วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หิ่งห้อยติดหอยหมา


ประชาธิปัตย์ อย่าทำตัวเป็น ‘หิ่งห้อยติดหอยหมา’
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

             ผมอ่านข่าวที่ฟังแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ ไม่พูดภาษาอังกฤษ ฝ่ายตรงข้ามเยาะเย้ยว่า คงพูดไม่ได้ แต่บางคนก็ให้เหตุผลที่ฟังดูเข้าท่า คือ

           ที่รัฐมนตรีไม่พูดตอบเป็นภาษาอังกฤษ เพราะยังรู้สึกไม่คุ้นกับสำเนียงคำถามของผู้สื่อข่าวจีนคนนั้น ซึ่งการพูดจาของเธอ ออกจากฟังยากสักหน่อย แต่คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นั้น ข่าวว่าพูดภาษาจีนกลางได้ดี

          ดังนั้น...หากผมเป็นรัฐมนตรีสุรพงษ์ฯ จะออกมุกตอบเป็นแมนดาริน (ภาษาจีนกลาง) ให้อึ้งกิมกี่กันไปเลย

          แค่นี้...วันรุ่งขึ้นก็ ‘ชิงพื้นที่ข่าว’ ได้แล้ว!

         ตามประวัติรัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้ จบจากโรงเรียน มงฟอร์ด วิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิค ในเครือคณะภราดาเซนต์คาเบรียล ซึ่งมีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ อยู่ระดับแนวหน้าโรงเรียนในประเทศ นอกจากนั้นตัวรัฐมนตรียังสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกสาขาวิศวกรรม จากสหรัฐอีกต่างหาก ดังนั้น เรื่องการนินทาคุณสุรพงษ์ฯว่า ฟอร์ไฟว์ฟุดฟิดภาษาปะกิตไม่ได้นั้น คงไม่ใช่แน่!

         คุยกันเรื่องภาษาอังกฤษแล้ว ต้องขอพูดถึงรายการของวิทยุ FM 101 MHz สักหน่อย เนื่องจากมีรายการที่ฟังแล้ว มีสิ่งที่มันขัดหูผมที่ฟังอยู่พอดี เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ

         เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รายการตอนสายๆเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มีผู้ดำเนินรายการสามคน หนึ่งหญิง สองชาย เขารายงานเรื่อง Flash Mob ฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่า ผู้ดำเนินรายการทั้งสามคนนี้ ไม่เข้าใจ คำที่พวกตัวเองรายงานเลย ที่ตลกหนักก็คือ
ดันผ่าไปพูดอธิบายออกทะเล ไปเป็นเรื่องแฟลชไลท์ แบบถ่ายรูปวูบวาบไปโน่นเลย!
ผมไม่ตำหนิที่ผู้ดำเนินรายการหญิง ที่เธอไม่รู้จักคำนี้ แต่ที่แปลกใจคือ ผู้ดำเนินรายการร่วมชายสองคน ซึ่งทำงานอยู่ในเครือหนังสือพิมพ์ฝรั่งอย่างบางกอกโพสท์แท้ๆ กลับไม่รู้จักคำธรรมดาที่สามัญมากๆ และบางกอกโพสท์เอง ก็ใช้ออกบ่อยๆ เช่น คำว่า Flash Flood ซึ่งหมายถึง น้ำท่วมฉบับพลัน อย่างนี้เป็นต้น

           Flash Mob นั้น คือฝูงชนที่มารวมตัวโดยมีการนัดหมายมาล่วงหน้า โดยมีวัตถุประสงค์มาทำ หรือสร้างความแปลกประหลาดใจ หรือพูดภาษาชาวบ้านก็คือ มาทำเรื่องเซอร์ไพรส์ หรือเรื่องที่ไม่คาดหมายมาก่อน เช่น  นัดผ่านทางสื่ออินเตอร์เนต หรือสื่ออีเลคทรอนิคอื่นๆ มาเต้นระบำหน้าทำเนียบรัฐบาลจำนวน 100 คน เป็นเวลา 5 นาที แล้วสลายตัวไปแบบ ‘มาเร็วไปเร็ว’ เหมือน ‘สายฟ้าแลบ’ ประมาณนั้น เขาจึงใช้คำคุณศัพท์ Flash ไปนำหน้าคำว่า Mob กลายเป็น Flash Mob ก็เท่านั้น

           ที่มามีเรื่องดังไม่กี่วัน ก็เพราะนัดกันมาแบบ Flash Mob แล้วดันทะลึ่งทำ “มั่วนิ่ม” เข้าไปหยิบเข้าหยิบของในร้านค้า แล้วเอาออกไปหน้าเฉยตาเฉย เลยเป็นเรื่อง!
ผมคิดว่า ผู้ดำเนินรายการสื่อวิทยุที่ดำเนินรายการอย่างนี้ หากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจ น่าจะตรวจสอบก่อน ว่า เขาหมายความว่า อย่างไรกันแน่?

