายอำมาตย์ รัฐบาลปู น่าจะนำเรื่องนี้มาพิจารณาเป็นการเร่งด่วน เพื่อเสนอยอมรับเขตอำนาจศาล ICC เพื่อนำคดีขึ้นสู่ศาลและเอาผิดผู้บ่งการการสั่งฆาตกรรมหมู่ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เป็นภูมิคุ้มกันให้รัฐบาลสักอย่างเพื่อลดความกดดัน


             กระแสสังคมที่ลมเริ่มเปลี่ยนทิศ ประชาชนเริ่มหูตาสว่างโดยไม่มองไปพึ่งยาหยอดตา เพราะการออกมาโลดแล่นเล่นเกมส์ที่ไร้กติกา หลายอย่างที่ประชาชนรับไม่ได้ ไม่ว่ากรณีนาซ่าที่คนไทยและ7 ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่เสียผลประโยชน์ เพราะการเล่นการเมืองเพื่อเอาชนะอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและไร้ความสำนึกความรับผิดชอบ เพราะสมัยตัวเองเป็นรัฐบาลเสือกไปเชื้อเชิญเขาเข้ามา เพียงเพื่อหวังกินค่าหัวคิว โดยนายกษิตเองออกมารับสารภาพเองจนหมดเปลือก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะสมัยรัฐบาลนายกสมัคร นายนพดล ปัทมะ เป็น รมต. ต่างประเทศเล่นเล่นบทละครคลั่งชาติ กล่าวหาว่า "ขายชาติ" มาครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งที่ความจริงทางกัมพูชาเขาจะเอาเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก มันได้เกี่ยวอะไรกับประเทศไทยเลย แต่พวกเขาดึงมาเป็นเกมส์การเมืองและสุดท้ายทั้งไทยกัมพูชาเสียโอกาส เกิดการบาดหมาง แต่สุดท้ายเราได้รัฐบาลประชาชนทุกอย่างเลยกลับมาดีกันอย่างเดิม ผมว่าคอการเมืองทุกคนต่างทราบดีว่าทั้งหมดมันคืออะไรกันแน่และใครมันอยู่เบื้องหลัง



              ความโลภ โกรธ หลง ทำให้คนเราหูหนวกตาบอด ถึงเวลานี้มีคนถามว่าเกมส์มันจะจบลงยังไงหากฝ่ายอำมาย์มันไม่ยอม ฝืนกระแสสังคมและคิดว่ายอมหักไม่ยอมงอ ถ้าในใจผมๆ เชื่อว่าผมพร้อมแล้วที่จะต่อสู้กับอำมาย์ทุกรูปแบบ เวลานี้เรายังเป็นรัฐบาล ถึงแม้นว่าอำนาจทั้งหมดเรายังไม่สามารถใช้มันได้เต็มที่ แต่ก็ถือว่าเราได้เปรียบ ทั้งทางกฏหมาย ความชอบธรรม การไว้วางใจในเวทีโลก และถึงตรงนี้แล้วเราสู้เรามีโอกาส ดีกว่าเรายอมและต้องเป็นทาส โดนกดขี่ตลอดชีวิตชั่วลูก ชั่วหลาน ที่สำคัญผมประเมินดูแล้วว่าคู่ต่อสู้ไม่มีอะไรหน้ากลัวอีกต่อไปแล้วหากเราจะต้องการชัยชนะ จริงๆ ในอดีตพวกเขาอาจจะแกร่ง แข็งแรงเกินกว่าพวกเราจะไปต่อกร ต่อสู้กับเขาได้ และสถานการณ์วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดทั้งสิ้น เหตุเพราะพวกเขาขาดสติ ต้องการเอาชนะ กรรมบังตา จนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว สุดท้ายตัวช่วยคือพวกเขาเป็นตัวทำลายตัวพวกเขาเอง ดังนั้นการออกมาใช้อำนาจในทางมิชอบ ที่ตะแบงกันอยู่เวลานี้เท่าเร่งวันตายให้กับพวกเขาเอง ครับ          

               ถึงตรงนี้..เราถือได้ว่าการยกพลขึ้นบก "ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย 3 กค .54" ที่ผ่าน เบื้องต้นอำมาตย์ประเมินเราต่ำจนกลายเป็นวลีที่ว่า "ลูกไก่ในกำมือ" พร้อมจะเช็กบิลเราได้ตลอดเวลา แล้วแสร้งเป็นการทำดีโดยใช้บิ๊กบัง เข้ามาเสนอ พรบ."ปรองดอง" ที่มีคนปรุงคือสถาบันพระปกเกล้า ตามใบสั่งผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ เกมส์นี้ใช่ว่าฝ่ายเราคือนายกทักาษินจะโง่เพียงแต่จำเป็นต้องตามเกมส์ เพื่อเป้าหมายการซื้อเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อรอสัญญาณอะไรบางอย่าง (นกแสก)



           หลายกลเกมส์ที่ฝ่ายวางแผนเดินเกมส์ชนอำมาตย์ พวกเราเองแรกๆ พี่-น้องเราไม่เข้าใจ จับสัญาณถอดระหัสกันไม่ถูกโดยเฉพาะ ฝ่ายหัวก้าวหน้า ที่เห็นว่าเกมส์ที่รัฐบาล นปช. นายกทักษิน ไม่มีทางชนะ เพราะเอาแต่เล่นบทอวย จนคนที่ทำหน้าที่ผู้ที่รับบทนี้มาตลอดคือนายขวัญชัย สาราคำ ประธานชมรมคนรักอุดรโดนสวดชยันโต จากพวกเดียวกัน เรียกว่าเสียหายยับเยิน แม้แต่ผมเองยังเคยลงไปเล่นกับเขาด้วยเหมือนกัน

