วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554


เอกสารร้อน‘ลึกแต่ไม่ลับ’ความจริง‘กระชับวงล้อม’

         รายงาน(วันสุข)
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 7 ฉบับที่ 317 ประจำวัน จันทร์ ที่ 4 กรกฏาคม 2011
         โดย วารสารเสนาธิปัตย์
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=11306


         บทความใน “วารสารเสนาธิปัตย์” กรมยุทธศึกษาทหารบก ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2553 โดยผู้ใช้นามแฝง “หัวหน้าควง” จปร.32 (เหล่าทหารราบ) นายทหารปฏิบัติการประจำกรมยุทธศึกษาทหารบก เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำ “เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทางทหาร : กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง” ที่มีการนำมาเผยแพร่สื่อในต่างๆขณะนี้นั้นถือเป็นมุมมองของนายทหารที่ปฏิบัติการณ์สลายการชุมนุมกลุ่ม “คนเสื้อแดง” เมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่สรุป “ความสำเร็จ” ในการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ ซึ่งมีเนื้อหาหลายตอนที่น่าสนใจและระบุชัดว่า “นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ศอฉ. ในวันที่ 12 พฤษภาคม ให้ฝ่ายทหารเริ่มต้นปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่วางไว้”


นอกจากนี้ยังระบุว่า นโยบายรัฐบาลชัดเจนมาตลอดที่จะใช้มาตรการทางทหารกดดันกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คือนโยบายกระชับวงล้อมเพื่อ “ยุติการชุมนุม” ไม่ใช่การกระชับวงล้อมเพื่อ “เปิดการเจรจา” จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ข้อเสนอเป็นตัวกลางในการเจรจาของวุฒิสมาชิกในคืนวันที่ 18 พฤษภาคมถูกปฏิเสธ


เอกสารยังระบุชัดเจนถึงแผนยุทธการและหน่วยทหารที่ใช้ โดยเฉพาะ “หน่วยสไนเปอร์” ที่เป็นหน่วยแรกๆในการเข้าสลาย โดยการยึดพื้นที่สูงคือ อาคารเคี่ยนหงวนและอาคารบางกอกเคเบิ้ล มีการระดมพลแม่นปืนเท่าที่มีอยู่ในกองทัพบกเข้าประจำพื้นที่ รวมถึงการสั่งการให้ใช้ “กระสุนจริง” เพราะถือเป็นการปฏิบัติการรบเต็มรูปแบบเหมือนการทำสงครามรบในเมือง โดยใช้กำลังขนาดใหญ่ถึง 3 กองพล หลังจากทหารสูญเสียความเชื่อมั่นจากเหตุการณ์ 10 เมษายน แม้จะมี “ข้อเสนอแนะทางยุทธวิธี” ให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยระดับยุทธวิธีปฏิบัติภายใต้การรักษาชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธ์เป็นสำคัญที่สุด และควบคุมการลั่นไกกระสุนจริง โดยมีสติและมีเจตนารมณ์ ไม่ให้กำลังพลปฏิบัติด้วยความโมโหหรือการแก้แค้นเป็นอันขาดก็ตาม แต่บทความระบุว่าไม่มีประเทศใดในระดับนานาชาติยอมวิธีดังกล่าวมาปฏิบัติในการสลายการชุมนุม


******


บทเรียนยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ 14-19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ครั้งนี้สืบเนื่องมาจากความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางการเมือง ตั้งแต่ระดับนโยบายคือคณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความมีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ
กล่าวนำ


สืบเนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติแดงทั้งแผ่นดิน (นปช.) กับรัฐบาล โดยกลุ่ม นปช. ได้มีการชุมนุมเกินขอบเขตของกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม จนถึงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 และกลุ่ม นปช. ได้เคลื่อนย้ายมวลชนมาปักหลักตั้งเวทีปราศรัยถาวรที่บริเวณพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนในกรุงเทพฯ ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล และสร้างผลเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน


รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ ศอฉ. เพื่อแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยมีกองทัพบกเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหา และกองทัพบกได้นำกำลังพลเข้าแก้ไขปัญหาในเหตุการณ์สำคัญๆ 3 เหตุการณ์คือ เหตุการณ์ 10 เมษายน พื้นที่สี่แยกคอกวัว เหตุการณ์การรักษาพื้นที่สีลม เหตุการณ์สลายการเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. พื้นที่อนุสรณ์สถาน ดอนเมือง


บทความฉบับนี้เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำ “เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทางทหาร : กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง” ตามดำริของเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก พล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในเมืองรูปแบบใหม่


เมื่อรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการกระชับวงล้อมพื้นที่ชุมนุมราชประสงค์ ศอฉ. ผ่านการสั่งการมายังกองทัพบกได้จัดกำลังเปิดยุทธการกระชับวงล้อม โดยแบ่งการปฏิบัติออกเป็น 3 ห้วงเวลา กล่าวคือ ห้วงแรกเป็นการกระชับวงล้อมขั้นต้นในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ห้วงที่ 2 เป็นการถอยร่นเพื่อสถาปนาแนวตั้งรับเร่งด่วนในวันที่ 15-18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 และห้วงสุดท้ายเป็นการกระชับวงล้อมขั้นสุดท้ายในวันที่ 19 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 03.00 น. จนกระทั่งแกนนำประกาศยุติการชุมนุมบนเวทีราชประสงค์เมื่อเวลา 13.20 น.


บทความนี้จะได้นำเสนอบทเรียนแบบความสำเร็จของยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ในระดับยุทธ์ศาสตร์ ยุทธการ และยุทธวิธี พร้อมด้วยข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ศอฉ. กองทัพบก และหน่วยปฏิบัติระดับยุทธวิธี เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป


ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ : การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์
การแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ภายหลังทหารประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการ “ยุทธการกระชับวงล้อม” ในเวลา 10 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความพอใจผลงานยุติม็อบว่า “...เป้าหมายของ ศอฉ. เพื่อกระชับวงล้อม เพื่อให้เกิดการยุติการชุมนุมโดยเร็วที่สุด เรายึดหลักสากล ทำให้เกิดความพอใจ...”


คำพูดไม่กี่คำของนายกรัฐมนตรีภายใต้สถานการณ์วิกฤตครั้งนี้ทำให้ทหารและกองทัพที่เป็นหมัดสุดท้าย ซึ่งเป็นกลไกบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลที่มีอยู่รู้สึกมั่นใจและเชื่อมั่นถึงยุทธศาสตร์ทางการเมืองของยุทธการครั้งนี้
ความสำเร็จในยุทธศาสตร์ทางทหารยุทธการกระชับวงล้อมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เป็นผลจากความชัดเจนทางการเมืองสำคัญ ได้แก่


1.นโยบายรัฐบาลชัดเจนมาตลอดที่จะใช้มาตรการทางทหารกดดันม็อบกลุ่ม นปช. ความชัดเจนก็คือนโยบายกระชับวงล้อมเพื่อยุติการชุมนุม ไม่ใช้การกระชับวงล้อมเพื่อเปิดการเจรจา ดังนั้น ถ้าการเดินทางยุทธศาสตร์ทหารนั้น ถ้าเป้าหมายทางการเมือง (Political will) ชัดเจน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางการทหารก็ไม่ยาก และเมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ศอฉ. ในวันที่ 12 พฤษภาคม ให้ฝ่ายทหารเริ่มต้นปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่ได้วางไว้


