วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ความสะเทือนใจของกองทัพ
ท่ามกลางสถานการณ์เลือกตั้งที่คลุมเครือ


รายงาน(วันสุข)
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 6 ฉบับที่ 308 ประจำวัน จันทร์ ที่ 2 พฤษภาคม 2011
         โดย นารายณ์ พรหมพิษณุ
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10550
         คงไม่ใช่เรื่องปรกติธรรมดาที่อารมณ์ของ “หลายบิ๊กในกองทัพ” บังเกิดความสะเทือนใจที่รุนแรง โดยอ้างอิงจากการปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงในการชุมนุมเมื่อ 10 เมษายน 2554 เป็นความสะเทือนใจกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ต้องให้นายทหารพระธรรมนูญเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับคำพูดซึ่งเห็นว่าล่อแหลมและหมิ่นเหม่ต่อข้อหาจาบจ้วงสถาบัน?

ในการเอาผิดตามข้อผูกมัดของกฎหมายต่อการหมิ่นเบื้องสูงหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งฝ่ายของแกนนำเสื้อแดงก็ชี้แจงตอบโต้ว่าเป็นการพูดที่ไม่ได้หมิ่นเบื้องสูงแต่อย่างใด แต่เป็นการปราศรัยเพื่อกล่าวเตือนมิให้มีการนำสถาบันมากล่าวอ้างเพื่อผลทำลายล้างทางการเมือง สาระทั้งหมดจะจริงเท็จหรือถูกผิดอย่างไร สำหรับฝ่ายที่จ้อง “งาบ” ก็คงต้องตีความให้ถ้อยคำปราศรัยเหล่านั้นถือเป็นการกระทำผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวมทั้งมาตรา 116 อย่างน้อยที่สุดยังสามารถใช้เป็นข้ออ้างอิงเพื่อยื่นถอนประกันแกนนำ นปช. ได้อย่างมีน้ำหนัก


นี่เป็นการล็อกทางข้อกฎหมายเอาไว้แน่นหนาทีเดียว แม้ศาลไม่ได้กำหนดมาตรา 112 เอาไว้ในเงื่อนไขประกันตัว แต่ถ้าเกิดจำเลยหมิ่นสถาบันตามการตีความหมายเข้าจริงๆ ก็คงหลีกไม่พ้นต่อการกระทำอีกข้อหา ซึ่งเป็นการยั่วยุและปลุกปั่นให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย...จึงมีความเป็นไปได้ที่แกนนำเสื้อแดงเหล่านี้จะมีโอกาสถูกถอนประกัน หากกระทำอย่างนั้นได้ก็จะมีโอกาสลดทอนศักยภาพบนเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้ แล้วยังติดตามบังเกิดผลอีกหลายอย่างต่อการผันแปรเกมนี้?


เรื่องความผิดของแกนนำเสื้อแดงที่กล่าวไปพาดพิงในบริบทของกองทหาร ซึ่งมีบทบาทในเหตุการณ์นองเลือดเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 แม้จะเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับกรณีนี้ยังสามารถถูกแปรให้กลายเป็นอีกเงื่อนไขที่ขยายผลให้กลายเป็นอีกอาวุธในสนามการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้น ดังจะเห็นว่า ทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตลอดจนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บางคนก็เห็นด้วยที่จะมีมาตรการป้องกันการโจมตีสถาบัน หรือแอบอ้างต่างๆต่อการหาเสียงของพรรคการเมือง...บางแหล่งข่าวยังระบุไปถึงบทบาทของการทำผิดมาตรา 112 ที่จะถูกผลักดันไปถึงขั้นยุบพรรคการเมือง เพื่อเอาผิดตามกระบวนการทางกฎหมาย?


เมื่อมองไปเช่นนี้แล้วการหาความผิดจากแกนนำเสื้อแดงบนเวทีปราศรัยเมื่อ 10 เมษายน นอกจากอาจเกิดกรณีถอนประกัน สิ่งเหล่านี้ยังสามารถโยงเข้ากับสถานการณ์ทางการเมืองได้อย่างกลมกลืนในลักษณะ “Spin techniques” ทำการปั่นกระแสสูงเข้าสู่การรับรู้ของสาธารณชน กลายเป็นวาทกรรมที่ผลิตย้ำอีกครั้งใหญ่ถึงความเกี่ยวเนื่องต่อกรณีข้อครหา “แดงล้มเจ้า” ซึ่งก็เป็นการไม่ยากนักที่จะถูกขยายผลนำไปสู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ได้หลายประการ?