            หลายครั้งหลายหนที่ฝ่ายเราจำเป็นต้องเล่นตามบทที่อำมาตย์เขียน จนบางครั้งมีผลต่อขบวนการต่อสู้ ครั้งที่หนักที่สุดคือ การเข้าไปขอพร รดน้ำดำหัว นายป.ประตูหลัง ทำเอาการเลือกปทุม โมเดลถึงกับเป๋ ออกอาการเกือบโดนกรรมการนับแปด แต่ผมถือว่ามันเป็นบทเรียน และประสบการณ์สอนให้แนวทางการต่อสู้เข้มแข็ง เสริมเขี้ยวเล็บ สังเกตุดูมุกนี้ครั้งหลังๆ อำมาตย์งัดออกมาใช้ แต่ไร้ประสิทธิภาพ ดูจากหลังสนามเลือกตั้ง ปทุม โมเดล มวลชนเริ่มจับทิศทางและผลเรากลับมาชนะอย่างถล่มทลายมาตลอด ครั้งสุดท้ายเลือกตั้งใน จ.เชียงใหม่ เมืองหลวงคนเสื้อแดงอีกทางภาคเหนือ เรียกไร้ราคาชนะขาดลอยกว่า 4 แสนคะแนน เล่นเอาปิ๊ปขาดตลาดชั่วขณะ          

             วิชาตอกลิ่มลงในหินแกรนิตของจอมวางแผน เทือก หน้าดำ เวลานี้ก็ไร้พิษสงเช่นเดียวกัน นี่มันเท่ากับว่า เร่งวันตายให้ตัวมันเองเช่นกัน ในอดีตเป็นอย่างไรผมไม่ขอกล่าวถึง แต่วันนี้ผมยืนยันว่า ต่อให้ไอ้ฆาตกรแขนคด ฆาตกรฟันน้ำนม มีปีกมุดลงไปในบาดาล ก็ไม่มีทางหนีบ่วงกรรมที่ได้กระทำไว้ได้ เกรงแต่ว่าวันนี้ ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับการ์ดรับเชิญ กินข้าวเหนียวมะม่วง แกงเขียวหวานไก่ คงหนีไม่พ้น ไอ้มาร์ค ไอ้แขนคต ไอ้โกเต๊กลิ้ม ไอ้ห้อยจอมเนรคุณ ทุกท่านลองทายสิครับ บุคคลทั้ง 4 คนนี้ใครจะได้รับเกียรติรัประทาน อาหารอร่อยนี้ก่อนกันครับขออนุญาตุท่าน

หนานเมืองนำคู่มือ การปราบกบฏ มานำเสนอเพื่อเป็นแนวทางให้พี่-น้องเราครับ




http://redusala.blogspot.com

RED USA - LA Pictures for 19 พฤษภา


RED USA - LA Pictures for 19 พฤษภา

http://redusala.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กระทรวงการต่างประเทศยืนยันสัมพันธ์ไทย - สหรัฐฯแน่นแฟ้น


กระทรวงการต่างประเทศยืนยันสัมพันธ์ไทย - สหรัฐฯแน่นแฟ้น


นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ


            นายกรัฐมนตรียืนยันที่จะนำกรณีที่องค์การนาซ่าขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเข้าหารือในที่ประชุมร่วมรัฐสภา ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธข่าวลือจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลว่าสหรัฐอเมริกาจะลดระดับความสัมพันธ์ของไทย

            30 มิถุนายน 2555 go6TV - นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธการยกเลิกกำหนดการเยือนไทยของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่าคงเป็นการเข้าใจผิด และเป็นการรายงานที่คลาดเคลื่อน ซึ่งการเยือนไทยของนายโอบามานั้นอยู่ระหว่างการประสานงานในช่วงเวลาที่เหมาะสม

           ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทย และสหรัฐอเมริกายังคงแน่นแฟ้นเหมือนเดิม เนื่องจากสหรัฐฯเคารพ และเข้าใจการตัดสินใจของรัฐบาล และทั้ง 2 ฝ่าย ก็มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือในด้านต่างๆ กันต่อไป

              ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าแม้องค์การนาซ่ายกเลิกการขอใช้ สนามบินอู่ตะเภาในการสำรวจชั้นบรรยากาศ แต่รัฐบาลจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมร่วมรัฐสภาตามมาตรา 179 เพื่อรับฟังความเห็นของ ส.ส. และ ส.ว.

              ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยอมรับว่าไทยเสียประโยชน์จากการที่องค์การนาซ่ายกเลิกโครงการ พร้อมย้ำว่าฝ่ายความมั่นคงไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร และได้เสนอข้อห่วงใยต่างๆ ไปแล้ว
http://redusala.blogspot.com

"ฟังหูไว้หู"เป็นสุภาษิตที่เหมาะกับคนไทยในยุคไซเบอร์ครับ


"ฟังหูไว้หู"เป็นสุภาษิตที่เหมาะกับคนไทยในยุคไซเบอร์ครับ

ประชาธิปัตย์สะดุ้ง!!! "พานทองแท้" ถาม "ปลาบู่กลับชาติมาเกิด?"

             (29 มิถุนายน 2555 go6TV) - เมื่อช่วงดึกของวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ "โอ๊ค" บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟชบุ๊คส่วนตัวล่าสุด ระบุว่า  "ฟังหูไว้หู"เป็นสุภาษิตที่เหมาะกับคนไทยในยุคไซเบอร์ครับ


ตัวอย่างแรกคือ เหตุการณ์ "คำทำนายของเด็กชาย ปลาบู่" ใครที่จำไม่ได้ก็ตามลิ๊งค์นี้เลยครับ
http://news.mthai.com/headline-news/144420.html


ข่าวลือที่เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ก็คือ ลุงทองใบ คำสี ผู้เป็นพ่อของเด็กชายปลาบู่ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกโดยจ่าหน้าถึง "ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน" และได้ระบุว่า "เด็กชายปลาบู่ได้พูดไว้เมื่อวันที่ 23-25 มิ.ย. 2517" ก่อนเสียชีวิต15วัน ถึงหลายๆเหตุการณ์ แต่ที่เป็นประเด็นได้แก่เรื่องที่ทำนายว่า ปลาบู่จะชนเขื่อน เอ๊ย... เขื่อนจะแตก ในวันปีใหม่ปี2555 จนตื่นตระหนกกันทั้งประเทศโดยเฉพาะจังหวัดตาก แจ้งว่ารายได้ช่วงปีใหม่หายไปร่วม4-500ล้านบาทเลยนะครับ