2.สำหรับสัญญาณทางการเมืองที่ส่งไปยังสังคมได้ส่งผลทางจิตวิทยาระดับยุทธศาสตร์ คือการใช้ภาษาคำว่า “การกระชับวงล้อม” ไม่ใช่ “การสลายม็อบ” คือ ไการปราบม็อบ” หรือ “การปิดล้อม” จากภาษาที่สื่อดังกล่าวสังคมรับได้และรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งคาดหวังว่าเหตุการณ์จะสงบโดยเร็ว และอาจมีการสูญเสียชีวิตประชาชนบ้าง แต่ไม่มากมายเหมือนเช่นในอดีต


3.มาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ ตัดระบบการส่งกำลังบำรุง และการตัดการเติมคนเสื้อแดงเข้าไปในพื้นที่ราชประสงค์ เป็นมาตรการระดับยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลภายใต้การอำนวยการของ ศอฉ. ได้สร้างแรงกดดันให้ม็อบราชประสงค์ถูกบีบกระชับวงล้อมทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ได้ส่งผลข้างเคียงต่อผู้อาศัยโดยรอบพื้นที่การชุมนุม ถ้าปล่อยไว้นานอาจส่งผลทำให้เกิดกระแสตีกลับมาขับไล่รัฐบาลได้


4.ความมีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ แม้ว่าจะมีกระแสข่าวความไม่ลงรอยกันบ้างในการแก้ปัญหา เนื่องจากการใช้กำลังทหารขอคืนพื้นที่ เพราะบทเรียนวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 บริเวณสี่แยกคอกวัวจะตามมาหลอกหลอนผู้นำกองทัพอยู่เสมอๆ แต่เมื่อได้ประเมินทางยุทธศาสตร์เพื่อมีความคุ้มค่าและมองเห็นความสำเร็จ รัฐบาลกับกองทัพก็หันมาร่วมมือกันเปิดยุทธการครั้งนี้อย่างมั่นใจ รวมไปถึงความร่วมมือของทุกกองกำลังของทุกเหล่าทัพก็เป็นการแสดงถึงความมีเอกภาพ


5.ปัจจัยเวลาในกรอบการปฏิบัติงานก็เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากความล้มเหลวในการรุกเข้าขอคืนพื้นที่ในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ทำให้หน่วยทหารทั้งในส่วนพื้นที่ถนนพระราม 4 บ่อนไก่ และถนนราชปรารภ (สามแยกดินแดง) ต้องตรึงกำลังให้อยู่กับที่ หรือแทบจะเรียกได้ว่าถอยร่นออกมาจากระยะยิงของสไนเปอร์จากการ์ด นปช. แต่เมื่อรัฐบาลเข้าใจว่าต้องให้เสรีในการปฏิบัติเรื่องเวลา รัฐบาลจึงมีมติผ่าน ครม. ประกาศให้พื้นที่กรุงเทพมหานครหยุดราชการเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงวันที่ 17-18 พฤษภาคม และวันที่ 19-21 พฤษภาคม ทำให้ทหารไม่มีแรงกดดันเรื่องเวลาเหมือนเช่นเหตุการณ์ 10 เมษายนที่ผ่านมา


6.ประสิทธิภาพของการทำงานปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) ได้ผลทางยุทธศาสตร์ทั้งในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ผ่านโทรทัศน์ NBT และการแถลงข่าวของ ศอฉ. โดยโฆษกของ ศอฉ. สามารถตอบโต้กลุ่ม นปช. และตอบข้อสงสัยของสังคม ผู้ชุมนุม ผู้ได้รับความเดือดร้อนรอบพื้นที่ชุมนุม ประชาชนในส่วนที่เหลือของประเทศ ยกเว้นพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือที่มีมวลชนเป็นสีแดงเข้มก็ไม่ได้ผล รวมทั้งการสื่อสารกับนานาชาติในระดับโลกก็ถือว่าได้ผลระดับหนึ่ง ผ่านทางรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในฐานะโฆษกรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ


7.การปรากฏตัวทางยุทธศาสตร์ ศอฉ. ได้ใช้ประโยชน์จากการที่สามารถควบคุมสื่อสารโทรทัศน์ในเวลาแถลงข่าวของผู้นำทหารในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นรองเสนาธิการทหารบก ผช.เสธ.ฝยก. แม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.พลหน่วยปฏิบัติ ทำให้กำลังพลมีความเชื่อมั่น การปฏิบัติการยุทธการกระชับวงล้อมมีการวางกำลังทางทหาร และมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นรับผิดชอบอย่างชัดเจน สังคมและประชาชนก็มั่นใจว่าน่าจะมีความสำเร็จสูง


8.การชี้แจงทำความเข้าใจของการใช้อาวุธตามหลักสากล มีกฎการใช้กำลัง การยิงกระสุนจริง การใช้หน่วยสไนเปอร์ ถือว่ากระทำได้อย่างทันท่วงที เพื่อตอบโต้กับภาพข่าวทั้งในและต่างประเทศ เพราะถ้าไม่มีการแก้ข่าวทุกวัน ข่าวความห่วงใยเหล่านี้ได้ไต่ระดับเลขาธิการสหประชาชาติ เลขาธิการอาเซียน ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากของปัญหามากยิ่งขึ้น จนกระทั่งรัฐบาลไม่สามารถรับมือกับต่างประเทศได้


9.การควบคุมการติดต่อสื่อสารทุกระบบถือว่าเป็นงานระดับยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เมื่อกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสั่งปิดเว็บไซต์ เฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ของเครือข่ายอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ช่องทางสื่อสารถูกตัดขาดลง


10.การทำงานที่สอดคล้องกันระหว่างมาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ กับมาตรการของกรมสอบสวนคดีพิเศษในเรื่องการประกาศงดทำธุรกรรมทางการเงินของผู้ต้องสงสัยที่ต่อท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่ม นปช. คือการตัดแหล่งทุนสำคัญของการเคลื่อนไหวลงได้ระดับหนึ่ง


11.การนำคดีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงกับคดีการก่อการร้ายมาเป็นคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผลให้การทำคดีมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความเข้มข้นในการสืบสวนสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรม และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากถึง 11 หน่วยงานมาช่วยกันทำคดีการก่อการร้าย ถือว่าเป็นการสร้างความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายอย่างมาก


12.จุดอ่อนทางยุทธศาสตร์ของกลุ่ม นปช. ที่กลายเป็นจุดแข็งของรัฐบาล คือการถอนตัวของนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่ม นปช. และการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้มีความเชี่ยวชาญทางทหารที่มีส่วนดูแลและวางแผนการรักษาความปลอดภัยของการ์ด นปช. ถือว่าเป็นสัญญาณแห่งความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ เพราะกลุ่ม นปช. ไม่มีหัวในระดับยุทธศาสตร์ทางการเมือง คือนายวีระ มุสิกพงศ์ และไม่มีหัวเสธ.ระดับยุทธศาสตร์ทางทหารในการวางแผนตั้งรับในกรณีที่ทหารจะเข้าสลายม็อบ นปช.