เมื่ออดีตที่ผ่านมาการกล่าวหาซื้อสิทธิขายเสียงก็มีเกิดขึ้น ทั้งรายการซื้อจริงและกรณีของการจัดฉากสร้างพยานหลักฐานเพื่อทำลายคู่แข่งขัน ดังนั้น โอกาสการใช้ประโยชน์จากมาตรา 112 ในลักษณะจัดฉากเพื่อป้ายความผิดก็ไม่มีความซับซ้อน หากจะเกิดการวางแผนเพื่อวางยาสร้างให้เกมเลือกตั้งกลายเป็นหมัน ทำพยานหลักฐานปั้นเท็จขึ้นมาประกอบ ซึ่งอาจจะง่ายมากกว่าหลักฐานเทียมในการกล่าวหาเรื่องซื้อสิทธิขายเสียงด้วยซ้ำไป...มองไปเช่นนี้แล้วกรณีความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพย่อมบังเกิดขึ้นได้ในสนามแข่งขันของการเลือกตั้ง อาจเป็นทั้งกรณีจริงหรือเท็จ ซึ่งคงจะพิสูจน์ให้จบสิ้นในเวลารวดเร็วไม่ได้ แต่เกมเลือกตั้งก็จะถูกเบี่ยงเบนไปแล้ว เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นได้!


ทุกอย่างไม่ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือถูกสร้างให้เป็นไปเช่นนั้น ดูเหมือนจะมาถูกเวลาและสอดคล้องกับสถานการณ์ของการเลือกตั้งทั้งสิ้น นายทหารใหญ่หลายคนเริ่มขยับตัวผ่านสื่อ “แสดงอาการสะเทือนใจที่แดงถูกตั้งข้อหากล่าววาทะจาบจ้วงเบื้องสูง แล้วย้ำถึงความสะเทือนใจที่ไม่ได้ไปเอาใจใครเป็นพิเศษ?”


ก็น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่ความสะเทือนใจของทหารใหญ่บางคนเป็นจังหวะเดียวกับการถอนสะอื้นของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเห็นด้วยในการเอาจริงเอาจังต่อผู้กระทำผิดตามกระบวนการของกฎหมาย “หมิ่นสถาบัน” ความสะเทือนใจทั้งหมดยังสอดคล้องไปกับการเคลื่อนไหวของดีเอสไอ และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่ขึงขังต่อกิจกรรมยื่นขอถอนประกันบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง แล้วความสะเทือนใจเหล่านี้ยังคล้ายกับถูกขานรับจากบางเสียงใน กกต. โดยเปรยถึงมาตรการที่จะจับผิดการพูดจาปราศรัยของผู้หาเสียงเลือกตั้งในประเด็นสถาบันเบื้องสูง...ทุกอย่างลงตัวได้พอเหมาะในเวลาเช่นนี้?
ความสอดคล้องเหล่านี้ยังมองเห็นจากกรณีที่นายสุเทพกล่าวถึงประเด็นที่มีการหารือกับ กกต. เพื่อให้ออกระเบียบไม่ให้มีพรรคการเมืองไปหาเสียงโดยอ้างสถาบัน ประเด็นนี้ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ แล้วเรื่องจริงคงไม่ใช่เฉพาะมิติปัญหาของคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยเท่านั้น เพราะมีบางพรรคการเมืองได้จัดพิมพ์เอกสารขึ้นมา แล้วบอกว่าได้รับพระบรมราชานุญาต สำนักราชเลขาธิการก็ตอบหนังสือปฏิเสธออกมา ข้อมูลเหล่านี้ได้รับการเปิดเผยจากนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา จึงมีความเป็นไปได้ที่กรณีตัวอย่างเหล่านี้ทำให้ทาง กกต. เกิดความตระหนักเกี่ยวเนื่องกับสถาบัน?