ตัวอย่างที่2นั้น ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเป็นอย่างยิ่งที่38ปีผ่านมา ในช่วงที่คาบเกี่ยวกัน(ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าพอดีเป๊ะเลยได้หรือเปล่า) คือในช่วงวันที่เดียวกันคือ 23-25 มิ.ย.2555ก็เกิดเหตุการณ์ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ประเมินเป็นมูลค่ามิได้ ก็คือมีการให้ข่าวว่าโครงการสำรวจภูมิอากาศขององค์การนาซ่านั้น อาจมีการจารกรรมสอดแนมของกองทัพสหรัฐฯ จนกระทั่งเป็น "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์"ไปทั่วประเทศ ทำให้การอนุมัติโครงการฯนี้ต้องล่าช้าไปจนทำให้ ในที่สุด องค์การนาซ่าต้องยกเลิกโครงการไปเมื่อวันที่ 26มิ.ย.2555


              แน่นอนครับว่าในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่ "เด็กชายปลาบู่" ที่ออกมาทำนาย แต่บังเอิญว่าชื่อและสมญานามพ้องกัน และผู้ที่ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวนี้ ก็ไม่ใช่ลุงทองใบ คำสี ที่เขียนถึง "ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน" แต่เป็นหัวหน้าพรรค ปชป.ที่ให้เหตุผลคล้ายกับ ลุงทองใบ ในการคัดค้านตอบโต้ รมว.กห.ว่า "รักประเทศต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก" ส่วนความเสียหายนั้น ก็ไม่ใช่4-500ล้าน เหมือนที่จ.ตากนะครับ ถ้าหากการสำรวจครั้งนี้สามารถ "แก้ปัญหา" หรือ "ผ่อนหนักเป็นเบา" หรือแม้แต่เพียง "แจ้งเตือนได้อย่างแม่นยำ" ในเรื่องของภัยพิบัติที่เกิดในบ้านเราถี่ขึ้นทุกวันๆได้จริง ผมว่า"โอกาสที่เราเสียไปนั้นประเมินเป็นมูลค่ามิได้ครับ"


           กำลังทำข้อมูลเรื่องนี้อยู่ดีๆ ทีมงานเฟสบุ๊คผมนี่ก็ช่าง ขุดคุ้ย สืบค้น กันเหลือเกินครับ โดยทีมงานได้เอาข้อความในจดหมายของลุงทองใบ ตอนหนึ่งที่ระบุว่า "เขียนถึงตรงนี้เด็ก(ชายปลาบู่)อายุเพียง 5 ขวบ 8 เดือน 15วัน บ่นว่า เขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์...ฯลฯ" มาคำนวณกับวันที่เด็กชายปลาบู่พูด คือวันที่23-25 มิ.ย.17 หรือว่า 38ปีที่แล้ว เมื่อหักลบ 8เดือน15วัน จะพบว่าใกล้เคียงกับวันที่10 ต.ค. ซึ่งก็ไปหามาอีกว่า ใกล้เคียงวันเกิดของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของสมญานาม "ปลาบู่ชนเขื่อน" ซึ่งเกิดหลังจากที่ด.ช.ปลาบู่เสียชีวิตไปเพียง 3เดือนเศษเท่านั้น อะไรมันจะช่างบังเอิญขนาดนั้นครับ ทั้งวันที่พูด, เหตุการณ์, ปี พ.ศ. ฯลฯ ทำให้วันนี้ทั้งวันในออฟฟิตไม่เป็นอันทำอะไรมัวแต่ถกเถียงกันอยู่นั่นแหละว่า "เด็กชายปลาบู่กลับชาติมาเกิดหรือไม่" อะไรมันจะเชื่อกันไปขนาดนั้น !!!!




ในรูปที่ผมแนบมานี้ เป็นบทความจาก สำนักข่าวพระพยอมครับ ท่านบอกว่า คำทำนายของ "เด็กชายปลาบู่" ฟังได้แต่ต้องพิจารณา ความเชื่อเรื่อง"ปลาบู่กลับชาติมาเกิด" รวมถึงเรื่อง "นาซ่ามาไทยเพื่อสอดแนม" นี่ก็ "ฟังได้แต่ต้องพิจารณา" เช่นเดียวกันครับ


ผมถึงว่าไว้ไงครับว่า ต้องฟังหูไว้หูครับ สมัยนี้ต้องฟังหูไว้หู


           ทั้งนี้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากต่างสังเกตว่าในระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารและผู้มีตำแหน่งทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีปฏิกริยาต่อข้อความของนายพานทองแท้ ชินวัตร ทุกครั้ง และเมื่อไม่สามารถตอบโต้เหตุผลของนายพานทองแท้ได้ พรรคประชาธิปัตย์จะส่งผู้อื่นมาทำการตีรวนและเบี่ยงประเด็นแทน ขณะที่ผลสำรวจของเว็บไซท์ go6TV ล่าสุด ระบุว่า ประชาชนร้อยละ 90 ไม่เชื่อพรรคประชาธิปัตย์กรณีองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา
http://redusala.blogspot.com

ประชาชนตะเพิดพ้นปทุมฯ "อภิสิทธิ์" ผวาหนัก เผ่นหนีทิ้งสาวก


ประชาชนตะเพิดพ้นปทุมฯ "อภิสิทธิ์" ผวาหนัก เผ่นหนีทิ้งสาวก

ประชาชนชาวปทุมธานีกว่า 300 คนสุดทน บุกตะเพิดอภิสิทธิ์ กลางเวทีประชาธิปัตย์ ตะโกนสาปแช่งฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน ก่อนลุกฮือเหตุมีมือมืดภายในงานแกล้งปาสิ่งของเข้าใส่ประชาชน โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ตำรวจหิ้ว "มาร์ค" ออกหลังงานแบบหมดสภาพ ชาวปทุมฯสั่งสอน หากมาเหยียบถิ่นอีกเจอกันแน่