สรุปได้ว่าความสำเร็จทางยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ครั้งนี้สืบเนื่องมาจากความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางการเมือง ตั้งแต่ระดับนโยบายคือ


คณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ความมีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ การที่ทหารสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ทางทหารที่ชัดเจนได้เนื่องจากการเมืองของรัฐบาลที่ชัดเจน และที่สำคัญดังที่ซุนวูกล่าวไว้ว่า “ชัยชนะย่อมเกิดจากฝ่ายตรงข้าม หรือข้าศึกตกอยู่ในสถานการณ์พ่ายแพ้เอง” นั่นคือสภาพการแตกแยกทางความคิดของกลุ่มแกนนำหลัก และการสูญเสียมือวางแผนระดับเสนาธิการ ทำให้สถานการณ์ของกลุ่ม นปช. เริ่มเพลี่ยงพล้ำทางยุทธศาสตร์มาตามลำดับ
แผนยุทธการและหน่วยรับผิดชอบการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์
แผนยุทธการสลายม็อบราชประสงค์ถูกกำหนดดีเดย์ไว้ตั้งแต่ตี 3 ครึ่ง วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 หน่วยแรกที่เข้าปฏิบัติการคือ หน่วยสไนเปอร์ เพื่อยึดพื้นที่สูงข่มของตึกบนถนนวิทยุ (อาคารเคี่ยนหงวน) และสะพานแยกสารสิน (อาคารบางกอกเคเบิ้ล) โดยที่อาคารสูงบนถนนวิทยุถูกยึดได้ก่อนตี 5 ครึ่ง ส่วนตึกสูงด้านถนนสารสินยังเข้าไม่ได้


หลังจากนั้นทหารจาก พล.ม.2 รอ. ได้แยกกำลังรุกเข้าไป 3 ทิศทาง ตามเส้นทางถนนวิทยุ ถนนสีลม และถนนสุรวงศ์ มีการเคลื่อนรถหุ้มเกราะปฏิบัติพร้อมทหารเดินเท้า อาวุธเต็มอัตราศึก เป็นรูปขบวนการรบที่คุ้นตาสำหรับการปฏิบัติการของยานยนต์รบกับหน่วยของการยุทธรบในเมือง
แต่กว่าที่ภาพรถหุ้มเกาะจะค่อยๆบดทับและพังทลายป้อมค่ายป้องกันของ นปช. ที่ศาลาแดงได้นั้น ได้มีการวางแผนปรับแผนส่วนหน้ามาแล้วเป็นเดือน โดยใช้บทเรียน 10 เมษายนเป็นสมมุติฐาน ดังนั้น แผนยุทธการครั้งนี้จึงมีการวางแผนอย่างรัดกุม และตั้งอยู่บนสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุด จะเห็นได้ว่ายุทธการครั้งนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางการทหารและยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่กล่าวมาแล้วข้างต้น


ขั้นการปฏิบัติยุทธการกระชับวงล้อม


จากการประมวลภาพการแถลงข่าวของ ศอฉ. และภาพข่าวของสื่อมวลชน แผนยุทธการน่าจะประกอบด้วยขั้นการปฏิบัติ 4 ขั้นตอน ได้แก่


1.ขั้นการกระชับวงล้อมขั้นต้น เพื่อทดสอบกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ขั้นต้น ใช้เวลา 1 วัน (14 พฤษภาคม)


2.ขั้นการวางกำลังตรึงพื้นที่รอบนอก เพื่อป้องกันการเติมคนของกลุ่ม นปช. อาจเรียกได้ว่าเป็นการกลับหลังหันรบ 180 องศา มาตั้งรับใน 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ บ่อนไก่ ถนนราชปรารภ และสามย่าน ขั้นนี้ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงสุด ควบคุมสถานการณ์ให้นิ่งให้ได้ รอฟังคำสั่งต่อไป ใช้เวลา 4 วัน (15-18 พฤษภาคม)


3.ขั้นการสลายม็อบภายหลังจากปฏิบัติการในขั้นที่ 2 ที่ต้องใช้เวลา 4 วัน เพื่อเช็กข่าวการวางกำลังและอาวุธสงครามในพื้นที่สวนลุมพินี การวางกำลังหลังแนวด่านตรวจ นปช. โดยรอบพื้นที่ราชประสงค์ การเช็กที่ตั้งจุดใช้อาวุธ M79 การตรวจสอบกองกำลังกลุ่มก่อการร้ายจำนวน 500 คนว่าวางกำลังพื้นที่ใด เมื่อทุกหน่วยเข้าที่พร้อม การปฏิบัติการก็เริ่มต้นในเช้าตรู่วันที่ 19 พฤษภาคม โดยให้เสร็จสิ้นภารกิจภายใน 1,800 ของวันเดียวก


4.ขั้นการกระชับวงล้อมขั้นสุดท้าย เพื่อตรวจสอบค้นหาหลักฐาน อาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมาย เริ่มปฏิบัติการในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 สาเหตุที่ไม่สามารถทำได้ในวันบุกสลายการชุมนุมในขั้นตอนที่ 3 เพราะกลุ่ม นปช. ได้วางเต็นท์และที่พักเป็นจำนวนมาก และตั้งแต่บ่ายของวันที่ 19 พฤษภาคม มวลชนเสื้อแดงได้ก่อการจลาจลในพื้นที่ราชประสงค์และทั่วกรุงเทพฯ


หน่วยรับผิดชอบวางกำลังยุทธการกระชับวงล้อม


เป็นการปฏิบัติการร่วม 3 เหล่าทัพคือ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โดยกำลังหลักที่ใช้ปฏิบัติการเป็นกำลังของกองทัพบกจำนวน 3 กองพล ได้แก่ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.ร.1รอ.) ใช้กำลัง 3 กรมหลักคือ ร.1 รอ. ร.11 รอ. และ ร.31 รอ. ให้ ร.1 รอ.  กับ ร.11 รอ. วางกำลังพื้นที่ดินแดง พญาไท ราชปรารภ ร.31 รอ. เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว พร้อมปฏิบัติการพิเศษ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มีหน้าที่ดูแลพื้นที่ถนนวิทยุ บ่อนไก่ ศาลาแดง ลุมพินี สามย่าน กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) มีหน้าที่ดูแลพื้นที่อโศก เพลินจิต ชิดลม


นอกจากนี้ยังมีกองกำลังพร้อมสนับสนุนคือ พล.ร.2 รอ. กำลังของหน่วยอากาศโยธิน (อย.) ของกองทัพอากาศสแตนด์บายพร้อมออกปฏิบัติหน้าที่ 24 ชั่วโมง และมีหน่วยปฏิบัติการทางอากาศพร้อมขึ้นบินเหนือพื้นที่ราชประสงค์ ขณะที่กองทัพเรือรับภารกิจพิเศษอารักขาสถานที่สำคัญ โดยเฉพาะบริเวณโรงพยาบาลศิริราช


ทั้งนี้ การปฏิบัติภารกิจของกองทัพจะมีสัญญาณบอกฝ่ายเป็นสัญลักษณ์แถบสีติดหัวไหล่แขนขวา โดยจะมีการเปลี่ยนสีทุกวัน แต่เมื่อการปฏิบัติภารกิจเต็มขั้นในวันที่ 19 พฤษภาคม กำลังทุกหน่วยจะใช้แถบสีชมพูเป็นสัญลักษณ์บอกฝ่ายติดไว้บริเวณหลังหมวกเหล็กทุกนาย


ความสำเร็จทางยุทธการ : การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์


1.แผนยุทธการมีพื้นฐานและสอดรับกับความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางทหารและนโยบายของรัฐบาล


2.แผนยุทธการมีการวางแผนเป็นขั้นตอนรัดกุม มีเสรีในการปฏิบัติตามกรอบเวลา มีการวางแผนและปฏิบัติโดยปราศจากแรงกดดันด้วยเวลา


3.การปฏิบัติการข่าวสารนับว่าเป็นผลในระดับยุทธการ ทั้งในส่วนการสร้างขวัญและกำลังใจของฝ่ายปฏิบัติการ และลดขวัญกำลังใจของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย


4.ความสำเร็จของการปฏิบัติงานด้านการข่าวในพื้นที่กลุ่ม นปช. ทำให้สามารถใช้หน่วยได้ตรงกับขีดความสามารถและถูกต้องเหมาะสมกับภารกิจ ยกตัวอย่างการใช้หน่วยสไนเปอร์ของทุกกรม โดยเฉพาะกับพื้นที่ตึกสูงตามเส้นทางถนนวิทยุและสายสารสิน