ประเด็นของสถาบันกับโฉมหน้าการเลือกตั้งดูจะส่งสัญญาณควันไฟผิดปรกติมากยิ่งขึ้น เมื่อ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ยื่นใบลาออกจากพรรคเพื่อไทย โดยแหล่งข่าวระบุถึงเสียงเตือนที่จะเล่นหนักกับขบวนการเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ท่าทีของ “บิ๊กจิ๋ว” คงไม่ใช่อะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ ชั่วโมงบินระดับนี้จึงไหวตัวเป็นธรรมดา เพราะเริ่มรับรู้ถึงสัญญาณ “ความอยากจะเล่นแรง”


ทุกบรรดาความเคลื่อนไหวจึงกลายเป็น “เรื่องเดียวกันโดยอัตโนมัติ” แม้กระทั่งบทบาทของทหารที่เริ่มทยอยตบเท้าขู่พวกหมิ่นสถาบัน สัญญาณความแรงนั้นก็ทำให้หลายคนคิดไปมากถึง “การสร้างเงื่อนไขที่จะไม่ให้มีการเลือกตั้ง” มุมมองเช่นนี้คงเป็นอีกมุมที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด


แต่สำหรับความเป็นไปได้แล้วมันคงไม่มีน้ำหนักไปถึงขั้นใช้เป็นข้ออ้างเพื่อล้มกระดานหมากรุกทางการเมืองกันด้วยรถถังอย่างทันทีทันใด หากทหารจะเล่นเกมนอกบทคงมีความจำเป็นจะต้องใช้มวลชนสนับสนุนเป็นด่านหน้าเสียก่อน กระแสปลุกเร้า Vote No หรือให้เว้นวรรคประเทศไทยคงจำเป็นต้องขยายตัวกว่านี้อีกมากจึงจะแสดงบทบาทได้ ซึ่งคงจำเป็นต้องติดตามบทบาทของการเมืองข้างถนนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง?


อย่างไรก็ตาม หาก กกต. ไปซีเรียสเอาจริงเอาจังต่อประเด็นการพูดหาเสียงหมิ่นสถาบัน หรือบางฝ่ายเป็นการแอบอ้าง โดยความจริงแล้วมาตรา 112 น่าจะเพียงพอต่อการเอาความผิด แต่ถ้าไปออกระเบียบอีกอาจทำให้เกิดความเข้าใจไขว้เขวกันได้ระหว่างประเด็นความผิดต่อสถาบันกับประเด็นความผิดนี้ที่จะถูกโยงและซ้อนไปใช้ประโยชน์ในอีกระดับหนึ่งสำหรับการหาเสียงเลือกตั้ง


ข้อนี้หมายถึงว่าพวกที่สมัครผู้แทนฯย่อมจะต้องปิดปากตัวเองสนิท ไม่ว่าเป็นการสื่อสารในลักษณะใดๆเกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูง แต่ถามว่าหากเกิดมีกลุ่มเคลื่อนไหวนอกระบบการเลือกตั้งที่รับใช้บางพรรคการเมือง ได้ไปใช้ประเด็นสถาบันหาเสียงสนับสนุนและโจมตีอีกฝ่าย เป็นไปได้สำหรับยุทธการวาทกรรมแดงล้มเจ้าที่จะถูกใช้ลุยในภาคสนามอาจถูกถือเป็นทีเด็ด เพื่อเผด็จศึกผลของการแพ้-ชนะในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น แม้คนของพรรคประชาธิปัตย์จะปิดปากสนิท ก็ไม่ได้หมายถึงบรรดาตัวช่วยอื่นๆจะพูดแทนไม่ได้ ประเด็นของการอ้างหรือหมิ่นสถาบันยังเป็นวาระน่าจับตามองในผลการเลือกตั้งครั้งนี้ พร้อมกับอาการสะเทือนใจของทหาร?


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 308 

วันที่ 30 เมษายน – 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หน้า 11 
คอลัมน์ คิดทวนเข็มนาฬิกา โดย นารายณ์  พรหมพิษณุ
http://redusala.blogspot.com
ทหารเล่นบทบาทคุกคามประชาธิปไตย!