          นี่ไม่ได้เป็นการจ้องจับผิด แต่ต้องบ่นกันหน่อย ด้วยตัวเองก็เป็นครูภาษาอังกฤษเก่า ก็เลยติดนิสัยจู้จี้ เพราะอยากให้ผู้ดำเนินรายการของบ้านเรา พูดอะไรก็ให้มันถูกต้อง เด็กๆที่ฟังอยู่จะได้จดจำในสิ่งถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวหรือภาษาก็ตาม

             ดังนั้น หากจะพูดภาษาอังกฤษ ก็ขอให้แน่ใจสักหน่อยว่า มันออกเสียงหรือมีความหมาย อย่างที่ตัวพูดจริงๆ หากไม่แน่ใจ ก็ควรตรวจสอบก่อน ปัจจุบันทำได้สะดวก อาจใช้ดิคชันนารีพกพา หรืออินเตอร์เนตก็ได้ เพราะไม่อย่างนั้น คนที่เขาฟังอยู่ก็อาจจำของผิดๆ หรือเข้าใจอย่างผิด จนนำไปพดต่ออย่างผิดๆ ก็ขอทักท้วงกันเบาะๆ แต่เพียงแค่นี้!

           คราวนี้มาเข้าเรื่องที่อยากพูดถึง ต่อจากที่ชำแหละคำอำลาตอหลดตอแหล ของนายมาร์ค มุกควาย เมื่อสัปดาห์ก่อนอีกนิด กล่าวคือ

           มีข่าวการธนาคารโลกหรือ World Bank ยกระดับประเทศไทยในปีนี้ ขึ้นเป็นประเทศกลุ่มที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัว ไปอยู่ในระเป็น Upper Middle Income ขึ้นไปอยู่กลุ่มเดียวกับมาเลเซีย และจีน ตามข่าวที่ปรากฏใน http://www.indexmundi.com/facts/thailand/gni-per-capita
ปรากฏว่า  หลังจากที่มีข่าวเรื่องนี้ออกมา ทางผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ออกอาการกระดี๊กระด๊ากันใหญ่ ตีขลุมเอาว่าเป็นผลงานของรัฐบาลนายมาร์ค มุกควาย แต่หากท่านคลิกเข้าไปดูตามลิ้งค์ข้างต้น ก็จะเห็นกราฟที่น่าสนใจ และมีตัวเลขประกอบ ดังนี้

  • 2000 ........1,960.00
  • 2001 ........1,900.00
  • 2002 ........1,900.00
  • 2003 ........2,060.00
  • 2004 ........2,360.00
  • 2005........ 2,580.00
  • 2006........ 2,860.00
  • 2007 ........3,240.00
  • 2008 ........3,670.00


               ตัวเลขสีน้ำเงินข้างหน้า เป็นปีคริสตศักราช ส่วนตัวเลขสีแดง เป็นรายได้ จะเห็นได้ว่า ปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ.2544) นายชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล ที่ส่งไม้ให้นายกทักษิณฯ ในยามบ้านเมืองอยู่ในยุคที่ทรุดโทรมสุดขีด รายได้ลดลงจาก ค.ศ.2000 ที่มีรายได้ 1,960 ดอลลาร์ พอถึง ปี ค.ศ. 2001 รายได้ตัวหัวประชาชาติ เหลือ 1,900 ดอลลาร์ นายกฯทักษิณประคองบ้านเมืองมา จนกระทั่ง ถึง ปี ค.ศ.2003 รายได้ทะยานขึ้น 2,060.00 ดอลลาร์  ปี ค.ศ. 2004 กระฉูดต่อเป็น 2,360.00 ดอลลาร์ ปี ค.ศ. 2005 รายได้พุ่งไม่ลด เป็น 2,580.00 ดอลลาร์ ปี ค.ศ. 2006 ที่นายกฯทักษิณ โดนปฏิวัติ รายได้ทะลุทะลวงต่อไปถึง 2,860.00 ดอลลาร์ ปลายปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ.2550) นายกฯสมัคร สุนทรเวช เข้ารับตำแหน่ง ต่อด้วยนายกฯสมชาย แม้จะต้องฝ่าฟันพันธมิตรซึ่งเป็นแนวร่วมกับประชาธิปัตย์ ที่ออกมาป่วนบ้านป่วนเมือง รายได้ประชาชาติปี ค.ศ.2008 ยังขึ้นอีก 430 เหรียญ เป็น 3,670.00 ดอลลาร์

           เห็นกันชัดหรือยังล่ะ! กว่านายมาร์ค มุกควายจะมารับ ก็เดือนธันวาคม ค.ศ.2008 หรือ ปี พ.ศ. 2551 โน่น  แล้วไอ้หน้าโง่ที่ไหน ดันออกมาบอกว่า เป็นผลงานของรัฐบาลนายมาร์ค มุกควาย!