5.ความสำเร็จในการจู่โจม แม้ว่าแผนยุทธการครั้งนี้ไม่สามารถจู่โจมด้วยเวลาได้ก็มีการแก้เกมด้วยการจู่โจมด้วยความเร็ว โดยการส่งล่วงหน้าเข้ารักษาความปลอดภัยบนพื้นที่อาคารสูง การเข้ายึดพื้นที่สวนลุมพินีเป็นส่วนใหญ่ได้ก่อนสว่าง และการรุกเข้าพร้อมกัน 3 ทิศทาง


6.การปฏิบัติตามแผนยุทธการกระทำด้วยการรุกคืบด้วยความระมัดระวังของแต่ละพื้นที่ โดยการประเมินศักยภาพของกำลังการ์ด นปช. ให้สูงกว่าเมื่อครั้ง 10 เมษายน เพื่อให้มีระบบป้องกันตัวทหารที่มากขึ้น ดังนั้น การปฏิบัติการทางทหารที่ใช้กำลังทหารประมาณ 20,000 นาย มีการสูญเสียทหาร 1 นาย กับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ถือว่าเป็นความสูญเสียที่ยอมรับได้


7.กองกำลังการ์ด นปช. มีการตั้งรับแบบกองโจรวางกำลังเต็มพื้นที่ ขาดผู้เชี่ยวชาญการวางกำลังตั้งรับและร่นถอยแบบทหารที่แท้จริง เนื่องจากการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ทำให้จุดศูนย์ดุลของ นปช. กลายมาเป็นจุดแข็งของการปฏิบัติของกองทัพ


8.แผนยุทธการเป็นการวางแผนการปฏิบัติรบเต็มรูปแบบเสมือนการทำสงครามรบในเมือง ใช้กำลังขนาดใหญ่ถึง 3 กองพล วางแผนเข้าปฏิบัติการ ซึ่งมีอำนาจกำลังรบเปรียบเทียบสูงกว่ามาก ยิ่งมีการสั่งการให้ใช้กระสุนจริงกับกลุ่มก่อการร้ายผู้ถืออาวุธ และเพื่อป้องกันตัวเองได้ ทำให้ทหารที่เคยสูญเสียความเชื่อมั่นจากเหตุการณ์ 10 เมษายนมีจิตใจรุกรบมากขึ้น


9.แผนยุทธการในการรุกผ่านฝ่ายเดียวกันจากถนนสาทร ถนนสีลม ถนนสุรวงศ์ และถนนวิทยุ ทำให้กองกำลังทหารสามารถรักษาโมเมนตัมในการปฏิบัติการได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถพิทักษ์ป้องกันพื้นที่ส่วนหลัง (พื้นที่สีลม) ได้อย่างปลอดภัย


10.ความมีเอกภาพในการปฏิบัติจากการสั่งการของแม่ทัพภาคที่ 1 กับกองกำลัง 3 กองพลให้ปฏิบัติการได้ถูกจังหวะการรุกและการหยุดหน่วย เพื่อผลการรุกของหน่วยอื่น หรือรอเวลาสำหรับการปฏิบัติชั้นสุดท้าย ยกตัวอย่างหน่วยรุกแตกหัก ได้แก่ พล ม.2 รอ. จากทิศทางสีลมมุ่งสู่สี่แยกศาลาแดง ส่วนที่ 2 กองพลที่เหลือคือ พล.ร.9 รับผิดชอบพื้นที่แยกอโศก เพลินจิต ชิดลม และ พล.1 รอ. รับผิดชอบพื้นที่ดินแดง พญาไท ราชปรารภ กำลังส่วนนี้ต้องตรึงกำลัง ปิดเส้นทางหลบหนี ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้ผู้ชุมนุม นปช. ได้ทยอยออกจากพื้นที่ราชประสงค์ผ่านถนนพระราม 1 ไปแยกปทุมวัน หรือเข้าไปในวัดปทุมวนาราม
ความสำเร็จทางยุทธวิธี : การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์


ยุทธการกระชับวงล้อมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ จึงเห็นได้ว่าภารกิจชัดเจน คือการกระชับวงล้อมด้วยกระสุนจริงจากกำลังหน่วยรบหลักของเหล่าทหารราบ เหล่าทหารม้า และหน่วยส่งกำลังทางอากาศ อย่างเช่น ร.31 รอ. ในภารกิจปฏิบัติการพิเศษ อาจเรียกได้ว่าเป็นการรบในเมืองที่ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารเต็มอัตราศึก ทั้งกำลัง อาวุธประจำกายที่ทันสมัย ชุดสไนปอร์ หน่วยยานเกราะ ซึ่งการปรับกำลังและการเปลี่ยนแปลงทางยุทธวิธีที่สำคัญครั้งนี้เป็นผลสะท้อนจากบทเรียนเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 นั่นเอง


การปฏิบัติการทางยุทธวิธีที่ใช้เวลาทำงาน 9 ชั่วโมง (เวลา 03.30-13.30 น.) ถือว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญยิ่งทางยุทธวิธีของการรบในเมืองที่สมควรได้มีการบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการรบในเมือง ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


1.การปฏิบัติการทางยุทธวิธีสอดรับกับแผนยุทธการกระชับวงล้อมของ ศอฉ. ในระดับยุทธการและนโยบายของรัฐบาลที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อการเมืองชัดเจน ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพชัดเจน ผู้บังคับหน่วยชัดเจน นำมาซึ่งแผนยุทธการและแผนปฏิบัติระดับยุทธวิธีก็มองเห็นทิศทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ


2.ปรับยุทธวิธีการปราบจลาจลเป็นยุทธวิธีการรบในเมือง เพื่อการปราบปรามกองกำลังติดอาวุธหรือผู้ก่อการร้ายที่แอบแฝงในกลุ่ม นปช. ด้วยฐานข่าวของ ศอฉ. ว่ามีกองกำลังติดอาวุธประมาณ 500 คน มีอาวุธปืนซุ่มยิง อาวุธสงคราม เช่น M79 M16 AK47 และ Travo-21


3.ปรับการยิงกระสุนยางจากปืนลูกซองเป็นการใช้กระสุนจริงจากอาวุธประจำกาย ทำให้ต้องมีการสร้างวินัยอย่างเข้มงวด ตามกฎการใช้กำลังจากเบาไปหาหนัก ตามหลักสากลมีการยิงให้กรวยกระสุนตกต่ำกว่าหัวเข่า การยิงเมื่อเห็นเป้าหมายหรือบุคคลถืออาวุธเป็นการยิงเพื่อป้องกันตัวเอง การยิงขู่จะยิงเมื่อม็อบเคลื่อนที่เข้ามาแล้วสั่งให้หยุดก็ไม่ยอมหยุด


4.การจัดระยะห่างระหว่างการวางกำลังของหน่วยทหารกับแนวตั้งรับของม็อบในระยะยิงหวังผลปืน M16 ประมาณ 400 หลา ซึ่งต้องมีกำลังพลเข้าเวรตรวจดูความเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. ทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดเวลา


5.การปรับการวางกำลังและการเคลื่อนที่ภายใต้อาคารและทางเดินเท้าไม่มีการจัดรูปขบวนยืนแถวหน้ากระดานเป็นแผงกลางถนนเพื่อเตรียมตัวผลักดันกับฝูงชนในภารกิจปราบจลาจล เพื่อป้องกันการซุ่มยิงจากด้านหลังผุ้ชุมนุม