        รายงาน(วันสุข)
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 6 ฉบับที่ 308 ประจำวัน จันทร์ ที่ 2 พฤษภาคม 2011
         โดย ชายชาติ ชื่นประชา

http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10551
         ทหารในประเทศด้อยพัฒนาอย่างประเทศเรา มักจะแสดงอาการให้สังคมได้รู้สึกสมเพชเวทนาอย่างไม่หยุดหย่อนเลยทีเดียว
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ได้ออกทำงานนอกหน้าที่ พากันตบเท้าแสดงอาการพิพากษาว่ากลุ่มชนบางส่วนในสังคมเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน ทั้งๆที่องค์กรทหารไม่ใช่ศาล ไม่น่าจะไปพิพากษาใครล่วงหน้าได้ แถมยังมีปัญหาถึงความเหมาะสมให้ขบคิดอีกด้วย


การที่ทหารในฐานะองค์กรออกมาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่างๆในช่วงนี้นั้น ถูกหรือผิดแล้วแต่จะใช้เครื่องมือใดมาพิจารณา ถ้ามองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นไปตามบทบาทหน้าที่ที่ชอบอ้างกันอยู่ว่าทหารมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ต้องปกป้องอธิปไตยและรักษาสถาบันแล้ว มองเผินๆก็เหมือนไม่ได้ผิดอะไร


แต่ที่จริงต้องวิเคราะห์ไปถึงสถานภาพและบทบาทขององค์กรทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีที่เลยไปไกลถึงขั้นบอกว่า “อย่าบีบบังคับให้จับปืน” นั้น ตีความไปถึงขั้นได้ว่าเป็นการข่มขู่ คุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยเลยทีเดียว
ในทางสากลแล้วหากพิจารณาองค์กรทหารในฐานะเป็นกลไกสำคัญกลไกหนึ่งของรัฐ ต้องถือว่ากลไกรัฐตามตัวแบบคือ ผู้ที่มีความชำนาญเป็นพิเศษในด้านต่างๆต้องทำตัวเป็นกลาง ใช้วิชาชีพของตนรับใช้ผู้มีอำนาจรัฐ ซึ่งก็คือตัวแทนของราษฎรที่ถูกคนทั้งประเทศเลือกสรรมาให้มาบริหารองค์กรดังกล่าว เพราะถือว่าองค์กรดังกล่าวผ่านการเลือกตั้งมาจากประชาชน


จริงๆแล้วตัวแบบที่กล่าวมาในเชิงสากลเกิดขึ้นเฉพาะในประเทศที่มีพัฒนาการของประชาธิปไตยเจริญเติบโตเต็มที่ ต้องยอมรับว่าประเทศเหล่านั้นระบบการเมืองหรือการเลือกตั้งก็ได้ตัวแทนราษฎรที่แท้จริงเข้ามาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร แต่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้พิสูจน์แล้วว่ากลไกรัฐสำคัญเหล่านี้ เช่น ทหาร กลับเป็นผู้เข้าทำการเปลี่ยนแปลงรัฐและยึดอำนาจเอาอำนาจรัฐมาไว้ในมือ กลไกรัฐเหล่านี้จึงมีอำนาจรัฐเหนืออำนาจประชาชน


ดังนั้น พัฒนาการประวัติศาสตร์การเมืองของไทย กลไกรัฐสำคัญโดยเฉพาะพวกถืออาวุธ จึงไม่ยอมสูญเสียอำนาจ หรือปล่อยอำนาจให้ประชาชนเข้าบริหารหรือแม้แต่จะเอาอำนาจไว้ในมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสถานการณ์บ้านเมืองยังเป็นช่วงของการต่อสู้ระหว่างอีลิตร่วมกับกลุ่มอำนาจเก่าต่อสู้กับทุนใหม่ด้วยแล้ว