         เรื่องนี้ คุณ ‘ซูม’ แห่ง ‘ไทยรัฐ’ คนสภาพัฒน์ฯเก่า เขียนลงคอลัมน์ตัวเอง แสดงความดีอกดีใจอย่างมาก ที่ไทยได้ขยับอันดับ เมื่ออังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 นี้เอง

        ผมเชื่อว่า หากเห็นตัวเลขที่ผมลำดับให้ดู นั้น คุณซูมคงสรุปได้ ว่า ความก้าวหน้าในเรื่องรายได้ประชาชาติ จนทำให้ไทยได้รับการเลื่อนลำดับ ไปอยู่ชั้น Upper Middle Income จนน่าดีใจ นั้น เกิดขึ้นใน ‘ยุคทักษิณ’ อย่างชัดเจน ใช่หรือไม่!?

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพ

          ระยะนี้ผมเฝ้าดูพฤติกรรม ของบรรดาสมาชิกพรรคดักดาน ที่ตกกระป๋องไปแล้ว ยังหน้าด้านออกมาตอดเล็กตอดน้อย ที่พวกสื่อมวลชน ทั้งหนังสือพิมพ์และวิทยุบอกว่า เป็นการออกมาเตะตัดขา...หมายให้รัฐบาลก้นเตี้ย หรือพังพาบลง! เมื่อไม่กี่วันก่อน จึงเห็นการเข้าไปแจ้งความดำเนินคดี กล่าวหารัฐมนตรี สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ว่า ช่วยเหลือผู้กระทำความผิด ไม่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอีกต่อไป ต้องยื่นถอดถอนกันเสียที และอาจพ่วงนายกฯผู้หญิงเข้าไปด้วย



              โถ...ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ของผม เพิ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ไม่กี่วันเท่านั้น ยังไม่ทันจะแถลงนโยบาย ก็ดันแจ้นไปแจ้งความกับโปลิศ และเตรียมการยื่นถอดถอนกันแล้ว ดูมันทำ!

         ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะมีเรื่องให้สินบนหนังสือพิมพ์ โดยส่งเสียงขู่ง่องๆแง่งๆออกมาว่า
จะเอากันให้ถึงขั้น ‘ยุบพรรค’ เพื่อไทยเลยทีเดียว!!

         นี่เอง ที่ทำให้ผมย้อนไปคิดถึงบทความเก่า ที่เขียนลงหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์รายวัน ที่มีผู้ชอบกันมาก และผมเอามาลงไว้ใน www.vattavan.com ด้วย ตั้งแต่เมื่อ 19 ก.ย. 2551 ชื่อคอลัมน์ว่า "สมัครยังไม่ถอย... ประชาธิปัตย์ ‘หิ่งห้อย' ก็คงหงอย!!!"(http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=84)

เขียนเอาไว้อย่างนี้ ลองอ่านดูครับ

...ครั้นเมื่อได้เห็นพฤติกรรม ของพรรคประชาธิปัตย์ในสภาวันเลือกนายกฯ ทำให้นึกถึงเรื่องที่รับฟังมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เกี่ยวกับเรื่อง "หิ่งห้อย" จึงขอถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้รับฟังกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องประกอบการพิจารณา เขาเล่าสืบกันมาอย่างนี้ครับ

สุนัขตัวหนึ่งอยู่กินกับหมานางเมีย แต่แล้วโชคชะตาฟ้าลิขิตตัวตายไปก่อน เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นหิ่งห้อย แต่ความระลึกถึงเมียเมื่อเคยเสพสังวาสกัน เมื่อชาติที่ผ่านมา เมื่อครั้งมันยังเป็นหมา จึงทำให้เจ้าหิ่งห้อย ยังระลึกถึงรสชาติความสุข เมื่อตัวนั้นมีสุขจากเพศรสที่ได้ร่วมกับหมานางเมีย จนวนเวียนตอนอยู่ที่เครื่องเพศของเมียหมาเมื่อชาติที่ผ่านมา เมื่อมีหมาตัวผู้ตนใด ที่ย่างกรายเข้ามาหานางเมีย มันก็ปล่อยแสงประจำตัว กระพือสว่างวาบขึ้น
...พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!  หมาตัวผู้ที่จะมาเสพสังวาส กับหมานางเมีย ก็มีอันตกใจ เผ่นหนีไป...
เจ้าหิ่งห้อยนี้ ก็เฝ้าวนเวียนตอมอวัยวะเพศนางหมาเมีย ไม่ให้ตัวผู้อื่นเข้ามาใกล้ได้ จนกระทั่งมันมีอันล้มตายจากไป เพราะสังสารวัฏ เฉกเช่นเดียวกับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ที่มีกาลเวลาหรือพระกาฬคอยเสพกลืนกิน

