วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554


ชินวัฒน์ หาบุญพาด สงสัยปัญหาน้ำท่วม ?
        นายชินวัฒน์ หาบุญพาด เป็นแกนนำคนเสื้อแดง กลุ่มวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ ตั้งอยู่ซอย ๓ ถนนวิภาวดีรังสิต กมท. ได้ให้ “สัมภาษณ์” ทางโทรศัพท์ เรื่องน้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔ พร้อมกับได้ตั้งข้อสังเกตในเชิงสงสัย “หลายประการ” อันน่ารับฟังเป็นอย่างยิ่ง
            ในฐานะนายชินวัฒน์ หาบุญพาด เป็นที่ปรึกษาของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ได้ออกไปอยู่กับน้ำท่วมตั้งแต่วันน้ำท่วมใหม่ๆมาจนถึงวันนี้ ก็ย่อมจะมีข้อมูลที่น่ารับรู้ เมื่อเจ้าตัวมีความเต็มใจที่จะเล่าให้ฟัง เราจึงพร้อมที่จะนำเสนอโดยไม่ลังเล
            นายชินวัฒน์กล่าวว่า ประเทศไทยยังก้าวไม่พ้น “ความขัดแย้งทางการเมือง” อย่างเห็นได้ชัด ดังเช่นในกรณีเกิดน้ำท่วมใหญ่ในคราวนี้ แทนที่นักการเมืองทั้งหลายจะได้หันหน้าเข้าหากันกลับไม่ปรากฏ “ภาพของการหันหน้า” ให้เห็น สิ่งที่เห็นเป็นเพียงละครฉากสั้นๆฉากหนึ่งเท่านั้น
          ขอม ดำดิน ถามว่า “น้ำจะท่วมกรุงเทพส่วนในหรือไม่ ? หมายถึง จตุจักร ลาดพร้าว ราชเทวี วังทองหลาง ประตูน้ำ สีลม สาธร พระโขนง บางกะปิ สะพานสูง ประเวศ และอื่น ๆ  นายชินวัฒน์ตอบว่า คำถามนี้ตอบแบบฟันธงไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจาก “ความสามารถ” ของรัฐบาลและของกรุงเทพมหานคร ๒ หน่วยงานรวมกัน ไปด้วยกันได้จริงหรือไม่ ? ซึ่งหมายถึงถ้า ๒ หน่วยงานทำงานด้วยกันได้เป็นอย่างดี ก็จะป้องกันกรุงเทพด้านในได้ในที่สุด
           แต่ถ้า กทม. ไม่ฟังเสียงของรัฐบาลเลย แอบเจาะยางอยู่แล้วละก็ ..น้ำมีหวังไหลทะลักเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร แต่จะไม่หนักหน่วงขนาดท่วมมิดถึง ๒ เมตร เพราะกระแสน้ำมันลดไปอันมาก พอจะคาดเดาได้ว่าความสูงจะไม่มาก เพราะว่า ศปภ. ได้ดันน้ำออกสู่ทะเลไปมากโข  แม้ขณะกำลังให้สัมภาษณ์อยู่นี้ การดันน้ำยังคงมุ่งหน้าอย่างเต็มที่ จึงเชื่อในฝีมือใน “ฯพณฯ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ว่าจะกันไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพด้านใน และต่อมา..เราถามอีกว่า “อยากรู้สาเหตุน้ำท่วมพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และฝั่งธนในครั้งนี้ มาจากอะไร?” นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ตอบแบบไม่รั้งรอเลยว่า “มนุษย์เกี่ยวข้องในทุกระบบ” แล้วอธิบายว่า “การบริหารน้ำจะให้ไหลไปทางไหน หรือไม่ให้ไหลไปทางไหน ขึ้นอยู่กับคนครับ” น้ำไม่ได้เป็นของธรรมชาติเหมือนแต่ก่อน นั้นก็คือเมื่อมนุษย์จะลงทุนก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ตึก ห้องแถว รวมทั้งสร้างถนน ต่างก็พากัน “ปิดทางน้ำ” อย่างตั้งใจ
                รวมทั้งคนที่มีเงินมาก ซื้อดินมาถมที่ ยกที่ดินของตัวเองให้สูงขึ้น แล้วสร้างบ้านหลังใหญ่สูงกว่าบ้านของคนที่มีรายได้ปานกลาง หรือบ้านคนจน ในที่สุดได้ทำให้บ้านคนรวย “ตั้งอยู่ในที่สูง” ส่วนบ้านคนจน ตั้งอยู่ในที่ต่ำ จึงไม่แปลกที่น้ำจะท่วมบ้านคนจนมิดหลังคา ท่วมวัด และท่วมโรงเรียน รวมถึงท่วมถนน 
               ส่วนนิคมอุตสาหกรรมนั้น เป็นที่ตั้งของโรงงานในนิคมที่ไม่มีการ “ถมสูง” ก็ต้องรับเอาน้ำอย่างไม่มีทางเลี่ยง ทำให้เครื่องจักรและโรงงานวิบัติหนักจนถึงขั้นหมดเนื้อประดาตัวก็มี
              “ถ้างั้น แสดงว่าน้ำท่วมหนนี้ เป็นเรื่องของธรรมชาติใช่ไหมครับ”? ขอมดำดินถาม
นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ตอบเป็นปริศนา (ชวนให้ตื่นเต้นมาก) ว่า...กรณีนี้มีความสงสัยว่าประเทศไทยมีพายุใต้ฝุ่นฝนตกหนัก เกิดมรสุมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม่ใช่ไม่เคยเกิด น้ำฝนที่ตกจากฟ้าในปีก่อนๆกับปีนี้ มันไม่แตกต่างกันมากนักแล้วทำไมน้ำจึงดูมากในปีนี้
จึงมีความสงสัยว่า เหตุไรเขื่อนจึง “กักเก็บ” น้ำเอาไว้มหาศาล ไม่ยอมปล่อยออกมา