กลุ่มอีลิตจะสร้างวาทกรรมแปลกๆให้กลไกรัฐ เช่น ทหาร ไม่ยอมรับอำนาจของประชาชน เช่นวาทกรรมโง่เง่าเรื่องม้ากับผู้ที่เป็นจ๊อกกี้ เปรียบทหารเหมือนม้า ผู้ที่ผ่านการเลือกตั้งเป็นแค่จ๊อกกี้ขี่ม้า ต้องถือว่าคนขี่หรือจ๊อกกี้ไม่ใช่เจ้าของ
วาทกรรมโง่เง่าเช่นนี้แหละทำให้ทหารไม่ยอมรับเกณฑ์ หรือกติกาทางการเมืองแบบประชาธิปไตยผ่านระบบการเลือกตั้ง ปฏิเสธอำนาจประชาชน และเหมารวมไปว่าการเลือกตั้งจะทำให้กลุ่มทุนเข้ามามีอำนาจทางการเมือง แต่ลืมไปว่ากลุ่มอีลิตงี่เง่าที่ได้อำนาจมาโดยวิธีพิเศษนั้น บางครั้งชั่วกว่าผู้ที่ผ่านการเลือกตั้ง
เพราะนักการเมืองแต่ละคนที่จะลงเลือกตั้งนั้น จะต้องถูกตรวจสอบ เอกซเรย์ตามกระบวนการที่เปิดเผย โปร่งใส ที่สำคัญประชาชนมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์หรือเลือกนักการเมืองนั้นให้เป็นตัวแทนหรือไม่ให้เป็นก็ได้ ตรงข้ามกับพวกอีลิตงี่เง่าที่แม้เราไม่อยากได้เป็นผู้บริหาร แต่ก็ใช้อำนาจปากกระบอกปืนเอาตัวขึ้นมาบริหารอย่างไม่เกรงใจเรานั่นเอง


การตบเท้าของทหารนั้นหากมองในข้อเท็จจริงทางการเมืองของไทย ซึ่งกำลังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน สังคมต้องคิดเอาเองว่าตกลงเราจะพัฒนาระบอบการเมืองแบบการเลือกตั้ง แม้จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ต้องให้ระบบเหล่านั้นพิสูจน์และปรับตัวเอง แม้จะมีการซื้อเสียง บางครั้งได้นักการเมืองที่มีปัญหาทั้งที่มาและพฤติกรรมอยู่บ้าง แต่ก็ควรจะให้ระบบการเมืองแก้ไขโดยตัวของมันเอง


ทางเลือกที่เราไม่ควรใช้คือ การเปลี่ยนแปลงโดยวิธีนอกระบบ เช่น การยึดอำนาจ เพราะวิธีนี้ถูกใช้มานานในประเทศไทยและไม่เคยแก้ปัญหาในระยะยาวได้จริง ท้ายที่สุดเรามักจะตกอยู่ในวังวนที่พวกได้รับการแต่งตั้งจากคณะปฏิวัติ สุดท้ายมักจะชั่วเท่ากับหรือมากกว่าพวกทุนแบบนักเลือกตั้ง เพราะอย่างน้อยนักเลือกตั้งยังถูกเราถอดถอนได้


จริงๆแล้วทหารเป็นองค์กรที่มีอาวุธอยู่ในมือ ทหารต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่ถือหางฝ่ายใด ไม่ว่าจะเป็นอีลิตหรือกลุ่มทุน เพราะการแสดงออกไปอิงกับข้อกล่าวหาที่กลุ่มหนึ่งใช้โจมตีอีกกลุ่มหนึ่ง เท่ากับไปเพิ่มน้ำหนักให้กับการต่อสู้ระหว่างกลุ่ม เหมือนจะบอกว่าทหารเลือกข้างที่จะยืนอยู่กับกลุ่มอีลิต แต่ไม่เลือกประชาชน


ที่จริงแล้วทางเลือกในการพัฒนาสังคม ไม่ว่าจะเป็นทางซ้าย กลาง หรือขวา ต้องให้คนในสังคมเป็นผู้ตัดสิน ทหารแต่ละคนในฐานะอัตบุคคลก็มีสิทธิเลือกทางเดินดังกล่าวผ่านระบบพรรค หรือเมื่อวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
ทหารในฐานะองค์กรจึงไม่มีสิทธิออกมาแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสดงความโง่เง่า หงุดหงิด คุกคาม ว่าอย่าบังคับให้จับปืน เพราะประชาชนเขาจะตีความว่าพวกลื้อข่มขู่ คุกคาม เลือกข้าง ใช้ปืนบีบบังคับฝ่ายตรงข้ามให้ต้องสมยอม