           นิทานเรื่องนี้ ผู้ใหญ่อีสานที่ถ่ายทอด เพิ่นบอกว่า เป็นเวรกรรมของหิ่งห้อย ที่ไปตามตอมแต่หอยหมา ท่านจึงสอนเตือนใจ ว่า คนเรานั้นย่อมมีกิเลส หลงใหลในอำนาจ แม้ตัวเองพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว ยังโหยหาอาลัย แม้จะไม่ได้อยู่บนตำแหน่งแห่งที่เดิมแล้ว ก็ยังสำแดงอาการหึงหวง ปกป้อง ไม่ยอมให้ใครขึ้นครองตำแหน่งได้โดยง่าย ต้องความขัดขวางทุกรูปแบบไป ทั้งนี้มีเพราะยังมี "กิเลส" เป็นเครื่องร้อยรัดอยู่!

         เฉกเช่นเดียวกับ กับผู้เคยมีอำนาจในโลกใบนี้ นักการเมืองไม่ว่าจะอยู่ในพรรคใหม่ หรือพรรคเก่ากะลา ซึ่งเคยเสพอยู่บนอำนาจมายาวนาน มีความติดอกติดใจหลงใหลได้ปลื้ม กับตำแหน่งแห่งที่ ซึ่งเคยอำนวยอวยผลประโยชน์และอำนาจ ให้กับตนเอง

        เป็นธรรมดาเมื่อพวกของตน ต้องเป็น "ฝ่ายค้านดักดาน" อยู่หลายปี จึงต้องดิ้นรนทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้กลับสู่ตำแหน่งแห่งที่มีอิทธิฤทธิ์ ประโยชน์โภคผล อย่างเต็มที่ แต่ถ้าไม่สามารถเอาชนะ เข้าสู่ตำแหน่งเดิมได้ ก็วนเวียนตอมป้องกันตำแหน่งที่ตนเคยครอบครอง ใครพยายามเข้ามาวอแว ก็ต้องพยายาม...ขับไล่ให้พ้นๆไป อย่างสุดความสามารถ!
พอจะพูดได้ว่า พฤติกรรมของคนในพรรคใดที่ตกกระป๋อง แต่ยังหวนหาใฝ่ในอำนาจ ก็เข้าทำนอง "หิ่งห้อย" อย่างที่เล่ามา

        ดังนั้น ใครก็ตาม มาบอกว่าพรรคที่มีพฤติกรรมอย่างนี้ เป็นพวกแมงสาป นั่นเป็นเรื่องที่ผมไม่เห็นด้วยเด็ดขาด เพราะบินได้สูงกว่าแมงสาป แถมยังมีแสงเอาไว้ขู่ศัตรู ที่เข้ามาหวังครอบครองตำแหน่งอีกด้วย... เหมือน ‘หิ่งห้อย’ มากกว่าเป็นไหนๆ!

        ครับ...แม้ระยะนี้ แสงยังริบหรี่อยู่ แต่จะเรียกหิ่งห้อยธรรมดา คงไม่ได้ จะต้องเรียกให้โอ่อ่า เต็มยศอย่างโบราณท่านว่า เป็นพรรค...

"หิ่งห้อย...ติดหอยหมา!!!"

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ

         มาถึงวันนี้ พฤติกรรมของพรรคดักดานไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย จึงต้องเรียนขอร้องกับท่านผู้อ่าน ดังนี้ ผู้อ่านท่านใด ที่รู้จักมักจี่ กับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนที่เลื่อมใสในพรรคเก่าแก่ ช่วยสงเคราะห์นำบทความนี้ ไปให้พวกเขาอ่านกันหน่อย
เถอะครับ

        อ้อ!... ช่วยบอกไปด้วยว่า ผู้ใหญ่ที่เล่านิทาน "หิ่งห้อย...ติดหอยหมา!!!" ให้ผมฟังนั้น ไม่ได้ใช้คำว่า “หอย” หรอกครับ

       ท่านใช้คำตรงไปตรงมาคือ สะกดด้วยตัว หอ. หีบ กับสระ อี๋ แต่ตัวผู้เขียนเองนั้น ไม่บังอาจขึงขังตึงตัง ใช้คำที่มีทั้งมนต์ขลัง และแสนศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น จึงต้องเลี่ยงมาใช้คำ ว่า “หอย” แทน! บอกตรงๆว่า

ผม...ขี้อายยยยยย!!!

...555... ...................

หมายเหตุ ผมฟังการแถลงนโยบายของนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่จบ เพราะต้องรีบเดินทาง และส่งต้นฉบับก่อนด้วย มีพวกอกหัก ออกมาปรักปรำว่า  นายกฯยิ่งลักษณ์ เอาแต่ยืนอ่านโพย!

