วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554


บัน คี มุน – ฮิลลารี คลินต้น รหัสลับ-ประชาธิปไตย 

        ความเข้มข้นการเยือนประเทศไทยของ “บัน คี มุน” ผ่านไปแล้ว ๓ – ๔ วัน แต่ยังมีควันหลง เกี่ยวกับ “รหัสลับ” ที่คนไทยควรจะเก็บอามาคุยกันเล่น เพราะมัน “มีค่า” ทางการเมืองไทยเป็นอย่างมาก มากกว่าภาพที่เห็นจากจอโทรทัศน์และบนหน้าหนังสือพิมพ์

         กรณีบุคคลสำคัญของโลก ๒ คน“บัน คี มุน” เลขาธิการสหประชาชาติ นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกาเดินทางมาเยือนประเทศไทยเมื่อ ๓-๔ วันของสัปดาห์ก่อน ถือว่าเป็น “รหัสลับ”บ่งบอกถึงเส้นทางและสายใยประชาธิปไตยในประเทศฯไทย

               เพราะว่าก่อนหน้านี้ ย้อนไปที่รัฐบาล คมช. และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเราได้พบ “กับตา”ว่าผู้นำในโลกกลมๆใบนี้เขาไม่คบด้วย เพราะเขาถือว่าประเทศไทยไม่ยอมใช้ระบอบประชาธิปไตย

              ตามที่ประเทศไทยอ้างมายาวนานว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่ได้หันไปใช้วิธีการเผด็จการแบบพิสดาร (ยึดอำนาจด้วยปลายกระบอกปืน)เอามาปกครองประเทศ
ผู้นำทางการเมืองในประเทศต่างๆจึงไม่คบด้วย

              แต่ก็น่าแปลกตรงที่ผู้นำของไทย (ในยุคนั้น) ไม่ได้มีอาการละอายแก่ใจ ตรงกันข้ามกลับพากันแสดงอาการแจ่มใสว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตยแท้ ... แล้ว “อวดอ้าง” ไปจนทั่วว่าประเทศไทยเป็นแผ่นดินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยของประชาธิปไตย

              ในเวลาเดียวกัน สื่อหลักของประเทศไทยก็พากันส่งเสริมความแจ่มใสนั้นด้วย
ในขณะเดียวกัน เมื่อประชาชนรวมตัวกันเป็น “นปก.” และ “นปช.” ออกมาต่อต้านระบอบเผด็จการ แทนที่พวกสื่อกระแสหลักจะเสนอข่าวด้วยความหมายประชาธิปไตย กลับมากัน“ก่นด่า” และกล่าวหาไปต่างๆนานา ดังจะเห็นได้จากความเลวร้ายถึงขั้นประชาชน (คนเสื้อแดง) ถูกฆ่าทิ้งก็ยังก่นด่าแล้วเขียนบทความตำหนิว่า “สมควรตาย” และกล่าวเสริมอีกว่า “ตายแค่นี้ยังน้อยไป” !

             ภาพอย่างนี้คนไทยได้ยินด้วยหู ...เห็นด้วยตาของตังเอง มิใช่หรือ ?

             จากภาพเหล่านี้แหละ จึงอยากเขียนถึง “รหัสลับ” ที่มากับบุคคลทั้งสองให้คนไทยได้เก็บเอาไปทบทวนดูบรรยากาศทั้งในอดีต และในวันข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง

             กล่าวถึงรหัสลับ เราขอกล่าวถึงเส้นทางประชาธิปไตยของทุกประเทศในโลกก่อนว่า
รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ บนโลกใบนี้ถือว่าอำนาจการบริหารประเทศต้องมาจากการ “เลือกตั้ง” ของประชาชนเท่านั้น ถ้ารัฐบาลใดมาจากการทำรัฐประหาร หรือการยึดอำนาจ-ไม่ถือว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย

             ประเทศไทยเป็นกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาด้านประชาธิปไตย เพราะได้มี “ผู้ทรงอิทธิพล” ชอบใช้อำนาจเผด็จการ ยึดอำนาจด้วยปลายกระบอกปืนหลายครั้งหลายคน จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบอบการเมืองในประเทศไทย

             คนไทยยอมรับการกระทำแบบบ้า ๆ บวม ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ?

             ดังจะได้จากการยึดอำนาจครั้งสุดทายเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๔๙ พวกที่ยึดอำนาจได้เอามีดอีดาบปลายแหลม “เสียบหน้าอก” ประเทศของตัวเอง แล้วปักคาเด่เอาไว้ ทำให้เกิดความเสียหาย แก่ประเทศอย่างใหญ่หลวง ทำให้สภาวะทางเศรษฐกิจถอยหลัง เกิดขบวนการ ๒ มาตรฐาน เกิดการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเอาเป็นเอาตาย

            โดยมีคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันในนาม “คนเสื้อเหลือง” ภายใต้การนำของพันธมิตรและสันติอโศก ได้ออกมาเป็น “หัวหอก” ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ กล่าวหาคนในชาติเดียวกันว่าจะล้มเจ้า อันเป็นการเบี่ยงเบนจากเรื่องประชาธิปไตยไปสู่เนื้อหาบ้า ๆ บวม ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ

            เรื่องไม่น่าเชื่อแบบนี้ได้ถูกลากเอาขึ้นมาเป็นเรื่องจริงจังจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังไม่เลิก
ดูมันบ้าของมันซีครับ...รับฟังแล้วไม่อยากจะได้ยิน แต่ก็ต้องได้ยิน นอกจากจะได้ยินแล้วยังได้เห็น “กับตา” ว่าสังคมไทยเกือบจะแตกแยกเป็น ๒ เสี่ยงอยู่แล้วก็ยังดึงดันที่จะเป็นเผด็จการการอย่างไม่ยอมเลิก