6.การดัดแปลงที่วางกำลังเป็นการตั้งรับแบบเร่งด่วนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือถอยร่นด้วยกำบังกระสอบทรายสูงระดับครึ่งเข่าเมื่อต้องนอนราบ หรือสูงระดับศีรษะเมื่อต้องการยืนปฏิบัติการ และมีการวางแนวทหารตั้งรับเป็นชั้นๆตามเส้นทางเคลื่อนที่เข้าหาม็อบ มิใช่เป็นการวางแนวเป็นปึกแผ่นเพียงชั้นเดียว ซึ่งถ้าม็อบมีจำนวนมากกว่าก็สามารถล้อมทหารและเข้าถึงตัวแย่งปืนได้ง่าย


7.ใช้ลักษณะผู้นำหน่วยขนาดเล็กสูงมาก เพราะต้องอดทน ใจเย็น รอเวลา ทนต่อการยั่วยุ การรับควันไฟกลิ่นยางรถยนต์ที่เหม็นรุนแรงตลอดทั้งวันทั้งคืน


8.การใช้สไนเปอร์คุ้มครองการเคลื่อนที่ในการรุกไปข้างหน้า และการป้องกันให้หน่วยเมื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้า หรือเมื่อกองกำลังหยุดนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลาข้ามวันข้ามคืน อีกทั้งต้องรับภารกิจอารักขาผู้บังคับบัญชาระดับสูงอีกด้วย


9.การวางกำลังตามแนวทางเดินเท้าสามารถวางกำลังได้ ยิ่งกระจายกำลังออกไปให้ได้มากยิ่งตกเป็นเป้าหมายคุ้มค่าน้อยลง และไม่ตกเป็นเป้าหมายคุ้มค่าน้อยลง และไม่ตกเป็นเป้าหมายขนาดใหญ่ให้กับกระสุน M79 ของกำลังก่อการร้าย


10.พัฒนารูปแบบการวางจุดตรวจการณ์ข้างหน้า (Out Post) โดยใช้สะพานลอยข้ามถนน มีการปิดฉากม่านดำเสริมด้วยบังเกอร์และกระสอบทราย ทำให้ลดการตรวจการณ์ของการ์ด นปช. และเสริมการป้องกันได้อีกทางหนึ่ง ทั้งสามารถปกปิดการถ่ายรูปจากสื่อมวลชน


11.การปรับกำลังและระดมพลแม่นปืนเท่าที่มีอยู่ของกองทัพบกเข้าประจำพื้นที่ เพื่อต่อต้านการซุ่มยิงของกลุ่ม นปช. ทั้งบนอาคารสูงและพื้นที่สูงข่ม


12.การกำหนดพื้นที่อันตรายเป็นฉนวนกั้นกลางระหว่างแนวระยะยิงหวังผลของหน่วยทหารกับแนวตั้งรับของกลุ่ม นปช. เป็นยุทธวิธีประการหนึ่ง โดยมีการประกาศเขตการยิงด้วยกระสุนจริง (Live Firing Zone)


13.การกำหนดเขตห้ามบินเป็นแผนยุทธการที่สนับสนุนงานยุทธวิธี ทำให้มั่นใจว่าการรบเหนือน่านฟ้าพื้นที่ราชประสงค์ฝ่ายเราสามารถครองความได้เปรียบทางอาศัยอยู่


14.ยุทธวิธียอมเสียพื้นที่แล้วถอยกลับมาตั้งรับในพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่า ห่างจากระยะยิงของพลซุ่มยิงของกลุ่ม นปช. เห็นได้จากความล้มเหลวในการกระชับวงล้อมในพื้นที่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ถือว่าเป็นยุทธวิธีที่ชาญฉลาด ด้วยการไม่บุกตะลุยเข้าสู่คิลลิ่งโซน (Killing Zone)


15.การถอนกำลังหรือการวางกำลังกระจายตัวมากขึ้นภายหลังค่ำมืด ถือว่าเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการไม่ตกเข้าไปในกับดักที่เป็นเป้าหมายคุ้มค่า


16.การใช้หน่วยรถหุ้มเกราะเมื่อจำเป็นและต้องการผลแตกหักในการสลายการชุมนุมเท่านั้น จึงทำให้ไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวของยานเกราะก่อนวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553


17.การใข้รถหุ้มเกราะกับพลรบเคลื่อนที่ตามกันนั้นเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ได้แปรเปลี่ยนไปเพื่อเป็นการข่มขวัญการ์ด นปช. เพราะลดการสูญเสียพลรบจากอาวุธ M79 จรวด RPG หรือระเบิดเคโมร์ตามแนวตั้งรับ นปช.


18.การสนธิกำลังอย่างลงตัวของชุดรบที่ประกอบด้วยชุดสไนเปอร์ ขบวนรถหุ้มเกราะ พลรบหลังรถหุ้มเกราะชุดผจญเพลิง ชุดกู้ระเบิด (EOD) เป็นที่ประสบความสำเร็จที่น่าสนใจ


19.การกำหนดระยะเวลาการปฏิบัติการที่ส่งผลให้มีเสรีในการปฏิบัติทางยุทธวิธี เช่น การเริ่มปฏิบัติในตอนเช้าตรู่ ทำให้มีเวลามากพอสำหรับกำลังในการรุกเข้าเคลียร์พื้นที่ แต่การรบในเวลากลางคืนทำให้การมองเห็นจำกัด อาจตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังก่อการร้ายที่แอบแฝง และที่สำคัญไม่มียิงฝ่ายเดียวกันหรือยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์


20.การใช้หน่วย ปจว. ทางยุทธวิธีเพื่อทำความเข้าใจก่อนการบุกสลายการชุมนุมถือว่าเป็นหลักสากลประการหนึ่ง


21.การใช้หน่วยในพื้นที่วางกำลังส่วนล่างหน้าไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม เพื่อตรึงกำลังป้องกันมิให้มวลชนคนเสื้อแดงยกกำลังเข้าช่วยที่ราชประสงค์ ต่อจากนั้นจึงใช้กำลังหลักเข้าสลายกลุ่มชุมนุม


22.การยอมถอนตัวของกำลังทหารออกจากพื้นที่ราชประสงค์ภายหลังถูกโจมตีด้วย M79 ในช่วงตอนเย็นตรงพื้นที่แยกสารสิน ถอยกลับไปยังพื้นที่ปลอดภัยถนนสีลม ถือว่าเป็นการตัดสินใจในระดับยุทธวิธีที่ถูกต้อง เพื่อลดการสูญเสียโดยไม่จำเป็น


23.มีการซักซ้อมแผนและซักซ้อมการปฏิบัติทั้งหมด ทั้งในพื้นที่ตั้งหน่วยและที่ ร.11 รอ. เป็นการสร้างหลักประกันความมั่นใจสู่ความสำเร็จ และเป็นการลดเกณฑ์เสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 317 วันที่ 2 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 หน้า 5 - 8 คอลัมน์ ข่าวไรพรมแดน โดย วารสารเสนาธิปัตย์www.cdsd-rta.net



http://redusala.blogspot.com

ไพร่อินเตอร์ วอน VOT Eสานต่อเจตนาวีรชนให้สมบูรณ์
3ก.ค. เปลี่ยนประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง


VOTEสานต่อเจตนารมณ์วีรชน-ชาวไทยในอเมริกาได้ออกมาจัดกิจกรรมรณรงค์ในย่านไทยทาวน์ นครแอลเอ โดยใส่หน้ากากผีเรียกร้องให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้สานต่อเจตนารมณ์วีรชนผู้ถูกสังหารในการเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2553 ที่ต้องการให้บังเกิดประชาธิปไตยที่แท้จริง ยุติการครอบงำแทรกแซงของอำมาตย์ชนชั้นนำ พร้อมทั้งเรียกร้องนานาชาติกดดันให้พลังพิเศษต้องเคารพผลการเลือกตั้งครั้งนี้