พวกนี้ลืมไปว่า นายมาร์ค มุกควาย ตอนแถลงนโยบาย เมื่อ30 ธันวาคม พ.ศ.2551 ก็ยืนอ่านโพยอย่างที่เห็นในภาพ ผิดกันตรงที่ว่า
- นายกฯยิ่งลักษณ์ แถลงนโยบายอย่างสง่างามในรัฐสภาแห่งชาติ แต่นายมาร์ค มุกควาย ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไปซุ่มยืนอ่านนโยบายใน ห้องวิเทศ สโมสรกระทรวงการต่างประเทศ!

- นายกฯยิ่งลักษณ์ อ่านคำแถลงไปเรื่อยๆ สบายๆ และเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้าม อภิปรายท้วงติงนโยบายตามระบอบประชาธิปไตย โดยให้เวลาถึง 2 วันเต็ม แต่ตัวนายมาร์ค มุกควาย ก้มหน้าก้มตา รีบอ่านๆๆๆๆ ให้เสร็จในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง เท่านั้น และไม่เปิดโอกาสให้ใครอภิปรายด้วยซ้ำ  ที่น่าตลก ก็คือ มิสเตอร์ มุกควาย ก้มหน้า หูตก รีบอ่านนโยบาย แบบพายเรือรีบจ้ำ ตากลอกปะหลับปะเหลือกไปมา มองซ้ายทีขวาที ล่อกแล่กๆ เหมือนขาดความมั่นใจ เพราะกลัวคนจะบุกเข้ามากระทืบหรืออย่างไร ไม่ทราบได้?

          สมาชิกพรรคดักดาน ก็อยากให้รีบๆจบเสียโดยเร็ว ร้องเชียร์ (ในใจ) แบบเชียร์แข่งเรือพาย ให้รีบ... บึ้ดจ้ำบึ้ด...บึ้ดจำบึ้ด...บึ้ดจ้ำบึ้ด!!!

(ของที่มัน ‘ปล้น’ เขามา ก็แบบนี้แหละครับ
ต้องรีบ บึ้ดจ้ำบึ้ด...บึ้ดจำบึ้ด...บึ้ดจ้ำบึ้ด!!!...555)

(***คอลัมน์ ประจำสัปดาห์ ตอน ประชาธิปัตย์ อย่าทำตัวเป็น 
‘หิ่งห้อยติดหอยหมา’ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 27 สิงหาคม 2554)
http://redusala.blogspot.com

ความปรองดองจะเกิด
     ถ้าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวก ขึ้นศาล หรือติดคุกเมื่อใด  เมื่อนั้น ความปรองดองอันแท้จริง จึงจะเกิดขึ้นได้

    ข้อความนี้ผมไม่ได้เขียนขึ้นเอง แต่ได้เขียนมาจากการรับฟังบุคคลที่เชื่อถือได้มากกว่าสิบคน เช่นนายทหารใหญ่จากกองทัพอากาศ ทัพเรือ และทัพบก รวมทั้งตำรวจใหญ่ นักการเมืองใหญ่ ครูบาอาจารย์และพ่อค้าประชาชน (ตัดคนเสื้อแดงออก)แต่ละคนพูดตรงกันว่า ต้องเอานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “กับพวก” เข้าคุกให้ได้ จึงจะเกิดความปรองดอง  โดยมีคำอธิบายชัดถ้อยชัดคำถึงเหตุผลว่าเหตุไรจึงต้องเอาอดีตนายกฯนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวก เอาตัวเข้าไปขังในคุกแล้วส่งฟ้องศาลเสียก่อน จึงจะสร้างความปรองดองได้จริง ซึ่งเป็นคำอธิบายที่จะสามารถเผยแพร่ได้ทั้งในและนอกประเทศ

          หลังจากผมได้รับฟังความเห็นจากบุคคลที่เชื่อได้ดังกล่าว ต่อมาผมก็ได้อ่านบทความของ “คน เมืองคอน” เขียนลงในเว็บ พีเพิ่ล ออน ไลน์ ในหน้าเดียวกันนี้แหละ   เขียนในชื่อเรื่องว่า “วาทะ ปรองดอง ใครกำลังหลอกใคร” ?  เมื่ออ่านจบก็นึกอยากเขียนเรื่องในทำนองเดียวกันนี้เสริมเข้ามาทันที เพื่อจะได้ช่วยกันเคาะสนิมที่“ปิดกั้น” ความปรองดองให้หลุดออกไปจากหัวใจของคนไทยให้ได้ในระดับหนึ่ง เพื่อจะเปิดโอกาสให้คนไทยได้รับสภาพจิตที่เป็นอิสระ ไม่ตกเป็นทาสของความโกรธ ความเกลียด อันหมายถึงการมีหัวใจที่เป็นไท (อิสระ) แก่ตนเอง จะได้มีจิตใจอยากร่วมมือกันสร้างความปรองดองต่อไปให้เห็นผลอย่างแท้จริง โดยไม่เลือกสีเสื้อว่าจะเป็นแดง เหลือง หรือหลากสี