            ภาพที่เห็นชัดที่สุดได้แก่การยึดอำนาจได้ทำให้บ้านเมืองได้รับความเสียหายขนาดหนักก็ยังมี “ข่าวลือ” จากมุมต่างๆว่าจะมีการยึดอำนาจอีก...จะยึดแบบเบ็ดเสร็จพร้อมกับจะปิดประเทศ ๕ ปีโดยอ้างว่าจะต้องทำลายทักษิณให้หมดไปให้ได้เสียก่อน รวมทั้งอ้างว่าจะต้องขัดขวางพวกที่เป็นภัยต่อสถาบันไม่ให้บริหารประเทศ จึงจะ “เปิด” ประเทศได้
ดูมันบ้าของมันซีครับ ? บ้าด้วยข้อหาเป็นภัยต่อสถาบัน

           รัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดย ฯพณฯ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากมติส่วนใหญ่ของประชาชนชาวไทย คือพรรคที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อสถาบัน?

           แต่วันนี้ พรรคที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อสถาบัน กำลังได้รับการต้อนรับจากประชาคมโลก ไม่ว่าเป็นท่านเลขาธิการสหประชาชาติ “นายบัน คี มุน” ซึ่งเป็นตัวแทนในระดับเลขาธิการใหญ่ขององค์การโลก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ “นางฮิลลารี คลินตัน” ซึ่งเป็นบุคคลชั้นนำของโลก ได้เดินทางเข้ามาเยือนประเทศไทยด้วยมิตรภาพแห่งประชาธิปไตย และเป็นการ “เดินทางมา” เพื่อจะประกาศเจตจำนงว่าจะให้ความช่วยเหลือ “ฟื้นฟู” ประเทศไทย หลังจากผ่านพ้นอุทกภัยไปแล้ว

            แม้จะใช้สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ก็ตาม ก็อยู่ในเงื่อนไขประชาธิปไตย

           ทั้งนี้ก็เพราะว่าถ้าน้ำท่วมในยุคทหารครองเมือง รัฐบาลมาจากการ “ปล้นอำนาจ” เขาจะทำเพียงแต่ “ส่งสิ่งของ” มาช่วยเหลือเพียงด้านเดียว แต่บุคคลสำคัญจะไม่มาเยี่ยมให้กำลังใจ สิ่งนี้เป็นเครื่องสั่นกระดิ่งให้สังคมไทยได้ตระหนักอย่างแรง  ไม่ทราบว่าหูของคนไทยจะได้ยินหรือเปล่า...ว่ากระดิ่งประชาธิปไตยสั่นอยู่หน้าบ้านแล้วนะ ?

          หรือว่าได้แต่ “งง” และฉงนต่อการมาเยือนของบุคคลทั้งสอง ด้วยความไม่ประสาว่าหมายถึงบรรยากาศอะไร ?

           สิ่งที่เกิดกับประเทศไทยในสภาวะเช่นนี้ ได้ทำให้มองเห็นภาพว่า “ในสังคมไทย” มีคนดักดานในปัญหาประชาธิปไตยอย่างใหญ่หลวง ผมเชื่อว่าคงเป็นการยากที่จะทำให้คนที่ “ดักดาน”เข้าใจใหม่ได้ เพราะว่าในหัวใจของท่านเหล่านั้นจมปรักอยู่กับความเชื่อที่ผิดพลาด ที่เชื่อว่ามีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รักเจ้าและจงรักภักดีมากที่สุด แล้วก็สรุปเอาเองว่า ถ้าปล่อยให้คนเสื้อแดงบริหารประเทศต่อไป จะทำให้เจ้าของแผ่นดินหายไป รวมทั้งถ้า “ท่านทักษิณ” กลับประเทศไทยได้ สถาบันพระมหากษัตริย์จะพังครืน ?!

          โธ่เอ๋ย...จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ? คิดพิลึกขนาดนั้นเชียวหรือ ?

           ผมอยากให้ท่านผู้อ่านช่วยผมคิดด้วยครับว่าทำอย่างไร จึงจะสามารถแก้ไขความเข้าใจอันดักดานให้หมดไปได้ และอยากให้ท่านได้ช่วยต่อไปว่า ชาวโลกเขาส่ง“รหัส” มาให้คนไทยได้รับรู้ขนาดนี้ ยังไม่เข้าใจดอกหรือว่าเขายกย่องระบอบประชาธิปไตย

             ความจริง เรื่องนี้ไม่ได้เป็นรหัสลับแต่ประการใด แท้ที่จริงนี้คือการ “เปิดอ้าซ่า” ให้เห็นภาพขอโลกกลมๆใบนี้ว่าชาวโลก เขารักและปรารถนาระบอบประชาธิปไตยบนพื้นฐานใหม่ที่หมู่ประชาชนในโลกเรียนสูง และเรียนรู้อย่างทั่วถึง จนพากันฉลาดรู้ทันเผด็จการหมดแล้ว

             บัน คี มุน และ ลิลลารี คลินตัน...จึงเป็นรหัสประชาธิปไตย ?!

             ผมอยากให้คนไทยจงกระโดดหนีเผด็จการเถิด...ประชาธิปไตยดีกว่าอย่างแน่นอน !


“ขอม ดำดิน”
http://redusala.blogspot.com