แล้วรูปธรรมของเหตุการณ์เมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา ก็พิสูจน์ว่าพวกลื้อใช้กระสุนลั่นไกสังหารประชาชนฝ่ายตรงข้าม แต่งานในหน้าที่หลักเวลาเจอข้าศึกที่มีอาวุธและมีความสามารถ เช่น เหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือแม้แต่ชายแดนไทย-กัมพูชา กลับหัวหดและไม่มีปัญญาจัดการแก้ไขปัญหาได้สักที สงสัยจะถนัดแต่ยิงประชาชนมือเปล่า...สวัสดีทหารไทย (กลุ่มชั่วร้าย)


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 308 วันที่ 30 เมษายน – 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หน้า 10 คอลัมน์ ทหารใหม่วันนี้ โดย ชายชาติ  ชื่นประชา
http://redusala.blogspot.com
ต้องหยุดเอา‘สถาบัน’มาเป็นเครื่องมือ
ต้องหยุดเอา‘สถาบัน’มาเป็นเครื่องมือ
         นายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ที่ได้รับการยอมรับในการต่อสู้อย่างสันติในแนวทางประชาธิปไตย ได้แสดงมุมมองปัญหาที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการเมือง บทบาทของกองทัพ กลุ่มอำมาตย์ พรรคประชาธิปัตย์ หรือคนเสื้อเหลือง โดยเฉพาะการดึงสถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกครั้ง ดังคำให้สัมภาษณ์ดังต่อไปนี้

จากการที่เป็นนักธุรกิจมาก่อนเข้าสู่ความเป็นคนเสื้อแดง มองคนเสื้อแดงขณะนี้อย่างไร


คนเสื้อแดงเป็นคนที่กำลังต่อสู้เรียกร้องสิทธิอันชอบธรรม สิทธิอันพึงมีที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะมีสิทธิมีเสียงในสังคม และได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันอย่างเช่นคนอื่นในสังคมได้รับ สิ่งที่เขาเรียกร้องเป็นปัญหาพื้นฐานมากๆ เรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง เรียกร้องความยุติธรรมมาตรฐานเดียว ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ชอบธรรมและพึงมีไม่ว่าสังคมไทยหรือสังคมไหนในโลกนี้ การเรียกร้องของคนเสื้อแดงจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ผมเห็นด้วย และแม้วันนี้ยังไม่ได้สิ่งนั้น แต่อีกไม่นานก็ต้องได้ เพราะไม่มีใครฝืนกระแสโลกได้ และไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้


ตราบใดที่สังคมไม่มีความยุติธรรมก็หาความสุขไม่ได้ ผมไม่เชื่อว่าสังคมไทยจะทนยอมให้มีความผิดยาวนาน ถึงแม้จะมีอำนาจพิเศษ อำนาจเขียว อำนาจเหลือง อำนาจอะไรที่พยายามขับเคลื่อนอยู่ ผมมองว่าทุกสังคมคงไม่ยอมให้สังคมมีความทุกข์นานๆ ต้องแก้ปัญหาความทุกข์นั้น ตอนนี้คนไทยจำนวนมากบอกว่ามีความทุกข์เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย เรื่องไม่เป็นประชาธิปไตย เห็นเขาไร้ค่า ไม่ได้รับการรับฟัง เขาไม่มีความหมาย เขามีความทุกข์ตรงนั้น อยากให้เสียงของเขาได้รับการได้ยิน ได้รับการยอมรับ เพราะฉะนั้นถ้าแก้ทุกข์ตรงนี้ได้ก็จะกลับคืนสู่ความสุข