โดยทีมข่าวไทยอีนิวส์
3 กรกฎาคม 2554

ไพร่อินเตอร์รณรงค์เลือกตั้งสานเจตนารมณ์วีรชนไทย+เตรียมฉลองชัยคึกคัก

การเลือกตั้งใหญ่ 3 กรกฎาคมนอกจากได้รับความสนใจจากคนไทยในประเทศแล้ว พี่น้องชาวไทยที่พำนักในต่างประเทศก็ตื่นตัวเข้าร่วมอย่างคึกคักทั่วทุกมุมโลก ที่อเมริกาและในยุโรป ถึงขนาดมีการรวมตัวกันเพื่อลุ้นผลการเลือกตั้ง และเตรียมฉลองชัยชนะต่อพรรคการเมืองที่พวกเขาสนับสนุน

ขณะที่ชาวไทยในนครลอสแองเจลีส สหรัฐอเมริกาได้รวมตัวกันรณรงค์ให้คนไทยออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อสืบสานต่อเจตนารมณ์วีรชนที่พลีชีพในการเรียกร้องประชาธิปไตยเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553ให้สมบูรณ์
มีการรวมตัวกันในย่านไทยทาวน์ของแอลเอเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมตามเวลาท้องถิ่น โดยได้ยกป้ายข้อความเชิญชวนคนไทยออกมาเลือกตั้งโดยสืบสานเจตนารมณ์วีรชน ยุติการแทรกแซงทางการเมืองของอำมาตย์ ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน และนานาชาติต้องกดดันให้ชนชั้นนำของไทยยอมรับการชี้ขาดของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้

คนเสื้อแดงอเมริกา(RED USA)แจ้งว่า จะจัดกิจกรรมรวมตัวกันหลายรัฐในเวลาเที่ยงวันของประเทศไทยเป็นต้นไป เพื่อสังเกตการณ์การเลือกตั้งข้ามทวีปครั้งนี้ หากพบเรื่องไม่ชอบมาพากล ก็จะได้ประสานงานต่อนานาชาติให้กดดัน และจะอยู่ยาวรอลุ้นผลการเลือกตั้ง และได้เตรียมการฉลองชัยชนะของพรรคการเมืองที่พวกเขาสนับสนุนในหลายเมือง หลายมลรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา โดยเตรียมแชมเปญไว้พร้อมแล้ว เพราะมั่นใจว่าพรรคที่ให้การสนับสนุนจะชนะการเลือกตั้ง แต่หากถูกบิดเจตนารมณ์จากผู้มีอำนาจและสมุนบริวาร ก็พร้อมเคลื่อนไหวใหญ่ในระดับนานาชาติร่วมกดดันต้องเคารพมติของผู้ออกเสียงชาวไทยต่อไป

โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมร่วมกับไพร่ยุโรปลุ้นผลเลือกตั้ง เตรียมเปิดแชมเปญ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ นปช.สหภาพยุโรป (UDD THAI OF EUROPE-นปช.อียู)แจ้งว่า ในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคมนี้ คนเสื้อแดงในสหภาพยุโรปมีนัดกันที่ Brandenburger Tor ประเทศเยอรมนี ในเวลา 12.00น.เป็นต้นไป โดยได้รับเกียรติจากทนายความนปช. Mr. Robert Amsterdam เข้าร่วมกิจกรรมลุ้นผลการนับคะแนนและฉลองชัยชนะกับพี่น้องเสื้อแดงในยุโรป
UDD THAI OF EUROPE (นปช.อียู)จึงขอเชิญชวนพี่น้องเสื้อแดงทุกท่านในประเทศเยอรมนีและประเทศใกล้เคียงร่วมแสดงพลังประกาศชัยชนะของประชาชนครั้งสำคัญในประเทศไทย พร้อมทั้งประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า ฝ่ายผู้มีอำนาจในประเทศไทยต้องยอมรับผลการเลือกตั้งอันเป็นเสียงส่วนใหญ่และเป็นพลังบริสุทธิ์ของประชาชนซึ่งต้องการให้พรรคการเมืองที่ยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยได้เข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไป โดยปราศจากเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นที่จะก่อให้เกิดการปฎิวัติ-รัฐประหาร

แดงนานาชาติ4ทวีปเคลื่อนไหวคึกคัก

ทั้งนี้มีความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในต่างประเทศต่อการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม เป็นไปอย่างคึกคัก ทั้งการยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการกกต.ที่เดินทางไปดูงานในอเมริกา การสังเกตการณ์การเลือกตั้งในออสเตรเลีย กิจกรรมรณรงค์ไพร่อินเตอร์ออกมาเลือกพรรคที่พวกเขาสนับสนุน และแกนนำจากญี่ปุ่นบุกถิ่นปชป.ที่ตรัง รวมไปถึงการเรียกร้องให้นานาชาติสังเกตโกงเลือกตั้ง และกดดันให้พลังพิเศษยอมรับมติของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้
ดึงนานาชาติกดดัน-(บน)นปช.สหภาพยุโรปยื่นหนังสือต่อประธานรัฐสภายุโรปเข้าสังเกตโกงเลือกตั้ง 3 กรกฎา ซึ่งรัฐสภายุโรปพร้อมร่วมสังเกตการณ์ตามคำเชิญแล้ว (ล่าง)อาจารย์จรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำนปช.ที่อยู่ระหว่างลี้ภัยในฝรั่งเศสพร้อมกับคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง เข้าพบมองซิเออร์ฟรองซัว ซิมเมอเรย์ เอกอัครรัฐทูตด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลฝรั่งเศส เรียกร้องนานาชาติจับตาการโกงเลือกตั้ง และการฝืนเจตนารมณ์มติมหาชนของพลังพิเศษ กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย

จรัลพบทูตสิทธิมนุษยชนฝรั่งเศสหนุนขบวนประชาธิปไตยไทย-เคารพผลเลือกตั้ง
เมื่อไวๆนี้ อาจารย์จรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และแกนนำนปช.ที่อยู่ระหว่างลี้ภัยในฝรั่งเศสพร้อมกับคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง ได้เข้าพบM.Francois Zimeray l'Ambassadeur pour les droits de l'homme (มองซิเออร์ฟรองซัว ซิมเมอเรย์ เอกอัครรัฐทูตด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลฝรั่งเศส) เพื่อให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์การเลือกตั้งทั่วไปใน 3 กรกฎาคม ว่าประชาชนไทยมีตวามตื่นตัวทางการเมือง และสิทธิเลือกตั้งอย่างมาก มีพรรคการเมือง 40 พรรคส่งผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้ง ส่วนใหญ่จะชูนโยบายเศรษฐกิจ การปรองดองชาติ และความสงบสุขของสังคม

อาจารย์จรัลได้ให้ข้อมูลว่า พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นคู่แข่งขันหลักเพิ่มประเด็นการปราบปราม การสังหารหมู่เมื่อเดินเมษายนและพฤษภาคม ปีที่แล้ว แนวโน้มผลการเลือกตั้ง พรรคที่ประชาชนชาวไทยสนับสนุนจะชนะอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มปกครองที่มีอำนาจแท้จริงๆ คงจะพยายามขัดขวางการตั้งรัฐบาล อันเป็นการละเมิดสิทธิกำหนดใจตนเองของประชาชน และหลักการประชาธิปไตย ขอให้เอกอัครรัฐทูตสนใจติดตามและมีท่าทีสนับสนุนการตัดสินใจของประชาชนไทยในวันที่๓ กรกฎาคม ด้วย

ประเด็นที่ 2 และ 3 เกี่ยวกับการสังหารหมู่ 2553 เรื่องแรก จนถึงวันนี้ การสอบสวนและดำกเนินคดีกับผู้สั่งและผู้กระทำการเข่นฆ่าประชาชนยังไม่คืบหน้า แม้ทางแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)จะฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศมากว่า 3 เดือนแล้ว