                ใช่เลย ต้องเอานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวกเข้าคุก
                จึงจะทำให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริงได้

      วิธีการที่จะเคาะสนิมจากหัวใจได้นี้นะครับ ผมเขียนจากข้อแนะนำจากผู้ที่มีพื้นฐานความน่าเชื่อถือ ซึ่งแต่ละท่านได้ให้คำแนะนำ “คล้ายคลึงกัน” ที่ได้กล่าวว่าจิตใจของคนไทย ๖๕ ล้านคนมีจิต “ใต้สำนึก” ตรงกันทุกอย่างได้แก่จิตใจของทุกคนอยากให้ประเทศนี้-เมืองนี้มีแต่ความปรองดองไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย อยากเห็นประเทศชาติเจริญก้าวหน้า มีความเจริญรุ่งเรื่องเฉกเช่นนานาอารยะประเทศทั้งหลาย ไม่อยากเห็นประเทศไทยของตัวเองเจริญช้า หรือเจริญไม่ทันเขา ไม่อยากถอยหลังเข้าคลอง รวมทั้งไม่อยากเห็นแผ่นดินนี้มีแต่ความขัดแย้งไม่รู้จักจบสิ้น

       ผมจึงนำข้อเสนอให้มีการ “เคาะสนิมหัวใจ” มามอบให้ท่านผู้อ่านดังนี้

       หนึ่ง ...! การเคาะสนิมเบื้องแรก ได้แก่ความเข้าใจการเมืองในแนวทางประชาธิปไตยนั้น จะต้องเชิดชูการเลือกตั้งเป็นวิถีหลักเท่านั้น ไม่มีวิถีอื่นใดที่จะยอมรับได้ โดยเฉพาะได้แก่การไม่ยอมรับการกระทำของทหารที่ใช้อำนาจเผด็จการทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งโดยอ้างโน้นอ้างนี่ ในที่สุดกลายเป็น “ปาหี่” ที่ทำขึ้นด้วยจิตใจที่พอกพูนไปด้วยอวิชชา ริษยา พยาบาท อาฆาต ของเวร ทำแล้วแทนที่จะดีขึ้น กลับยิ่งทำให้ประเทศชาติถอยหลังเข้าคลอง

      สอง...! กรณีการเอ่ยอ้างถึงความจำเป็นว่าจะต้องจัดการกับ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรที่ใช้วิธีการยึดอำนาจไปจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ฝ่ายอำมาตย์กับพรรคประชาธิปัตย์ และพวกพันธมิตร เชื่อเป็นตุเป็นตะว่าทหารทำถูกต้อง ก็จงเคาะสนิมให้ออก ให้มองเห็นว่าประเทศไทยมีขื่อมีแปนะครับ มีศาลเป็นที่พึ่งสูงสุด เหตุไร ทหารจึงไม่ยอมใช้ศาลเล่าครับ ?

       สาม...! กรณีประชาชนในนามของ นปช. รวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตย ยื่นข้อเสนอให้ยุบสภาแล้วจัดการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ โดยประกาศว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง คนเสื้อแดงก็จะหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด จะรออีก ๔ ปี จึงค่อยมาแข่งขันกันใหม่ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ทางพรรคประชาธิปัตย์และพวกอำมาตย์จะต้องไม่ก่อกวนอีกต่อไป จะต้องเลิกก่อความวุ่นวาย

      ข้อเสนอแบบนี้ ประดาคนที่ถือฝักถือฝ่ายขอได้โปรดเคาะสนิมออกจากใจ แล้วถามกับตนเองว่าทหารเอาเหตุผลอะไรมาใช้ เอาใจส่วนไหนมาตัดสิน...จึงกล้าฆ่าประชาชนเลือดแดงฉานบนท้องถนน โดยมีภาพและคลิปมากมาย ทหารยืนจังก้า มือกุมปืน ในชุดนักรบมาจากอวกาศ ยิงเอา...ยิงเอา อันเป็นการตั้งใจฆ่าราวกับว่าประชาชนเหล่านั้นไม่ใช่คนไทย

       สี่...! หลังจากได้สังหารประชาชนแล้วก็ได้โยนความผิดให้พวกเขา กล่าวหาว่าเป็นก่อการร้าย ป้ายสีว่าเป็นภัยต่อสถาบัน จึงจับยัดคุก ขังลืม ไม่ยอมให้การประกันตัว ไม่เอาใจใส่ต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้หัวใจของคนเสื้อแดงสุดแสนจะเจ็บปวด ชีวิตถูกเก็บกด มองไม่เห็นทางออก

       คนเสื้อแดงเพิ่งจะได้พบกับทางออก ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยนายกรัฐมนตรีชื่อ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อันหมายความว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นรัฐบาลอีก ชีวิตของคนเสื้อแดงไม่มีทางออกใดๆเลย จะมีก็แต่คุกและตะรางเป็นที่อยู่อาศัย คนเสื้อแดงบางคนอาจได้รับโทษประหาร ?!