จากเสียงสะท้อนฝ่ายตรงข้ามคนเสื้อแดงพยายามจะกล่าวว่าคนเสื้อแดงพยายามทำลายประเทศ


ต้องถามว่าการกำเนิดของคนเสื้อแดงเพราะอะไร ถามว่าตอนยึดอำนาจเสร็จไม่มีคนเสื้อแดงหรือกลุ่ม นปช. พอมีการเลือกตั้งในปี 2550 เขาก็ยุติ ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆเลย แต่เริ่มมีคนเสื้อแดงหลังจากมีการยึดทำเนียบรัฐบาล ซึ่งหลายปีแล้ว คนไทยรู้สึกว่าไม่ถูกต้องที่ไปยึดสถานที่ราชการ ทำให้ประเทศไทยเสียเกียรติภูมิ คนที่มีหน้าที่จัดการก็ไม่ได้จัดการอะไร ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ยอมออกมาต่อว่าคนที่ทำผิดกฎหมาย คนไทยที่เห็นภาพเหล่านั้นแล้วไม่สบายใจ ยอมรับไม่ได้ก็ออกมาเคลื่อนไหว นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของคนเสื้อแดง
ตอนที่คนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนต่อต้านคนที่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสถานที่ราชการ ยึดสนามบิน ถามว่าคนเสื้อแดงผิดหรือ ถ้าไม่มีเหตุการณ์เหล่านั้นก็ไม่มีคนเสื้อแดง คนเสื้อแดงไม่ใช่คนที่ทำร้ายคนอื่น แต่คนเสื้อแดงพยายามปกป้องบ้านเมืองนี้ให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายที่พวกเขาไม่ได้กระทำ คำถามคือใครปล่อยให้มีการยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ยึดอะไรแล้วไม่มีใครแก้ปัญหา ประเทศไทยต้องตกอยู่ในสภาพที่เป็นอัมพาต เศรษฐกิจเสียหายย่อยยับ คนไทยเดือดร้อนไปทั่ว กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย ถามว่าถ้าไม่มีคนไทยลุกขึ้นมาต่อต้านการกระทำอย่างนั้นประเทศชาติจะอยู่อย่างไร แล้วคนเหล่านั้นสามารถใช้วิธีทำอย่างอำเภอใจโดยไม่แคร์คนไทยทั้งประเทศที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เราจะอยู่กันอย่างไร ผมว่าต้องขอบคุณคนเสื้อแดงนะที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านการกระทำเหล่านั้น


ถึงวันนี้คนเสื้อแดงยังถูกโจมตีเรื่องหมิ่นหรือล้มเจ้า


ต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคนเสื้อแดงออกมาชี้ให้สังคมเห็นว่าประเทศไทยมีความไม่ถูกต้องในหลายๆเรื่อง มีการแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล มีปลายกระบอกปืนมาบังคับให้ตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการแทรกแซงประชาธิปไตย รัฐบาลที่ได้มาไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากเจตนารมณ์ของปวงชน คนเสื้อแดงชี้ให้เห็นว่ามีการบังคับใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานตั้งแต่หลังยึดอำนาจเป็นต้นมา ยิ่งรัฐบาลชุดนี้ยิ่ง 2 มาตรฐานมากกว่าเดิม ผมพยายามชี้ให้เห็นว่าเหตุการณ์มันมาอย่างนี้ มีการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง ใช้กฎหมายที่ไม่ถูกต้อง คนเสื้อแดงเอาความจริงมาตีแผ่ ชี้ให้เห็นว่าความเป็นมาอย่างนี้มีใครชี้นำ มีใครเชื่อมโยง มีใครเกี่ยวพัน มีใครสั่งการ แล้วมาตีแผ่ในสังคม ซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็โต้แย้งไม่ได้เพราะสิ่งที่เราชี้เป็นข้อเท็จจริง พอเขาต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงไม่ได้ก็หักล้างการกระทำความผิดไม่ได้ เขาเลยใช้วิธีใหม่คือการเบี่ยงเบนประเด็น ใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหาเพื่อทำลายพวกผม นี่คือความชั่วร้ายของกลุ่มคนเหล่านั้น