ภาพชาวปทุมธานี ไล่ตะเพิดอภิสิทธิ์ สาปแช่งฆาตกร

(29 มิถุนายน 2555 go6TV) เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ที่งาน “ราตรีสีฟ้า พรรคประชาธิปัตย์พบประชาชนคนปทุมธานี” ณ โรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร ริมคลองเทศบาลนครรังสิต ระหว่างการปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานีและพื้นที่ใกล้เคียงจำนวนประมาณ 300 คน นำโดยนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ และนายศรรัก มาลัยทอง ดีเจวิทยุชื่อดังของจังหวัดปทุมธานี สุดทนพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมสาปแช่งและชูป้ายขับไล่ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นฆาตกร สั่งฆ่าประชาชน ระหว่างนั้น ได้มี "มือมืด" ปาขวดน้ำเข้าไปยังกลุ่มประชาชนชาวปทุมธานี ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่พอใจและโยนขวดน้ำกลับคืนไปในงาน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสภอ.ประตูน้ำ จุฬาลงกรณ์ ได้นำกำลังเข้าดูแลพื้นที่ทั้งในและนอกโรงเรียนและปิดประตูโรงเรียน พร้อมนำกระดานดำ มากั้นไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย ล่าสุดหลังจากนายอภิสิทธิ์ เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ยุติการปราศรัย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลากตัวออกทางประตูด้านหลังโรงเรียน เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า

ด้านประชาชนชาวปทุมธานีเมื่อทราบว่านายอภิสิทธิ์กลับไปแล้ว จึงประกาศให้มวลชนสลายตัว ทำให้กลุ่มคนที่มารอฟังนายอภิสิทธิ์รู้สึกมึนงง และพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนาๆ ขณะที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจำนวนมากระบุ กรณีชาวปทุมธานีไล่ตะเพิดอภิสิทธิ์ เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ พร้อมทั้งแนะว่าคนไทยต้องไม่ยอมรับฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชน



ภาพชาวปทุมธานีร่วมใจสามัคคีตะเพิดอภิสิทธิ์
http://redusala.blogspot.com

'แดงปทุมฯ'บุกเวทีปราศรัยปชป.


'แดงปทุมฯ'บุกเวทีปราศรัยปชป.


'แดงปทุมฯ'บุกเวทีปราศรัยปชป.
เสื้อแดงปทุมธานี 2-3 ร้อยคน บุกเข้าป่วนเวทีปราศรัยพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ปชป.ชูปทุมธานีเป็นโมเดลสร้างสมานฉันท์


              ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดเวทีปราศรัยเคลื่อนที่ไปตามพื้นที่ต่างๆ และวันที่ 29 มิ.ย.นี้เวลา 18.00 น. ได้จัดงานราตรีสีฟ้าพรรคประชาธิปัตย์พบคนปทุมธานี โดยมีการจัดเลี้ยงโต๊ะจีนจำนวน 200 โต๊ะ มีประชาชนมาร่วมงานกว่า 2,000 คน ที่บริเวณสนามภายในโรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี

ต่อมาเวลา 19.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคฯ นายกรณ์ จาติกวานิชย์ พร้อมด้วยสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาร่วมงานและขึ้นเวที ชี้แจงกับประชาชนในเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมและเรื่องการขอใช้สนามบินอู่ตะเภาของนาซ่า

ระหว่างนั้นได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนประมาณกว่า 200-300 คน ได้เดินทางมายังบริเวณหน้าโรงเรียนสถานที่จัดงานพร้อมทั้งใช้เครื่องขยายเสียงตะโกนขับไล่นายอภิสิทธิ์และกล่าวโจมตีด้วยถ้อยคำหยาบคาย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวนกว่า 50 คนคอยดูแลความสงบเรียบร้อย โดยการปิดประตูรั่วโรงเรียนไม่ยอมให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปในสถานที่จัดงาน และมีรายงานว่าได้พังประตูเข้าไปได้

อย่างไรก็ตามจนกระทั่งเวลาประมาณ 20.30 น. นายอภิสิทธิ์ และคณะได้เดินทางกลับ โดยใช้ประตูทางออกทางด้านหลังโรงเรียน ส่วนกลุ่มเสื้อแดงยังคงปักหลักกล่าวโจมตีอยู่อีกประมาณ 15 นาที ก่อนจะสลายตัวกลับไปโดยไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด


ปชป.ชูปทุมธานีเป็นโมเดลสร้างสมานฉันท์


ทั้งนี้การเปิดเวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ดังกล่าวได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องอารียา โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต ชั้น 5 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดการประชุม-สัมมนาเชิงปฏิบัติการ “รวมพลังสมัชชา ออกแบบประเทศไทย” โครงการพรรคประชาธิปัตย์พบประชาชนภาคกลาง ครั้งที่ 3/2555 โดยมี นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร(ส.ส)จังหวัดปทุมธานี เขต 5 ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 11 ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดปทุมธานี ประธานหอการค้าจังหวัดปทุมธานี นายกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี นายกสมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดปทุมธานี และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดปทุมธานีร่วม 1000 คนสนใจมาร่วมประชุมเสวนาในครั้งนี้ด้วย

นายอลงกรณ์ พลบุตร ได้กล่าวเปิดงานว่า การจัดงานประชุมสัมมนาสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดปทุมธานีนั้นเพื่อที่จะออกแบบนโยบายของพรรคซึ่งจะมีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลาทางพรรคประชาธิปัตย์จึงได้จัดประชุมสัมมนาตามจังหวัดต่างๆเพื่อนำข้อมูลมาเป็นฐานในการออกแบบพัฒนาประเทศในโอกาสต่อไป โดยการระดมสมองจากพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานีเนื่องจากว่าจังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดปริมณฑลใกล้กรุงเทพมหานครเพราะฉะนั้นรูปแบบหรือว่าโครงสร้างพื้นฐานถนนหนทางหรือคลองต่างๆก็จะใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งทางด้านการศึกษา ทางด้านระบบเศรษฐกิจบริบทของจังหวัดปทุมธานีมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าพัฒนาให้เป็นเขตพื้นที่เศรษฐกิจอีกเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองหลวง และปัจจุบันนี้กรุงเทพมหานครก็ค่อนข้างแออัดเพราะฉะนั้นจังหวัดที่อยู่รอบๆกรุงเทพมหานครก็คือจังหวัดปริมณฑลอย่างเช่นจังหวัดปทุมธานีเป็นต้น เพราะฉะนั้นวันนี้จึงมีประเด็นเสวนาขึ้นมาก็คือเรื่องประเด็นเศรษฐกิจกับการพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกันระหว่างกรุงเทพมหานครกับจังหวัดปทุมธานี