มาปล่อยมากตอนฝนเทลงมาพอดี ...อย่างนี้จงใจอยากให้เกิดเรื่องหรือเปล่า ?
             นายชินวัฒน์ หาบุญพาด เล่าความในใจว่า พวกเผด็จการยังคงผูกใจเจ็บคนเสื้อแดงไม่รู้จักเลิก คนพวกนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้มี “เงื่อนไข” ทางการเมืองและ “ทางสังคม”เพื่อจะได้เป็นข้ออ้างว่า “รัฐบาลจากการเลือกตั้ง” ทำงานไม่สำเร็จหรอก มันประชาธิปไตยมากไป
             การวางแผนให้เกิดเรื่องร้ายๆจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดของพวกเขา?
ประกอบกับ “พรรคเผด็จการ” ที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งยับเยิน มีหัวใจเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับพวกเขา ก็จะเข้าข้างกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เข้าผสมโรงกับแผนการชั่วๆไปด้วย เรื่องก็จะไปกันใหญ่ อันจะทำให้พรรคเพื่อไทยไม่มีเวลาหายใจ เกิดเป็นวันขึ้นมา มีแต่จะต้อง “วิ่งแก้” ปัญหานานาชนิดจนแทบไม่ต้องหลับนอน น้ำท่วมปีนี้ จึงเป็นปัญหาชวนให้สงสัยมากมาย  นายชินวัฒน์ หาบุญพาด มีความสงสัยหลายประการ ? สงสัยลึกอยู่ในความรู้สึก ?
              ขอม ดำดินจึงเล่า “ความเห็น” ของพีเพิ่ล ออน ไลน์ ให้ฟังบ้างว่า กรุงเทพเป็นที่อยู่ของผู้คนหลายชนเผ่า หลายเชื้อชาติ (ทั้งสัญชาติไทยและชาวต่างประเทศ) มีจารีตประเพณีแตกต่างกัน จึงมีความยุ่งยากมาก และจะวุ่นวายมากอีกด้วย ผู้คนเหล่านั้นมีฐานะความเป็นอยู่ ร่ำรวย มั่งคั่ง มีบ้านหลังใหญ่ รถเก๋งราคาเรือนล้าน เครื่องใช้ในบ้านสวยหรู มูลค่าสูงลิบ  ถ้าถูกน้ำท่วม จะได้รับความเสียหายน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง  แล้วก็เล่าต่อไปว่า คนกรุงเทพมีอยู่ ๒ กลุ่มคือ “รวย” กับ “จน”!
             ทั้งคนรวยกับคนจน ตกเป็นทาสของสื่อ (วิทยุ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์) ?อย่างหนัก
สื่อได้เข้ามามีบทบาทในสถานการณ์น้ำท่วมทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วยการรายงานข่าวถี่ยิบ ไปยืนทำข่าวตรงที่น้ำไหลแรง หรือไปยืนในหมู่บ้านที่น้ำท่วมมิด ทำให้มองเห็นภาพแต่ละภาพแสนจะน่ากลัว น่าสยอง เป็นการทำข่าว เขย่าประสาทประชาชนทุกหยาดหยด
เราได้พบกับความจริงว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ประชาชนเป็น “ประสาทรายวัน” เกิดจากกรณีสื่อเสนอข่าวแบบจ้อชนิดไม่มีหูรูด มีอะไรให้เห็นเป็นพูด...พูด...พูดแบบเมามัน
             เราเล่าให้คุณชินวัฒน์ หาบุญพาดฟังว่า “สื่อทำตัวเป็นพระเอก-นางเอก” อย่างสนุกสนาน แต่คนเสพข่าวจากสื่อที่ไม่อยากเห็นน้ำท่วมกำลังประสาทจะรับประทาน เพราะไปหลงเชื่อว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพจมมิด ทำให้เกิดความกลัวจนตัวสั่น “บางคนง่อยกิน” เดินแทบไม่ไหว ทำอะไรไม่ถูก ประชาชนที่กลัวจนประสาทรับประทาน...กินยาแก้ปวดวันละ ๕ ครั้งก็ไม่หาย
           ในทำนองเดียวกัน สื่อในสถานการณ์น้ำท่วม สื่อเห็นกับตา (เห็นทุกหลังคาบ้าน) ที่น้ำท่วมทั้งหมู่บ้าน ท่วมวัด พระอุโบสถ ท่วมถนน ท่วมแม้กระทั่งโรงพยาบาล
แต่แปลกไหม...? สื่อไม่รู้ว่า “มวลน้ำ” มาจากไหน ?
          สื่อในประเทศไทย ไม่โง่ก็เหมือนโง่...กล่าวคือ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจ
ไม่รู้ว่าน้ำมาจากไหน ส่วนใหญ่จะพยายามทำข่าวในทำนองน้ำมาจากฟ้า
สื่อไม่เคยถามหา “สาเหตุอะไร ?” น้ำจึงท่วมที่ภาคอีสาน ทั้งๆที่ไม่มีฝนตก
เขื่อนที่อีสาน ปล่อยน้ำไปหาสวรรค์วิมานอะไร .. มิทราบ ?
          เราเล่าให้ฟังอีกว่า เราได้รับรายงานจากจังหวัดตากเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ จากพี่น้องที่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้เขื่อนภูมิพล รวมทั้งเขื่อนศิรินธร ซึ่งตั้งอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง มีรายงาน ว่า น้ำในเขื่อนที่เปิดประตูปล่อยออกมาอย่างไม่ยั้งเมื่อ ๒๕ วันก่อนนั้น
ตอนนี้ต้อง “ระงับยับยั้ง” อย่างแรง ..ขืนปล่อยมาก น้ำจะแห้งเขื่อน