      ท่านลองไตร่ตรองดู !แล้วเคาะสนิมออกจากใจให้ได้ จะเข้าใจดีว่าอะไรคือความยุติธรรม ?

      ห้า...! มาถึงวันนี้ ประเทศของเราเรียกหาความปรองดอง โดยฝ่ายพรรคเพื่อไทยประกาศออกมาว่าจะแก้ไข ไม่แก้แค้น ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็จ้องจับพิรุธพรรคเพื่อไทยว่าทำเพื่อทักษิณคนเดียว และจ้องจับพิรุธไปหลายกระทวนท่า จ้องไม่กระพริบตา กลัวพรรคเพื่อไทยจะช่วยให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการนิรโทษ...จึงตั้งท่าต่อต้านสุดเหยียด โดยมิได้ร่วมมือแสวงหาความปรองดองแต่อย่างใด

      หก...! บุคคลที่น่าเชื่อถือได้กล่าวหลายถ้อยคำเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองในประเทศไทยว่า ถ้าจะทำให้เกิดความปรองดองอย่างได้ผลนั้น ให้ลืมเรื่อง“ทักษิณ” ไปเลย โดยไม่ต้องใส่ใจว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร จะได้กลับประเทศไทยเร็วหรือช้า 

     ประการสำคัญให้เอานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกับพวกมาขึ้นศาลให้ได้ แล้วดำเนินการสืบสวน-สอบสวนตามหลักนิติรัฐ บนมาตรฐานเดียวกัน อย่าให้มี ๒ มาตรฐานหลงเหลือ ?

(ก)  ถ้าคนเสื้อแดงฆ่าคนเสื้อแดงตายตามข้อกล่าวหาจริง ก็สมควรได้รับโทษสถานหนัก
(ข) ถ้ายังยืนยันว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีความผิด ก็ขอให้มีศาลเป็นที่พึง
(ค) คนที่ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธยิงประชาชนได้ จนเข้าข่ายเป็นฆาตกร ก็ต้องเป็นจำเลยเช่นเดียวกับคนเสื้อแดงที่ตกเป็นจำเลย
(ง)  คนที่ชื่อสูงส่งในสังคมไทย เช่นอดีตนายกรัฐมนตรี “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และรองนายกรัฐมนตรี “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รวมทั้ง  ทหารใหญ่หลายคน สามารรถฆ่าตนทิ้งโดยไม่มีความผิดกระนั้นหรือ ? เมื่อพวกเขาทำให้ประชาชนล้มตายเกือบร้อย บาดเจ็บอีก ๒๐๐๐ พวกเขา เป็นอาชญากรอยู่แล้ว เหตุไรจึงอยู่เหนือกฎหมายด้วยเล่า ?
(จ)  ดังนั้น จึงหมายความว่าเมื่อทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการ “ยุติธรรม” อย่างเสมอหน้ากัน ใครผิดว่าไปตามผิด ใครถูกก็ว่าไปตามถูก ขึ้นอยู่กับจ้อเท็จจริงและหลักฐานได้ถูกนำเอามาเป็นพยาน ให้เป็นตัวชี้ขาดปัญหา ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็จะสามารถ “เคาะ”สนิมที่บังตาได้ดีกว่า

เจ็ด...! บุคคลที่น่าเชื่อถือยังได้กล่าวถึง “จุดเริ่มต้น” ที่จะต้องเคาะสนิมให้หลุดไปจากดวงจิตที่ถูก อวิชชาครอบงำทำให้ไม่รู้ว่าประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย ด้วยการให้เรียนรู้ว่าหัวใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุขนั้น ต้องประกอบขึ้นด้วยหลัก ๖ ประการ

(๑)  ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตย โดยใช้กติกา “เสียงข้างมาก” มาจากการเลือกตั้งเป็นทฤษฎีชี้นำ

(๒) อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดอ้างเอา “สถาบัน” เบื้องสูงมาข่มขู่คุกคามประชาชน เป็นอันขาด

(๓) พวกอำมาตย์จงจดจำเหตุการณ์เมื่อ ๑๙ ปี ในกรณีพฤษภาทมิฬ ๒๕๓๕ คราวนั้น ความเลวร้ายจบลงได้ด้วยพระบารมีมากล้น บ้านเมืองที่กำลังฆ่ากันเลือดเนืองนองกลับเข้าสู่ความสงบได้ภายใน ๕ ชั่วโมงเท่านั้น ...เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่ง