"เราขอเรียกร้องให้ฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศเคารพสิทธิมนุษยชนสนใจคดีประเทศไทยด้วย มิใช่แต่ลิเบีย ซีเรีย และเยเมน"อาจารย์จรัลกล่าวกับเอกอัครรัฐทูตด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลฝรั่งเศส ทั้งนี้จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวในปารีสที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ในคราวนี้

ประเด็นสุดท้าย การใช้กฎหมายดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มาจำกัดเสรีภาพทางความคิด จับกุมคุมขังนักประชาธิปไตย และทำลายฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมือง ซึ่งหนักขึ้นทุกวัน

แม้ทั้ง 3 ประเด็นนี้จะเป็นเรื่องภายในประเทศไทย แต่เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขัดต่อปฏิญญาสากล กติกา และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ของสหประชาติ ซึ่งบรรดารัฐสมาชิกรับรอง ให้สัตยาบัณว่าจะร่วมกันส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของพลเมืองทุกคนบนพื้นภิภพ จึงหวังว่า ประเทศฝรั่งเศสจะสนับสนุนความพยายามของนปช. หรือของบุคคลและองค์การสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ล้ว
http://redusala.blogspot.com

พท.ชนะฟ้าถล่ม313ที่นั่งฉลองชัยทั่วไทยทั่วโลก
ผล EXIT POLL -หลังปิดหีบเลือกตั้งในเวลา 15.00น.ของสวนดุสิตโพลล์ ระบุว่า พรรคเพื่อไทยได้ 313 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ 152 ที่นั่ง ภูมิใจไทย 13 ที่นั่ง ชาติไทยพัฒนา 10 ที่นั่ง ชูวิทย์ 3 ที่นั่ง

สำหรับจำนวนส.ส.ในเขตกรุงเทพฯ 33 ที่นั่ง เพื่อไทยได้ 28 ที่นั่ง ประช่าธิปัตย์ 5 ที่นั่ง

ขณะที่ABAC POLL ให้เพื่อไทยได้ 299 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ 132 ที่นั่ง ภูมิใจไทย 28 ที่นั่ง ชาติพัฒนา 14 ที่นั่ง ชาติไทยพัฒนา 12 ที่นั่ง พลังชล 6 ที่นั่ง ชูวิทย์ 4 ที่นั่ง

ม.ศรีปทุม เปิดเผยผลEXIT POLLต่างออกไป คือเพื่อไทย 279 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ 146 ที่นั่ง

หากแม้แต่ออกมาตามโพลล์ของม.ศรีปทุมก็ชนะเกินกึ่งหนึ่งคือ 250 ที่นั่ง

ส่วนNIDA POLL ให้เพื่อไทยได้ระหว่าง 235-275 ที่นั่ง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวต่อสื่อมวลชนที่กรูกันรุมล้อมว่าอยากรอดูผลการเลือกตั้งที่ชัดเจนก่อน ส่วนโฆษกพรรคประชาธปิตย์แถลงขอบคุณหลังทราบผลEIT POLL แต่อยากรอผลที่เป็นทางการก่อน ส่วนพรรคภูมิใจไทยแจ้งของดแถลงข่าว จากเดิมนัดแถลงข่าวหลังปิดหีบ (ภาพ:แฟ้มภาพ)

จุดพลุฉลอง-คนเสื้อแดงนัดหมายฉลองชัยทั่วทั้งโลก โดยในต่างประเทศมีนัดหมายรวมพลลุ้นผลเลือกตั้งนับจากเวลาเที่ยงวันที่หลายรัฐในอเมริกา ที่ยุโรปรวมตัวกันที่เยอรมนี ส่วนในไทยมีนัดหมายกันที่ทำการพรรคเพื่อไทย และเตรียมฉลองที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในช่วงค่ำ (ภาพ:แฟ้มภาพไทยอีนิวส์)
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
3 กรกฎาคม 2554

We Shall Overcome




We shall overcome, we shall overcome
We shall overcome someday
Oh deep in my heart, I do believe
That we shall overcome someday

We'll walk hand in hand, we'll walk hand in hand
We'll walk hand in hand someday
Oh deep in my heart, I do believe
That we shall overcome someday

We shall live in peace, we shall live in peace
We shall live in peace someday
Oh deep in my heart, I do believe
That we shall overcome someday

We shall brothers be, we shall brothers be
We shall brothers be someday
Oh deep in my heart, I do believe
That we shall overcome someday

The truth shall make us free, truth shall make us free
The truth shall make us free someday
Oh deep in my heart, I do believe
That we shall overcome someday

We are not afraid, we are not afraid
We are not afraid today
Oh deep in my heart, I do believe
That we shall overcome someday

*********
เราจะฝ่าข้ามไป

พากษ์ไทยโดย กวีศรีประชา 

เราจะฝ่าข้ามไปไม่ท้อแท้
เราฝ่าข้ามพ้นแน่ สักวันหนึ่ง
เชื่อมั่นโดยรู้สึกอันลึกซึ้ง
เราจักข้ามไปถึงโดยทั่วกัน

เดินกุมมือกันมั่นไม่หวั่นไหว
เรากุมมือกันไปไม่ไหวหวั่น
ลึกลงในหัวใจไม่กี่วัน
เราจะฝ่าข้ามมันอย่างแน่นอน

เราจะพบคืนวันสันติภาพ
ภาพสันติฉายฉาบรังสีสะท้อน
หัวใจเชื่อมั่นว่าภราดร
สันติภาพสถาพรจะเป็นจริง

เราไม่กลัวอะไรและไม่หนี
ไม่กลัวแล้ววันนี้ในทุกสิ่ง
ทั้งเชื่อมั่นสุดใจไม่ทอดทิ้ง
เดินและวิ่งรุดหน้าฝ่าข้ามไป

หมดทั้งโลกกว้างใหญ่อันไพศาล
โจนทะยานสง่างามข้ามไปได้
ต้องมีสักวันหนึ่งถึงเส้นชัย
เราจะฝ่าข้ามไปได้แน่นอน
http://redusala.blogspot.com

เก็บตกรายงานการเลือกตั้ง
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
3 กรกฎาคม 2554

เก็บตกภาพและรายงานข่าวส่วนหนึ่งที่ประชาชนบนอัพโหลดขึ้นเน็ตที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ในการตุกติก และภาพส่วนหนึ่งของบัตรเสีย

"หัตถา" รายงานจากไทยฟรีนิวส์ "เทคนิคขานผิด" จุดลงคะแนนเขต 5หน่วยเลือกตั้งที่ 11 จังหวัดปทุมธานี



ภาพตัวอย่างบัตรเสียจากการกาที่โลโก้พรรคเพื่อไทย ภาพโดยคุณ Sarayut 



บ.ปากช่อง ต.กกตูม. ดงหลวง มุกดาหาร







http://redusala.blogspot.com

นี่หรือทหารไทย ที่อ้างปกป้องสถาบัน

ตำรวจ สภ.โนนไทยจับ 5 ชายฉกรรจ์ เป็นทหารสังกัดกองทัพบก 4 นาย พร้อมอาวุธปืน หลังก่อเหตุขับรถกระบะตระเวนข่มขู่หัวคะแนนผู้สมัครส.ส.เพื่อไทย หากไม่ช่วยผู้สมัครส.ส.หมายเลข 2 ก็ห้ามยุ่งการเมือง พบโพยรายชื่อนายทหารในรถด้วย...