จากข่าวที่ได้รับอย่างนี้ มันตรงกับความสงสัยของคุณชินวัฒน์ หาบุญพาด เป็นอย่างมากที่ได้เกริ่นเอาไว้แต่แรก ซึ่งพอที่จะสรุปได้ถึง ๓ ประการ
    ๑. แน่ละ ความขัดแย้งทางการเมือง เป็นตัวการใหญ่
    ๒. มนุษย์พวกนั้นไม่สงสารประชาชนตาดำๆ เขากล้าที่จะทำลงไปแม้ประชาชนจะเดือด ร้อนเพียงใดก็ไม่สน
    ๓. ทำให้เห็น “หัวใจ” เผด็จการมันเหี้ยมโหดไม่รู้จักเลิก
    ๔. ในเวลาเดียวกัน ในกุ่มของพวกเราเอง ใช่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยไปเสียทั้งหมด คุณชินวัฒน์ หาบุญพาด กล่าวว่า ยังมี “แนวร่วม” ของเผด็จการอยู่กับคนเสื้อแดงไม่น้อย
จบจาก “ความสงสัย” ของนายชินวัฒน์ หาบุญพาด ได้ขยายให้เห็นภาพในอนาคตว่า “นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป” หลังจากน้ำลดแล้ว ประเทศไทยคงจะไม่พ้น“ความขัดแย้งใหญ่” อันเป็นการยากที่จะได้เห็นความสงบในสังคมการเมืองของประเทศไทย
โอ้หนอ...น้ำท่วมหนักขนาดนี้ คนไทยยังไม่ยอมหันหน้าเข้าหากัน...พิลึกจังเลย ?!