ด้านนายอภิรักษ์ ได้กล่าวบนเวทีเสวนาว่า จังหวัดปทุมธานีถือว่าเป็นจังหวัดโมเดลในเรื่องของการสมานฉันท์เพราะคนปทุมธานีไม่แบ่งสีทุกคนชอบคนทำงานพัฒนาบ้านเมือง ดังนั้นในวันนี้จึงได้มีการจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อร่วมกันระดมสมองในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุก็คือการวางผังเมืองระหว่างอำเภอลำลูกกาจังหวัดปทุมธานีและสายไหม กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรอยต่อ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา รวมไปถึงระบบขนส่งมวลชน และเรื่องมาตรการในการป้องกันน้ำท่วม เพราะฉะนั้นท่าเรามีการวางระบบผังเมืองที่ดีเรารู้ว่าจะมีการพัฒนาเมืองไปตรงไหนพื้นที่ไหนเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่เส้นทางน้ำไหลพื้นที่ไหนมีระบบในเรื่องของระบบท่อระบบระบายน้ำเชื่อมโยงกับระบบประตูระบายน้ำของกรมชลประทานระบบประตูระบายน้ำของกรุงเทพมหานครแบบนี้จึงต้องมีการวางแผนร่วมกันในเรื่องของการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน

ส่วนด้าน ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี เขต 5 กล่าวว่า ด้วยกรุงเทพกับจังหวัดปทุมธานีควรที่จะเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมในระดับเดียวกัน และควรที่จะเป็นพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานต่างๆระบบเดียวกัน อย่างเช่น การขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็น รถเมล์ รถไฟฟ้า ควรที่จะเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยง ขยายเมืองขึ้นมาเพื่อลดความแออัดเพ่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจระดับประเทศ เพราะฉะนั้นจึงมีการสัมมนาขึ้นเนี้ยมันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนและใช้เวลานานเท่าไรอย่างไรเพื่อรองรับความเจริญเติบโตเพราะอีกไม่นาน 2-3 ปีข้างหน้านี้เราจะมีเสรีอาเซี่ยน เพราะฉะนั้นพื้นที่จังหวัดปทุมธานียังมีพื้นที่ว่างพอที่จะรองรับความเจริญเติบโตและก็รองรับการเปิดตลาดทางด้านอาเซี่ยนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า โดยการสัมมนาจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการในวันนี้ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ซึ่งได้แบ่งกิจกรรมเป็น 3 ช่วง คือ ในช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 08.00 น.- 12.00 น. เป็นกิจกรรมการเสวนาวางแผนผังเมือง ช่วงที่ 2 คือ เวลา 13.00น. กิจกรรมการแบ่งกลุ่มย่อยระดมความคิดเห็น ตัวแทนกลุ่มย่อยนำเสนอความคิดเห็นต่อที่ประชุมใหญ่ จากนั้นจึงสรุปประมวลผลการประชุม และช่วงที่ 3 คือ เวลา 18.00 น.ทุกคนร่วมงาน “ราตรีฟ้า พรรคประชาธิปัตย์พบประชาชนคนปทุมธานี” ณ โรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร ริมคลองเทศบาลนครรังสิต ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี โดยงานจะมี นายกรณ์ จาติกวณิชย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวคำปราศรัย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวคำปราศรัยด้วย

รอง.ผบก.ปทุมฯฝึกชุดควบคุมฝูงชนเตรียมรับม็อบ

ขณะเดียวกันพ.ต.อ.วัฒนา วงศ์จันทร์ รอง ผบก.ปทุมธานี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จำนวน 500 นาย ร่วมฝึกซ้อมทบทวน การสาธิต การปฏิบัติงาน การเคลื่อนย้ายกำลังพลไปยังจุดที่ผู้ชุมนุมบุกรุกเข้าไปภายในสถานที่ราชการ หรือ สถานที่หวงห้าม ก่อนจัดกำลังตั้งแถวจับเข็มขัดเดี่ยวมือเปล่า ซึ่งจะใช้ในกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ แต่หากสถานการณ์เริ่มมีความรุนแรงขึ้น ก็จะนำโล่มาเป็นเกราะป้องกัน นำรถปราบจลาจลเข้าทำการฉีดน้ำในแรงดันระดับปานกลางใส่กลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อควบคุมสถานการณ์ แต่หากยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จะทำการยิงกระสุนยางใส่บริเวณลำตัวของผู้ชุมนุม ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งและไม่ทำให้เกิดอันตราย ขณะเดียวกัน หากสถานการณ์เริ่มยืดเยื้อและมีความรุนแรงขึ้น ทางเจ้าหน้าที่จะทำการควบคุมโดยการใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งขั้นตอนของการใช้แก๊สน้ำตานั้น จะนำมาใช้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น

พ.ต.อ.วัฒนา วงศ์จันทร์ รอง ผบก.ปทุมธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการฝึกครั้งนี้เพื่อทบทวนในการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งช่วงหลังนี้ได้เกิดเหตุการณ์ในการปิดถนนบ่อยครั้งมากและได้มีเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละโรงพักยังไม่มีความพร้อมเท่าที่ควรจึงจำเป็นจะต้องทบทวนในการฝึกใหม่พร้อมเตรียมรับสถานการณ์ได้ทันทีซึ่งต่อไปในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีหรือใกล้เคียงมีการปิดถนนก็จะจัดส่งชุดควบคุมฝูงชนเข้าทำการสลายได้เลย

(หมายเหตุ :ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=JjVTqn0MgJY )
http://redusala.blogspot.com

“ส.ส.ร.40” ชน “ศาลรธน.” ชี้เป็นตัวการก่อวิกฤติรอบใหม่


“ส.ส.ร.40” ชน “ศาลรธน.” ชี้เป็นตัวการก่อวิกฤติรอบใหม่

“ส.ส.ร.40” ชน “ศาลรธน.” ชี้เป็นตัวการก่อวิกฤติรอบใหม่



วันที่ 27 มิ.ย. ที่รัฐสภา กลุ่มสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 40 (ส.ส.ร.40) ประมาณ 20 คน นำโดย นายคณิน บุญสุวรรณ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง นลฯ ได้หารือร่วมกันถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคแรก พร้อมกับมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติในวาระสามของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย


จากนั้นกลุ่มส.ส.ร.40 ออกจดหมายเปิดผนึกในนามของกลุ่มส.ส.ร.40 โดยนายคณิน กล่าวว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 50 ส่วนใหญ่ลอกมาจากรัฐธรรมนูญปี 40 โดยเฉพาะมาตรา 68 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาขณะนี้ ก็ลอกมาจากมาตรา 63 ของปี40 เพียงแต่มีการเพิ่มเติมบทลงโทษไว้ในวรรคสี่ คือยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ถือเป็นการจงใจเบี่ยงเบนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญปี 40 ในการสัมมนาภายหลังการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2543 ได้กำหนดกรอบปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญเป็นบรรทัดฐานมาเกือบ 9 ปี ว่าทุกเรื่องผู้ร้องจะต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ที่อัยการสูงสุดจะยื่นหรือไม่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

นายคณิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาส.ส.พรรคไทยรักไทยเคยยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นเรียกร้องขอนายกฯพระราชทานตามมาตรา 7 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2549 ยังปฏิเสธไม่รับคำร้อง โดยให้ไปยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน การอ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ถูกยกเลิกไป ศาลรัฐธรรมนูญชุดใหม่ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของชุดเดิม ถือว่าไม่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่มีบรรทัดฐานอะไรเลย ขณะที่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญ 40 คือการบัญญัติการกระทำผิดตามมาตรา 63 ว่าการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจเท่านั้น

“ดังนั้นการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ถือเป็นการล้มล้างบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญเสียเอง ถึงขั้นบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยพลการ ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรย่อมก่อให้เกิดความเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง เท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว”นายคณินกล่าว และว่าจากนี้ไปไม่ว่า ครม. ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวแตะต้องหรือแม้แต่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป เท่ากับว่านอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจตีความแล้ว ยังมีอำนาจในการควบคุมรัฐสภา ควบคุมครม. และควบคุมประชาชนอีกด้วย ซึ่งจะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้ง และเกิดวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุดจนมิอาจพยากรณ์ได้ว่าสุดท้ายจะเกิดหายนะต่อบ้านเมืองอย่างไร 



นายไชยยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สาเหตุที่จะทำให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อยู่ครบวาระหรือไม่ คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหากวินิจฉัยว่าการร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐและส่งผลให้ไม่สามารถลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ได้ หรือหากฝืนที่จะลงมติวาระ 3 อาจจะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การยุบพรรคการเมือง ทำให้กลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงไม่ยอมรับคำตัดสิน และมีการขับเคลื่อนมวลชนมาประท้วงขับไล่ศาลรัฐธรรมนูญ จนทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างคนที่ต่อต้านศาลรัฐธรรมนูญและกลุ่มคนที่ต้องการปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้นำไปสู่สงครามกลางเมือง จนรัฐบาลไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ นำไปสู่การปฏิวัติ


"สำหรับการยื่นถอนประกันตัวชั่วคราวนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดง ทำให้ต้องถูกจองจำนั้น คงไม่ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวมากนัก เพราะจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับรัฐบาล ส่วนการจะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วจะทำให้รัฐบาลอยู่ครบวาระหรือไม่ คงไม่ใช่ประเด็นที่มีส่วนสำคัญ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วเห็นว่าควรที่จะต้องมีการปรับ ครม. หากปรับแล้วมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ก็จะทำให้รัฐบาลแข็งแกร่งมากขึ้น" นายไชยยันต์กล่าว
ข้อมูลที่มา ข่าวสดออนไลน์ 
 http://www.khaosod.co.th/
& VoiceTV
http://redusala.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Massacre in Thailand


Massacre in Thailand



http://redusala.blogspot.com

ขอเชิญร่วมประกวด ทุรวลี



ขอเชิญร่วมงานประกวด ทุรวลี

“Red USA” ขอเชิญมาร่วมสนุกโดยการส่งคำขวัญ “ทุรวลี “ แบบ "ปลุกจิต" เข้าประกวด มีรางวัลให้...รางวัลพิเศษ กิน อยู่ เที่ยวในแอลเอ "ฟรี" 1 อาทิตย์




“Red USA” ขอเชิญมาร่วมสนุกโดยการส่งคำขวัญ “ทุรวลี “ แบบ "ปลุกจิต" เข้าประกวด มีรางวัลให้...รางวัลพิเศษ กิน อยู่ เที่ยวในแอลเอ "ฟรี" 1 อาทิตย์

เนื่องจากระยะนี้พวกเราที่รักประชาธิปไตยทั้งในเมืองไทยทั่วโลกต่างก็มีความเครียดกับการเมืองที่ไม่นิ่งเลยจากการก่อกวนของอำมาตย์และสุนัขรับใช้ ทาง Red USA จึงอยากจะจัดประกวดคำขวัญหรือทุรวลี เพื่อคลายเครียดเรียกขวัญและกำลังใจคืนมาในหมู่นักท่องเน็ตและโซเชี่ยลมีเดียทั้งหลายที่ได้ต่อสู้อำมาตย์ร่วมกัน

คำขวัญหรือ ทุรวลี ที่ส่งเข้าประกวด อาจอยู่ในบริบทของการเมือง การบ้าน หรือเฉียดฉิวการมุ้งบ้างก็ได้ เพื่อความหลากหลาย ช่วยระบายความอัดอั้น ให้บางเบา จากความอยุติธรรมที่อำมาตย์มันเอามากดขี่พวกเรา
ตัวอย่างคำขวัญหรือทุรวลีเช่น :

... ชวนยังหลีกภัย มึงเป็นใครไม่หลีกกู

... ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ xxxเมียเพื่อน

... ผมเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา ถ้าพรรคผมได้เปรียบ

... นมเมียไว้ให้ผัว นมวัวไว้ให้ลูก

... หน้าประถม นมมหาวิทยาลัย

… ไม่รักพ่อให้ไปอยู่ประเทศอื่น

… พ่อกูอยู่ประเทศไทย พ่อมึงอยู่ประเทศไหน ใช่อเมริกาหรือเปล่า

...วังไม่มีนอน อาัศัยนอนกับเจ้าของวัง

...เบนซ์ไม่ีมีขี่ เอาแต่ขี่เจ้าของเบนซ์

และ ฯลฯ เป็นต้น

สำหรับรางวัลจะมีอยู่ 2 ประเภทคือ:

1.รางวัลบริจาคเพื่อการกุศลตามเจตนาของผู้ที่ได้รับรางวัล :

รางวัลที่ 1 เป็นจำนวนเงิน สามพันบาท

รางวัลที่ 2 เป็นจำนวนเงิน สองพันบาท

รางวัลที่ 3 เป็นจำนวนเงิน หนึ่งพันบาท

2.รางวัลพิเศษ : คือ อยู่ฟรี เที่ยวฟรี กินฟรีหนึ่งอาทิตย์ในแอลเอ มีข้อแม้ว่าต้องมีค่าคั๋วและขอวีซ่ามาเอง รายจ่ายในการอยู่ฟรี กินฟรี เที่ยวฟรีหรืออะไรนนอกเหนือจากนั้น(ยกเว้นการ Shopping…55555) Red USA จะจัดให้(ป.ล. หากคนในแอลเอหรือในสหรัฐได้รับรางวัลนี้ก็สบายไป...55555)

กฎและกติกา:

1. นักท่องเนตและมวลชนในโซเชียลมีเดียสามารถส่งคำขวัญเข้าประกวดได้โดยการเข้ามาโพสต์ “คำขวัญ “ ของท่านในกระทู้นี้(หากยังไม่ได้เป็นสมาชิกประชาทอลค์ คงต้องสมัครก่อนถึงจะโพสต์ได้) 1 ล็อกอินให้ส่งได้ไม่เกิน 3 คำขวัญ โดยเริ่มตั้งแต่ นาทีที่โพสต์กระทู้นี้เป็นต้นไปและจะหมดเวลาโพสต์ส่งเข้าประกวดในวันที่ 4 ก.ค. 2555 (เวลา 24.00น. เวลาในประเทศไทย) หลังจากนั้นก็จะมีการให้โหวตต่อจากสมาชิกเองว่าคำขวัญไหนเป็นที่ชื่นชอบและถูกใจมากที่สุดและจะปิดการโหวตเมื่อ 24.00น.ของวันที่ 9 ก.ค. 2555 หลังจากนั้นก็จะมีการนับคะแนนประกาศผลและให้รางวัลแก่ “คำขวัญ” ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ตามที่ได้กล่าวไว้

***หมายเหตุ: การโหวตตามข้อที่ 1 สิทธิในการโหวต 1 ล๊อกอิน 1 เสียง

การโหวตให้รางวัลพิเศษข้อ 2 ให้โหวตว่า “ล็อกอิน” ใดสมควรจะได้รับ
หารโหวตทั้งสองข้อนี้ให้โหวตใน Comment และในเวลาเดียวกัน
2. สำหรับเงินรางวัลนั้นให้ผู้ได้รับเลือกอันดับ 1-3 ตกลงกันเองว่าจะบริจาคเงินจำนวนนั้นให้กับใคร องค์การไหนแล้วแจ้งให้ทางเราทราบRed USA ก็จะส่งเงินจำนวนนั้นไปบริจาคที่สถานที่ดังกล่าวพร้อมกับอธิบายถึงที่มาของเงินจำนวนนี้ หลังจากที่ได้บริจาคแล้ว Red USA ก็จะนำหลักฐานการบริจาคมาเปิดเผยให้ทราบต่อไป
อยากบริจาคการกุศลโดยการชนะประกวดคำขวัญหรือมีคนรับรองให้อยู่ฟรี กินฟรี เที่ยวฟรี ในแอลเอเป็นเวลา 1 อาทิตย์
เชิญครับ....
http://www.redusala.blogspot.com/

ด่วน! "สลิ่ม" ส่งคนป่วนเวทีเสื้อแดงวงเวียนใหญ่


ด่วน! "สลิ่ม" ส่งคนป่วนเวทีเสื้อแดงวงเวียนใหญ่
ด่วน! "สลิ่ม" ส่งคนป่วนเวทีเสื้อแดงวงเวียนใหญ่




























เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ที่เวทีปราศัยพรรคเพื่อไทยวงเวียนใหญ่ มีเหตุการณ์สลิ่มกลุ่มหนึ่งประมาณ 30 คน  ใส่เสื้อสีเหลือง ชมพู ฟ้า ส้ม พร้อมป้ายแสดงชื่อกลุ่มเข้ามาฝั่งประตูชุมนุม

เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาในงาน ได้เเดินอยู่ประมาณ 1 นาที พร้อมกับแจกเอกสารตามในภาพ และรีบเดินออกไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กลุ่มเสื้อแดงภายในงานได้เห็นเหตุการณ์ ได้เข้าไปสอบถามว่าเกิดอะไร  ผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มได้ตอบว่า กลุ่มของตน ได้รับการว่าจ้างจากหัวคะแนนพรรคหนึ่ง ในเขต สมุทรปราการ เพื่อไปร่วมงานรวมพลังแห่งหนึ่ง โดยสัญญาว่าจะได้ค่าจ้างราคา 500 บาทต่อ 1 วัน พร้อมรถรับส่ง

เมื่อเสร็จงานแล้ว คนพามางานได้บอกว่า "ให้ไปรับเงินที่วงเวียนใหญ่" โดยที่กลุ่มที่มาดังกล่าวบอกว่า ไม่รู้ว่าหมายถึงเวทีเสื้อแดง พอมาถึงก็ "ตกใจ และ งง" แต่พอรู้ว่า น่าจะโดนหลอกมา จึงรีบทิ้งเอกสารที่เค้าแจกมาให้ และรีบออกไปจากงานโดยทันที

แต่ก็ยังมีบางคนที่ชื่นชอบเสื้อแดงบอกว่า ขออยู่ฟังปราศัยก่อน

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดๆเกิดขึ้น และเสื้อแดงที่มาฟังปราศัย และเสื้อหลากสีกลุ่มดังกล่าว ได้หัวเราะกันอย่างขบขัน และเล่ากันฟังอย่างสนุกสนานเมื่อทราบความจริงว่า "โดนหลอกมา"
http://redusala.blogspot.com