เมื่อเวลา 17.00 น. 28 มิ.ย. ที่สภ.โนนไทย จ.นครราชสีมา นายสมศักดิ์ ปริสุทโธเหมทานนท์ รองผวจ.นครราชสีมา, พ.ต.อ.วชิรวิชญ์ กฤษณ์ฤทธิศักย์ รอง ผบก.ภ.จ.นครราชสีมา, พ.ต.อ.สมชาย ภูการุณย์ ผกก.สภ.โนนไทย และพ.ต.ท.สุรชัย ผดุงเจริญ รอง ผกก.สส. ร่วมกันสอบปากคำนายชยธร สารกะวณิชอายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 177 ถ.ลาดพร้าว ซ.191 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ, ร.ต.มนตรี เขี้ยวทุ่งน้อย อายุ 49 ปี, จ.ส.อ.สุจินต์ พันชนะ อายุ 42 ปี, จ.ส.ต.จรินทร์ หาญธัญกรรมอายุ 40 ปี และจ.ส.อ.จรัส ริตา อายุ 42 ปี ตรวจสอบทั้ง 4 คนพบบัตรข้าราชการสังกัดกองทัพบก เป็นผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุข่มขู่ผู้นำชุมชนและหัวคะแนนของผู้สมัครส.ส.พรรคเพื่อไทย ในหลายอำเภอของนครราชสีมา

ในการจับกุมครั้งนี้ ตำรวจยึดของกลางหลายรายการ ประกอบด้วยอาวุธปืน ขนาด 9 มม. 2 กระบอก พร้อมกระสุนปืนบรรจุอยู่ในแม็กกาซีน 30 นัด, วิทยุสื่อสารของราชการ 1 เครื่อง, มีดพก 1 เล่ม, มีดคัตเตอร์ 1 เล่ม, กล้องส่องทางไกล 1 อัน, โทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง, ตะปูเรือใบ 1 ถุงใหญ่ และตะปูสังกะสีอีก 1 ถุงใหญ่ นอกจากนี้ยังพบรายชื่อซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการทหารบก ยศตั้งแต่พล.อ.ลงมาถึงจ.ส.อ. และมีรายชื่อผู้สมัครส.ส.พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ที่ลงสมัครในพื้นที่นครราชสีมาหลายเขตเลือกตั้ง พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งของกลางทั้งหมดตรวจค้นพบภายในตัวผู้ต้องหาบางคน และบางรายการซุกซ่อนอยู่ภายในรถกระบะ สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมดนี้ ตำรวจจับกุมได้ขณะตั้งด่านสกัดบริเวณตู้ยามมะค่า ต.มะค่า อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา ขณะนั่งมาในรถกระบะ ยี่ห้อฟอร์ด สีบรอนซ์เทา ทะเบียน ผค 5453 นครราชสีมา เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา


ด้านนายวุฒิพล พนมรัตนศักดิ์ อายุ 58 ปี อดีตนายกอบต.กระทุ่มลาย อ.ประทาย จ.นครราชสีมา ผู้เสียหายที่ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวข่มขู่ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 5 คน ขับรถกระบะไม่ทราบรุ่นและทะเบียน มาหาที่บ้านพัก ซึ่งกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวอ้างว่าเป็นตำรวจสันติบาล มาขอให้ตนซึ่งสนับสนุนผู้สมัครส.ส.พรรคเพื่อไทย เปลี่ยนมาสนับสนุนผู้สมัครหมายเลข 2 พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน หรือหากไม่ช่วยก็ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งหลังข่มขู่เสร็จ ทั้งหมดได้ขับรถหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ตนเกรงว่าจะเกิดอันตราย จึงเดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.ประทาย ไว้เป็นหลักฐาน จนกระทั่งทราบว่า ตำรวจ สภ.โนนไทย สามารถจับกุมกลุ่มดังกล่าวได้แล้ว

ขณะที่นายวิรัช รัตนเศรษฐ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวภายหลังเดินทางมาตรวจสอบร่วมกับตำรวจว่า เมื่อช่วง 2-3วันที่ผ่านมา ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยในเขตนครราชสีมาหลายพื้นที่ อาทิ อ.ประทาย อ.ชุมพวง อ.ลำทะเมนชัย อ.เมืองยาง และอ.โนนไทย ได้ร้องเรียนผ่านตนว่า ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ขับรถกระบะมาข่มขู่ ซึ่งจากการตรวจสอบ ตนมั่นใจว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารสังกัดกองทัพบก มีพฤติกรรมข่มขู่ผู้สนับสนุน โดยเฉพาะผู้สนับสนุนของพรรคเพื่อไทย โดยสังเกตจากบัญชีรายชื่อที่ค้นพบในตัวของผู้ต้องหา ที่มีการระบุนายทหารยศพล.อ.และพล.ต. ในจำนวนนี้มีนายทหาร ยศพล.ต.นายหนึ่งที่มีนามสกุล "สุวรรณฉวี" ปรากฏอยู่ในรายชื่อดังกล่าว พร้อมทั้งแยกเป็นสายปฏิบัติการตามพื้นที่ต่างๆ ของนครราชสีมา อาทิ ส่วนปฏิบัติการชุมพวง ส่วนปฏิบัติการประทาย และส่วนปฏิบัติการจักราช นอกจากนี้ยังมีรายชื่อของผู้สมัครส.ส. พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน หลายเขตในนครราชสีมา รวมอยู่ด้วย ซึ่งตนอยากถามไปยังนพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ว่ามีส่วนรู้เห็นกับขบวนการดังกล่าวหรือ ไม่ หรือที่นำเสนอนโยบายปรองดองสมานฉันท์ เป็นเพียงนโยบายหลอกลวงสร้างภาพเท่านั้น ซึ่งตนจะนำข้อมูลทั้งหมดไปบอกให้ประชาชนบนเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ที่จะจัดขึ้นที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา เย็นวันพรุ่งนี้ เพื่อประชาชนจะได้รู้ความจริงว่า พรรคเพื่อไทยถูกกลั่นแกล้งเพียงใด

ด้านพ.ต.อ.วชิรวิชญ์ กล่าวว่า หลังได้รับการร้องเรียนจากผู้นำชุมชนหลายพื้นที่ว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์ขับรถกระบะไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เข้าไปข่มขู่ไม่ให้ช่วยผู้สมัครส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยข่มขู่ให้ไปช่วยสนับสนุนผู้สมัครอีกพรรคหนึ่งแทน ตนได้สั่งการให้ทุกสถานีออกหาข่าวและติดตามจับกุมกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าว จนสามารถจับกุมได้ในวันนี้ แต่มีบางส่วนที่ยังอยู่ในระหว่างการติดตามตัวอยู่ และจากการสอบสวนเบื้องต้น กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้ง 5 คนไม่ยอมให้การที่เป็นประโยชน์ต่อคดีเท่าใด โดยอ้างว่าเพิ่งเดินทางมาจากกรุงเทพฯเพื่อจะไปเที่ยวขอนแก่น ส่วนอาวุธปืนที่พบ ก็เป็นปืนของราชการ ไม่เคยไปก่อเหตุข่มขู่ใครตามที่ตำรวจกล่าวหา จะขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น ส่วนรายชื่อนายทหารที่พบ ก็ไม่ยอมให้รายละเอียด อ้างแต่ว่าเป็นกระดาษที่ตก อยู่ในรถ ซึ่งขอยืมมาจากเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในอ.บัวใหญ่ แต่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากตรวจสอบพบหลักฐานที่เชื่อมโยงกันหลายอย่าง ประกอบกับมีพยานบุคคลซึ่งเคยถูกข่มขู่ จำหน้าได้ และมาชี้ตัวเรียบร้อย เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต นำส่งพนักงานสอบสวนสภ.โนนไทย ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ส่วนข้อหาข่มขู่คงจะต้องรอให้ผู้เสียหายมาชี้ตัวและแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


http://redusala.blogspot.com