“ขอม ดำดิน”
http://redusala.blogspot.com

พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก ; รมช. คมนาคม
ชี้..ทำไม...ไม่ยอมให้น้ำท่วม กทม. ด้านใน
น้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยปี ๒๕๕๔ กลายเป็นอุทกภัยประวัติศาสตร์

อยู่ในขั้น “สาหัสสากรรจ์” หรือวิกฤตน้ำท่วมขั้นรุนแรงอย่างยิ่ง [Danger Flooding]ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในยุคกรุงรัตนโกสินทร์เจริญรุ่งเรือง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นับประเทศไทยมีตึกรามบ้านช่อง เต็มเมืองหลวง หน่วยงานราชการเต็มไปด้วย “สมองกล” เราไม่เคยถูกน้ำท่วมใหญ่ขนาดนี้เลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็น
ดังนั้น การแก้ปัญหาน้ำท่วมในคราวนี้ จึงมีความยากลำบากแทบว่าจะอธิบายไม่ออก ?
แต่ด้วยมีจิตที่ “หยั่งรู้” เบื้องหน้าเบื้องหลังลึกๆว่าถ้าปล่อยให้น้ำ “ท่วมลึก” เข้ามาใน ๒๐ เขต ณ กลางใจมหานคร จะทำให้เกิดความวิกฤตกระทบไปทุกกระบวนการอย่างแน่นอน เช่นการขนส่งการคมนาคม ตลาดร้านค้า และเครือข่ายบริหารประเทศจะชะงักอยู่กับที่
บ้านเรือนจมที่อยู่ในมวลน้ำ (ไม่ใช่ไต้น้ำ) จนกระดิกตัวไม่ได้– กินวงกว้าง

จะเกิดความโกลาหล หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นปล้น สดมภ์แย่งชิงอาหาร

ความเลวร้ายจะไม่หยุดอยู่แต่นี้ มันจะกระโดดเข้างับศูนย์โทรมนาคมศูนย์ “สมองกล”ของประเทศในทุกกระทรวงทบวงกรม ตลอดทั้งจะทะลวงเข้าหา “องค์กรทางการเงิน” จะทำให้สถาบันการเงินของประเทศเป็นง่อย สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสถานีโทรทัศน์ ทุกช่องจะตกอยู่ในสภาวะต้อง“หยุด” ออกอากาศ ไม่มีข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้องเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ ประเทศไทยทั้งประเภทจะมีสภาวะเสมือนถูกข้าศึกยึดประเทศ

การบริหารราชการ หรือการ “ควบคุม” ประเทศจะตกอยู่ในสภาพตายไปครึ่งตัว

ถ้าปล่อยให้น้ำไหลเข้ากรุงเทพ..นับแต่วินาทีนั้น บ้านเมืองจะตกอยู่ในสภาวะมืดบอดไปทั่วแผ่นดินจะมีสภาพไม่แตกต่างจากการถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

ตรงนี้เองที่คณะรัฐมนตรีของรัฐบาล “ฯพณฯ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” มีจิตหยั่งรู้ร่วมกันว่าน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ “มีเรื่องน่ากลัวฝังลึกอยู่ในปัญหา” ถ้าแก้ไม่ตกจะเป็นปัญหาที่หนักหน่วงเกินที่จะวินิจฉัยได้ จึงฮึดสู้ถวายด้วยชีวิต โดยใช้ สติปัญญาที่รอบคอบ มีสมาธิ ไม่อ่อนไหว ไม่ให้ความหวาดกลัวเข้าครอบงำ 

คณะรัฐมนตรีได้ใช้วิธีการหลากหลายเข้ามาแก้ ทั้งประเภทถูกวิธีตามหลักการ “การผันน้ำ” รวมทั้ง “ไม่ถูกวิธี” ก็ต้องนำเอามาใช้

เช่นการผันน้ำไปยังพื้นที่ย่านบางปะกง-ที่สูงกว่าก็จำเป็นต้องทำ เพราะต้อง “เลี่ยง” หรือเบี่ยงสายน้ำไม่ให้ผ่าน ๒๐ เขตสมองกลอันเป็น “กล่องดวงใจ” ที่รัฐบาลตระหนักอยู่ก่อนแล้ว

ความหมายของ ๒๐ เขตสมองกล หมายถึงถิ่นที่ตั้งของ “กลไกบริหารประเทศชาติ”ทั้งประเภทกองอำนวยการใหญ่ที่ “ควบคุมศูนย์กลางอำนาจของประชาชน” และศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ อันถือเป็นหัวใจที่เทียบเท่ากับ “กล่องดวงใจ” ที่จะต้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต

การรักษาจึงเข้มข้น ไม่ต้องหลับนอน มีการเฝ้าเวรยาม และทำงานโดยคณะรัฐมนตรี คณะทำงาน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่เลือกสี ไม่เลือกว่าจะเป็นพวกพันธมิตรหรือคนเสื้อแดง 

แต่ด้วยเหตุที่คนเสื้อแดงดูจะมีบทบาทมากกว่า เพราะได้ใช้ “เสื้อแดง” นำหน้า และยกไปเป็นกองคาราวาน ซึ่งเป็นรูปแบบชนิดเดียวกับที่เคยปฏิบัติเมื่อครั้งชุมนุมใหญ่ เมื่อปฏิบัติจนเคยชินก็ส่งผลมาสู่การเคลื่อนขบวนในครั้งนี้ไม่อาจทิ้งเสื้อสีแดงได้

                เสื้อสีแดง จึงมองเห็นในพื้นที่น้ำท่วมได้ในหลายจังหวัด

                ทว่า...ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีแดง เสื้อหลากสี หรือรัฐบาล ต่างก็ประสบกับความยากลำบากที่จะเข้าถึง “หมู่บ้าน” เพราะการกั้นกำแพงไม่ให้น้ำเข้า เป็นเหตุให้เข้าไม่ถึง ผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือจึงสุดแสนจะทุลักทุเลมาจนถึงวันนี้

วันนี้ พีเพิ่ล ออน ไลน์ ขอกราบเรียนว่า เราได้ “ถอดข้อความ”ดังที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดมาจากการสัมภาษณ์ “พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๔.๓๐ น.

การสอบถาม และการขอความเห็นจากรัฐมนตรี “สายตำรวจ” ที่จัดได้ว่าเป็น “ตำรวจเสื้อแดง” เต็มตัว ทำให้เราได้รับรู้อย่างเป็นกันเอง ไม่มีการซ่อนเร้นข้อมูล ไม่ปิดปังประชาชน คำให้สัมภาษณ์ทั้งหมดที่พีเพิ่ล ออน ไลน์ ได้รับมา ถือได้ว่าเป็นการบอกกล่าวเล่าถึงปัญหาและความในใจว่ามีอะไรซ่อนลึกอยู่ในความรู้สึก ตลอดทั้งการใช้คำว่า “มีจิตหยั่งรู้” นับว่าเป็น “ปริศนาธรรม” ที่คนเสื้อแดงสามารถตีความว่าหมายถึงอะไร

เราได้สอบถาม “จำนวนมวลน้ำ” จากท่านรัฐมนตรีชัจจ์ ท่านบอกว่ามี “มวลน้ำ”มหาศาลไหลลงมาจากเหนือ พุ่งเข้าท่วมนครสวรรค์ ยากที่จะบอกตัวเลข เพราะจะขัดแย้งกับข้อมูลของกรมชลประทาน แต่เราสามารถที่จะประมาณเอาจากขนาดความกว้างใหญ่ของพื้นที่และขนาดของเขื่อนที่มีความจุแน่นอน ก็จะได้ตัวเลขมากกว่า ๑,๗๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร

มวลน้ำขนาดนี้ สามารถจมเมืองทั้งเมืองได้ในพริบตา !

แต่เนื่องจากประเทศไทย มีพื้นที่ราบกว้างใหญ่ตั้งแต่จังหวัดนคสวรรค์ลงมา ผ่านชัยนาท สุพรรณบุรีอุทัยธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง มาถึงปทุมธานี จึงทำให้ “มวลมหาศาล” ถูกแผ่ออกอย่างกว้างใหญ่ ถึงกระนั้น..มวลน้ำก็ยังท่วมหลายนิคมฯจมมิดหลังคา

พูดไปน่าขนลุก..กล่าวถือ ถ้าเป็นเมืองอยู่ในหุบเขาจะไม่พ้น “จมไปทั้งเมือง” อย่างแน่นอน หรือว่าถ้า “ปล่อย” ให้กระแสน้ำไหลไปตามธรรมชาติของน้ำ-น้ำก็จะไหลท่วมสองฝั่งทางก่อนไหล ลงสู่ทะเล โดยมีจุดจบอยู่ที่ “กรุงเทพ” โดยมี ๒๐ เขต (ชั้นใน) เป็นแอ่งน้ำยักษ์

          ในจำนวน ๒๐ เขตชั้นในนี้แหละคือสถานที่ตั้งของสมองกลทุกชนิด

                พูดให้มองเห็นภาพ ก็คือ “มวลน้ำ ล้าน-ล้านลูกบาศก์เมตร” จะไหลท่วมศูนย์กลางสมองกลอย่างไม่ปราณีปราศรัย จะทำให้อะไรบ้างพังพินาศ ลองนึกดูเอาก็แล้วกัน