ด่วน! หญิงบุกประชิดตัว "ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ" สารภาพรับจ้างมา 5000 บาท


ด่วน! หญิงบุกประชิดตัว "ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ" สารภาพรับจ้างมา 5000 บาท












ด่วน! ผู้หญิงบุกป่วนเวทีเสื้อแดงวงเวียนใหญ่ บุกประชิดตัวด่าณํฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เบื้องต้นสอบสวนแล้วให้การรับสารภาพว่า รับจ้างมาในราคา 5000 บาท และยอมรับว่ามีพฤติกรรมดูสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกาย แล้วมีจิตใจเคียดแค้นคนเสื้อแดงมาก

รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบต่อไป

ภาพ : โอฬาร เลิศรัตนดำรงกุล...สำนักข่าวเนชั่น @olan_nna
http://redusala.blogspot.com

"นาซ่า" ประกาศ "ยกเลิก" แผนงานวิจัยสำรวจบรรยากาศในไทยแล้ว!


"นาซ่า" ประกาศ "ยกเลิก" แผนงานวิจัยสำรวจบรรยากาศในไทยแล้ว!





NASA Planning Major Airborne Scientific Study in Southeast Asia


Editor's Note – On June 26, 2012, NASA cancelled the SEAC4RS mission, which was scheduled to begin in August 2012, due to the absence of necessary approvals by regional authorities in the timeframe necessary to support the mission's planned deployment and scientific observation window.



More than 150 scientists, technicians and airborne research specialists gathered in Boulder, Colo., last month to develop strategies for doing something that has never been done before: probing a vast expanse of the Southeast Asian atmosphere from top to bottom at the critical time of year when strong weather systems and prolific regional air pollution pump chemicals and particles high into the atmosphere with potentially global consequences for Earth's climate.


The daunting effort this group is crafting will be NASA's most complex and ambitious airborne science campaign of the year: the Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study, or SEAC4RS. With support from the National Science Foundation and the Naval Research Laboratory, the campaign will draw together coordinated observations from NASA satellites, several research aircraft, and an array of sites on the ground and at sea. The campaign is sponsored by the Earth Science Division in the Science Mission Directorate at NASA Headquarters in Washington.


Pending approval of NASA's plans by the government of Thailand, where the flights would originate, SEAC4RS will take to the field in August. The campaign is being lead by Brian Toon, chair of the University of Colorado's Department of Atmospheric and Oceanic Sciences. Toon is a veteran of NASA airborne campaigns, including flights to study the Antarctic ozone hole and atmospheric effects of volcanic eruptions.


"Southeast Asia is a really important part of the world. A large fraction of the world's population lives there," said Toon. "There are emissions from big seasonal fires and megacities that are moved around the region by a complex meteorological system. When these chemicals get into the stratosphere they can affect the whole Earth. They may also influence how the seasonal monsoon system behaves. With SEAC4RS we hope to better understand how all these things interact."


Some scientists believe that Southeast Asia is the primary place where new air is transported into the stratosphere. SEAC4RS will investigate that hypothesis and provide new insights into exactly what the effects are of the pollution vapors and tiny particles called aerosols that reach the stratosphere. Do the particles reflect incoming solar energy and produce a net cooling of our planet? Do the gases alter the chemical balance of the upper atmosphere and features like our protective ozone layer? SEAC4RS will address these issues of global concern.


Jeffrey Reid of the Naval Research Laboratory's Marine Meteorological Division in Monterey, Calif., the SEAC4RS lead for aerosol and radiation activities, is working on other environmental issues much closer to where people live. "Many scientists in Southeast Asia and the United States want to improve air quality forecasting in the region. This requires that we understand how pollution and the weather interrelate. Nowhere on Earth compares to Southeast Asia’s complex meteorology. It may be the most difficult place on the planet to forecast. Because the region hosts both severe air pollution episodes and some of the cleanest areas on Earth, it is an excellent natural laboratory to understand how pollution, weather and climate interact."


Reid's research is focused on developing methods to monitor the lifecycle of air pollution particles in Southeast Asia and to what extent aerosol pollution can change clouds. From a global climate perspective, clouds act both to keep energy rising from Earth's surface in the atmosphere and to reflect incoming solar energy back into space. Aerosols can change the blanket-like and mirror-like properties of clouds to change this energy balance. On a local level, the tiny pollution particles are thought to influence weather conditions by changing the timing and amount of rain falling from clouds.


SEAC4RS planners will be using a suite of scientific instruments in orbit, in the air, and on the ground to paint a detailed view of these intertwined atmospheric processes. As NASA's A-Train fleet of formation-flying satellites passes over the region every day, sensors will detect different features of the scene below.


NASA's ER-2 high-altitude aircraft will fly into the stratosphere to the edge of space while the National Science Foundation's G-V and NASA's DC-8 aircraft sample the atmosphere below it. An array of sensors spread across the region at locations on the ground and in the South China Sea will observe the atmosphere from the bottom up.


Another benefit of this thorough examination of the region's atmosphere will be more accurate satellite data. "Southeast Asia is an incredibly difficult place to do satellite remote sensing because clouds so often get in the way," said Hal Maring of the Earth Science Division at NASA Headquarters. "By using aircraft to collect data from inside the atmosphere rather than above it, we can compare those measurements with what our satellites see and improve the quality of the data from space."


NASA has proposed to base the SEAC4RS aircraft in Thailand so that the planes can sample the two big meteorological drivers of the region's atmospheric circulation: the summertime monsoon circulation to the west and marine convection to the east and south that can loft emissions into the stratosphere.


There is a lot of tricky coordination involved in planning a major field campaign like SEAC4RS, especially in a region made up of so many different countries. The Boulder meeting was the first time that everyone involved in the project got together to discuss detailed flight plans, logistics, and schedules.


"This is certainly one of the largest airborne campaigns NASA has undertaken," said Toon. "We have a diverse fleet of aircraft, a lot of different scientific communities involved, and we are flying over a new region for us. But it's exciting to see all these different people come together to tackle a big scientific problem," Toon said.


Related Links
SEAC4RS Mission Page
NASA's Airborne Science Program

http://redusala.blogspot.com