(๔) แล้วเหตุไร ในกรณี ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ อำมาตย์ จึงไม่ดำเนินการเฉกเช่นเดียวกัน ทำไมจึงยังปล่อยให้มีการฆ่าใหญ่อย่างสยดสยองที่ราชประสงค์และวัดปทุมวนารามหนักหน่วงขึ้นมาอีก จึงมีคำถามว่าอำมาตย์จดจำเหตุการณ์ “พฤษภทมิฬ” อันทรงคุณค่ายิ่งไม่ได้เลยเชียวหรือ ?ผมอยากกล่าวว่าอำมาตย์จงใจทำให้สถาบันได้รับความเสียหาย [ทำให้เจ้าล้มไปจากประชาชน]หรือไม่ก็ถูกอวิชชาครอบงำจนหลงทาง ? ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเป็นแน่

(๕) เมื่อบ้านเมืองเผชิญปัญหาอย่างร้ายแรงตั้งแต่ ๑๐ เมษา..มาจนถึงวันนี้ โดยไม่มีการติดตามเอาผู้ร้ายตัวจริงมาลงโทษ [คนเขาไม่เชื่อว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ร้ายตัวจริง] ความเข้าใจแบบนี้มันได้เป็นอุปสรรคขัดขวางและฝังลึกเข้าไปในใจ แม้ว่าจะได้ยินวิทยุและทีวีเป่าหูเช้าเย็นว่าให้รู้รักสามัคคี ให้รักใคร่ปรองดองกันเถิดพี่น้องไทย ก็ไม่มีหัวใจที่จะรับฟังด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบเหมือนเมื่อก่อน ทั้งนี้เนื่องจากคดีของคนเสื้อแดงยังคงรอเอาคอขึ้นเขียง ทั้งๆที่คนเสื้อแดงไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายอะไรเลย ใจมันร้องหาความเป็นธรรม !

(๖) เอานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวกมาเข้าแถวเดินเข้าหาคดีอาญาอย่างเสมอหน้ากันซีครับ มันถึงจะเกิดความยุติธรรมขึ้นมาได้ และนั่น “คือหนทางสร้างความปรองดอง” ที่แท้จริงที่สังคมนี้จะต้องร่วมกันพิเคราะห์อย่างจริงจัง โดยมิให้อคติใดๆเข้ามาครอบงำ

       แปด...ท่านผู้น่าเชื่อถือท่านหนึ่ง บ้านเรือนอยู่จังหวัดชุมพร (ขอสงวนนาม)เป็นอดีตข้าราชการยศสูงในกองทัพอากาศกล่าวว่า สภาวะทางจิตใต้สำนึกของคนไทยในวันนี้ เกิดความเสียใจและน้อยใจอย่างร้ายแรงที่ชนชั้นผู้ปกครองแบ่งแยกคนในชาติเดียวกันให้ฝ่ายหนึ่งรักและเทิดทูนองค์พระประมุขแล้วตอกย้ำคนไทยอีกกลุ่มหนึ่ง ว่าเป็นภัยต่อสถาบัน แม้ว่าคนผู้นั้นจะตอบโต้ว่าไม่ได้เป็นภัยก็ไม่ยอมรับฟัง 

       ดังตัวอย่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้รับเคราะห์กรรมตรงนี้เต็มพิกัด ?

       ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์สภาพจิตใต้สำนึกของคนไทยในวันนี้ จะพบว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องของการเมืองเสียแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เป็นการแข่งขันทางการเมืองตามปกติของชาวโลก หากแต่มันเป็นความอาฆาต พยาบาท จองเวร หมายที่จะเล่นงานพรรคเพื่อไทยให้พังพินาศไปทุกเครือข่าย ดังจะเห็นได้จากการไล่ล่าพ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ราวกับอาชญากรสงคราม รวมทั้งเสียงขู่ที่ดังออกมาตลอดเวลาว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะอยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือนบ้างละ แล้วลดลงมาเหลือไม่เกิน ๓ เดือนบ้างละ อันเป็นการคำพูดแบบขี้รดหัวใจ มิได้ตระหนักแม้แต่นิดว่าพรรคเพื่อไทยชนะมา ๑๕ ล้านเสียง

      บรรยากาศทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้มิได้ตั้งอยู่ในฐานะฝ่ายค้าน สิ่งที่พรรค ปชป. กำลังทำอยู่ คือไล่ถอดถอน ฟ้องยุบพรรค และกล่าวหาซ้ำซากทั้งๆที่พรรคเพื่อไทยเพิ่งจะมีอำนาจบริหารตามรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ [เพิ่งจะได้ ๔ วันเท่านั้น]

      เก้า...! อย่างไรก็ตาม ถ้าจะสร้างความปรองดองให้ได้ผล ทางออกทางเดียวที่เหลืออยู่คือเอาตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวกขึ้นสู่ศาลในฐานะอาชญากรเข่นฆ่าประชาชนให้ได้ 
     
     สรุป “ต้องยื่นคุก” ให้อภิสิทธิ์ ถ้าคิดจะปรองดอง ?
                                                                               สอาด จันทร์ดี
                                                                        ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๔
http://redusala.blogspot.com