       มาถึงวันนี้ รัฐบาลแสนจะขอบคุณ “พ่อแม่พี่น้อง” ต่างจังหวัดที่ยอมสูญเสียเพื่อจะรักษาเส้นทางเศรษฐกิจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ อันเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงว่าคนไทยจะเข้าใจในปัญหาของชาติได้รวดเร็วขนาดนี้

      พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก บอกเล่าให้พีเพิ่ล ออน ไลน์ ได้รับฟังชัดถ้อยชัดคำ
      ต่อคำถามว่า อีกนานไหม น้ำจะหมดไป ก็ได้รับคำตอบว่า “ท่านนายกรัฐมนตรีหญิง”ของเรา พณฯ น.ส. ยิงลักษณ์ ชินวัตร ทำงานรอบคอบ รับฟังปัญหาจากคณะรัฐมนตรี และที่ปรึกษาอย่างถี่ยิบ เพื่อจะไม่ให้ตกหล่นตอนนี้สีหน้าท่านดีขึ้น ดูสีหน้าก็พอจะเดาออก

      สรุปแล้ว ต้องรออีกนิด..(ไม่เกิน ๔-๕ วัน) ก็จะได้เห็นของจริง

       พีเพิ่ล ออน ไลน์ สอบถามเดินหน้าว่า หลังจากน้ำลดแล้ว มีงานแก้ไขอย่างไรบ้าง ?

      รัฐมนตรีฯ ชัจจน์ กุลดิลก ตอบว่าในส่วนของถนนหนทาง ถ้าเป็นในกรุงเทพ เป็นหน้าที่ของท่านผู้ว่า กทม. (ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพตร)แต่ถ้าเป็นพื้นที่นอกกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดไหน เป็นหน้าที่ของกระทรวงคมนาคมจะต้องรีบซ่อมแซมทันทีทันใด

       ต้องใช้งบประมาณอย่างต่ำ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท จึงจะแก้ไขได้ในระดับหนึ่ง เงินมากมายขนาดนี้ ไม่รู้จะเอาจากที่ไหน ? นี้เป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องคิด ถ้าจะรองบประมาณตามระบบ ก็ต้องรอถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ คืออีก ๓ ถึง ๔ เดือนจะรอไหวหรือ ?

          ถนนที่จะซ่อมแบ่งเป็น “ถนนหลวงชนบท” ๑ ส่วน(ถนนลาดยาง)
          ถนนหลวงแผ่นดิน ๓ ส่วน(อาจเป็นทั้งคอนกรีตและลาดยาง)
          นอกจากถนนต่างๆ ยังมีสะพาน ท่อระบายน้ำใต้ถนน และอื่นๆอีก
ประวัติ (ย่อ) พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก

        พลตำรวจโทชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมซึ่งได้ลาออกจากการเป็น ส.ส. (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ) พอใจที่จะรับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเพียงตำแหน่งเดียว เพื่อจะเปิดโอกาสให้ผู้สมัครได้เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.

พลตำรวจโทชัจจ์ กุลดิลก จึงกลายเป็นอดีต ส.ส. ไปโดยปริยาย

ในช่วงการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นที่สะพานผ่านฟ้า หรือเวทีราชประสงค์ ซึ่งประดา “แกนนำ” คนสำคัญจะยึดเอา “ใต้เวที” เป็นที่หลับนอน ไม่ว่าจะเป็นนายวีระ มุสิกพงศ์ นายรัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ หรืออีกหลายคน- แม้แต่แกนนำหญิง พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก็หลบเข้าไปนอนใต้เวที

มีคำถามว่าทำไมต้องนอนใต้เวทีด้วย ก็มีคำตอบว่า “การชุมนุมของคนเสื้อแดง” มันไม่ใช่งานสมัครเล่น แต่เป็นงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ประดาแกนนำ จึงมอบหัวใจให้ ถวายด้วยชีวิต ตัวของพล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก จึงเป็น “แดงเต็มร้อย” ไม่แตกต่างจากนิสิต สินธุไพร วิภูแถลง วัฒนภูมิไท หมอเหวง โตจิราการ เป็นต้น

     
 วันนี้ได้เป็นรัฐมนตรีในสาย “คนเสื้อแดง” ที่ต่อสู้มาด้วยชีวิต ในขณะการต่อสู้ดังกล่าว ตัวเองอยู่ในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีอดีตเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และที่ปรึกษาหนังสือพิมพ์มหาประชาชนฉบับความจริงวันนี้
ชัจจ์ กุลดิลก เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนพ.ศ. 2486 เป็นบุตรของนายใช้ กับนางเซี้ยม กุลดิลก จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สาขารัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิต (รป.บ.) มีบุตรสาวเป็น ส.ส. ได้แก่ ส.ส. ดร. จารุพรรณ กุลดิลก ซึ่งเป็น ส.ส. สายนักวิชาการ กลุ่มอาจารย์ตุ้ม อาจารย์หวาน ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น ดีเจ ฝีปากกล้าของสถานีวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ ซอย ๓ ถนนวิภาวดี

พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก เคยดำรงตำแหน่งสูงสุดในราชการตำรวจ คือ ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) ต่อมาจึงได้เข้ามาทำงานการเมืองร่วมกับพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย

ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ได้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยลำดับที่ 11และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นสมัยแรก ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อจากนั้นในวันที่ 25 สิงหาคมพ.ศ. 2554 ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สมัครในบัญชีรายชื่อลำดับถัดได้เลื่อนลำดับขึ้นมาแทนดังที่กล่าวแล้ว

ก่อนหน้านั้น พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก ถูกศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้จำคุก เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2549 ในกรณีที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นโจทย์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 80 ล้านบาท ฐานหมิ่นประมาท โดยการพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุก 3 เดือน ปรับ ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา ๒ ปี

ก่อนจบการให้สัมภาษณ์ พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก กล่าวว่า อย่าด่วนสรุปว่าน้ำจะไม่ก่อปัญหาให้หนักใจอีก เพราะว่าวันนี้ หลายอย่างยังไม่เรียบร้อยดี รอดูอีก ๔-๕ วัน ก็จะได้พบกับความจริงว่า “มวลน้ำมหาศาล” ที่ค้างอยู่ทางด้านเหนือของกรุงเทพ จะระบายลงสู่ทะเล โดยไม่ให้ผ่านกรุงเทพด้านในได้จริงหรือไม่ ..? 

ฟังแล้วยังไม่หายสะดุ้ง ต้องแบกหัวใจเอามาลุ้น ..ลุ้นสุดตัว !

 พีเพิ่ล ออน ไลน์ ขอมอบเนื้อหาสาระการขอสัมภาษณ์ให้ท่านผู้อ่านได้ตรวจสอบข้อมูล โดยขอเรียนให้ทราบ เรามีเป้าหมายที่จะ “สัมภาษณ์” กระทรวงต่างๆ เพื่อจะเป็นกระจกให้พ่อแม่พี่น้อง “ที่อยู่ต่างแดน” จะได้รับรู้อนาคตของแผ่นดิน.

                                                             สอาด จันทร์ดี     
http://redusala.blogspot.com

คุณยายเสื้อแดงแห่งเชียงใหม่จัดหนักเอกยุทธ

การหมิ่นแคลนที่พุ่งใส่ยิ่งลักษณ์ก็เพราะเธอมาจากเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่าเอกยุทธมีความคิดราวกับลิงที่ไร้สมอง ไม่สิ ไม่กระทั่งนำไปเปรียบเทียบกับลิง เพราะบางทีวานรอาจจะมีสมองมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
3 พฤศจิกายน 2554

"ศรีลัดดา" คุณยายเสื้อแดงวัย 88 ปีแห่งแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีภูมิลำเนาบ้านเกิดในเชียงใหม่ และย้ายไปพำนักอาศัยในสหรัฐอเมริกามานานเกือบ 40 ปี ได้เขียนจดหมายถึงไทยอีนิวส์ ฝากผ่านไปถึงเอกยุทธ อัญชัญบุตร

I don't know whether to laugh or cry after reading Akeyuth Anchanbutr comment about Northern women.. Well, I am one of them,born and raised in Cheingmai.

ยายไม่รู้จะหัวเราะ หรือว่าร้องไห้ดี หลังจากไำด้อ่านความเห็นของเอกยุทธ อัญชัญบุตรที่มีต่อผู้หญิงภาคเหนือ..อืมม์ คือว่ายายเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้หญิงเหล่านั้นด้วย เกิดและเติบโตที่จังหวัดเชียงใหม่

I might be a little luckier than a lot of northern girl,since my father was a school teacher, so I had a chance to go to school. In these days and age of the year 2554..it is hard to beleive there still are men like Akyuth who still have their heads in the sand.

ยายเองอาจจะโชคดีกว่าผู้หญิงภาคเหนือคนอื่นอยู่บ้าง เพราะมีพ่อเป็นครูสอนหนังสือตามโรงเรียน ก็เลยได้มีโอกาสไปเรียนหนังสือใฝ่หาความรู้ ในทุกวันนี้ นี่มันปีพ.ศ.2554 ก็ทำใจยากที่จะเชื่อหละนะว่ายังมีคนแบบเอกยุทธที่ยังมีหัวซุกดินทรายอยู่

They dont realize that prejudice and racistm have become exticnt with the Dinosaurs.

มันก็เลยแทบไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนพรรค์นี้ที่เต็มไปด้วยอคติและการหมิ่นแคลนชาติพันธุ์กำเนิดกัน ก็นึกว่าจะสูญพันธุ์ไปพร้อมกับไดโนเสาร์แล้วซะอีก

Cheingmai women are not any different from their sisters from other part of the country,that there are educated and uneduacted or under educated,rich and poor,smart and stupid,just like Bangkokians.

ผู้หญิงเชียงใหม่ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากพี่สาวน้องสาวของส่วนอื่นในประเทศหรอก ก็มีทั้งคนที่มีการศึกษา-ด้อยการศึกษา รวยและยากจน ฉลาดและโง่ ก็เหมือนที่กรุงเทพฯนั่นหละ

The insults that he dumps on Yingluck because she is from Chiengmai shows Akeyuth mentality that he is just a brainless ape..no, can't even compare him to an ape..because an ape probably has more brain he does.

การหมิ่นแคลนที่พุ่งใส่ยิ่งลักษณ์ก็เพราะเธอมาจากเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่าเอกยุทธมีความคิดราวกับลิงที่ไร้สมอง ไม่สิ ไม่กระทั่งนำไปเปรียบเทียบกับลิง เพราะบางทีวานรอาจจะมีสมองมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ

Lets say he is worse than a sai-dearn..[earthworm]..and more despicable. Kun Yai from Chiengmai.

อยากจะบอกว่านายคนนี้แย่ซะยิ่งกว่าไส้เดือน และอาจจะน่ารังเกียจซะยิ่งกว่านี้/จากคุณยายแห่งเชียงใหม่

รู้จักคุณยายเสื้อแดงจากเชียงใหม่สู่แคลิฟอร์เนีย



คุณยายศรีลัดดา ขณะนี้อายุ 88 ปี อยู่อาศัยในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
สมัยยังสาวๆเคยทำงานด้านการบินที่กรุงเทพฯเป็นเวลา 21 ปี ก่อนจะย้ายมาอยู่ในสหรัฐฯในปีพ.ศ.2515 จนปัจจุบันร่วมๆ39ปีแล้ว

สมัยอยู่เมืองไทยครอบครัวของคุณยายศรีลัดดาเป็นชาวพรรคประชาธิปัตย์ ถึงขนาดสมาชิกในครอบครัวเคยลงสมัครส.ส.ของพรรคเก่าแก่นี้ ในช่วงที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังเป็นผู้นำพรรคอยู่ แต่เวลานี้คุณยายบอกว่าน่าเศร้าใจและผิดหวังกับพรรคประชาธิปัตย์ ช่างน่าละอายใจกับพรรคที่เคยมีเกียรติคุณชื่อเสียงกลับมามีพฤติกรรมฉ้อฉลในตอนนี้

ปัจจุบันนี้คุณยายอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมกับแมวตัวหนึ่งชื่อจัสมิน(ชื่อไทยๆว่า"ดอกมะลิ") และไม่รู้สึกเหงาเลย เพราะเมื่อ 3 ปีก่อนได้หัดใช้อินเตอร์เน็ต แล้วก็ใช้อินเตอร์เน็ตติดตามข้อมูลข่าวสารทางเมืองไทยได้คล่อง ตอนนี้คุณยายดีใจมากเลยที่ได้ใช้อินเตอร์เน็ตท่องโลก

ตอนนี้อินเตอร์เน็ตก็ทำให้คุณยายสามารถคุยกับลูกสาวและลูกเขยที่พำนักอาศัยอยู่ในฝรั่งเศส รวมทั้งหลานๆในเยอรมนี และเพื่อนๆในอเมริกาได้อย่างสบาย

แน่นอนว่ารวมถึงข้อมูลข่าวสารทางเมืองไทยด้วย
http://redusala.blogspot.com