ที่จริงเขาต้องตอบให้ได้ว่าที่เราถามไว้เรื่องแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล จริงหรือเปล่าที่มีคนบังคับให้พรรคร่วมจับมือจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าชี้แจงได้ สังคมยอมรับได้ก็จบ แต่ถ้าชี้แจงไม่ได้เพราะเขาไม่พยายามชี้แจง ปฏิเสธอย่างเดียว ตราบใดที่เราไม่ชี้แจงในสิ่งที่คนตั้งข้อสงสัยอยู่ก็ไม่เป็นการแก้ปัญหาตรงนั้น วันนี้เขาใช้วิธีการเปิดประเด็นใหม่ เบี่ยงเบนประเด็นเพื่อเบี่ยงความสนใจของทุกคนจากสิ่งที่คนเสื้อแดงพยายามตีแผ่ เพื่อดิสเครดิสคนเสื้อแดง ให้น้ำหนักของคนเสื้อแดงน้อยลง นั่นคือเป็นการทำลายหรือเป็นยุทธวิธีทางการเมืองและทางทหารควบคู่กันไป


จะต่อสู้กับกองทัพที่มองคนเสื้อแดงในทางลบอย่างไร


เราไม่ได้เกลียดใครเป็นการเฉพาะ ไม่ได้ต่อสู้กับใครเป็นการเฉพาะ เราต่อสู้กับทุกคนที่เข้ามาแทรกแซงประชาธิปไตย เราต่อสู้กับทุกคนที่พยายามทำให้กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย เราต่อสู้กับทุกคนที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศไม่ว่าคนๆนั้นเป็นใคร ถ้าคุณทำอย่างนั้นเราต่อสู้หมด ไม่ว่าคุณจะมีอำนาจใหญ่โตแค่ไหน ไม่ว่าคุณจะมีตำแหน่งอะไรเราสู้หมด แต่การต่อสู้ไม่ใช่ว่าเราจะไปฆ่าหรือทำร้ายคุณ แต่ขอให้คุณยุติการกระทำเหล่านั้น ขอให้เลิกทำสิ่งที่เสียหายให้กับประเทศชาติ


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เองยอมรับว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในการยึดอำนาจ เป็นกองกำลังหลักของกองทัพภาคที่ 1 ท่านสร้างความเสียหายให้กับสังคม แต่ท่านกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเป็นศัตรูของชาติ ที่จริงไม่ใช่ เพราะคนเสื้อแดงไม่ได้มาทำลายชาติเลย คนเสื้อแดงเรียกร้องให้ยุบสภา คนเสื้อแดงเรียกร้องให้พันธมิตรฯยุติการยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน คนเสื้อแดงบอกให้อำนาจมืดยุติการแทรกแซงประเทศไทย หยุดแทรกแซงประชาธิปไตย


สิ่งที่คนเสื้อแดงเรียกร้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ในเมื่อเราเรียกร้องเพื่อความถูกต้องแล้วเราผิดตรงไหน เราไม่ใช่ศัตรูของชาติ เราจ่ายเงินเดือนให้คุณกินเงินเดือนด้วยซ้ำ เราจ่ายภาษีให้คุณมีเงินไปซื้ออาวุธ แล้วอาวุธที่พวกคุณซื้อก็มาเข่นฆ่าเรา เราไม่ได้เป็นศัตรูของใคร ผบ.ทบ. ต้องไปทบทวนท่าทีเสียใหม่ ท่านมีหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของประเทศและสร้างความเป็นปึกแผ่นของชาติ แต่ท่านกำลังสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยหรือไม่ที่กล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเป็นศัตรูของประเทศนี้ ที่จริงไม่ใช่ เราเป็นศัตรูกับความชั่วร้าย ถ้าท่านมองเราเป็นศัตรูแสดงว่าท่านเป็นพวกชั่วร้าย เราเลยต้องเป็นศัตรูของท่าน
ข้อหาล้มเจ้าเป็นประเด็นที่พูดกันแรงมาก จะอธิบายอย่างไร


ในยุค 14 ตุลาหรือ 6 ตุลาก็ใช้ข้อหานี้ในการทำร้ายผู้ที่เรียกร้องความถูกต้อง ซึ่งยุคนี้ที่จริงควรจะพ้นวิธีการนี้ไปแล้ว ลองคิดดู ก่อนการยึดอำนาจปี 2549 เราแทบจะไม่ได้ยินเรื่องเหล่านี้เลย เราไม่ได้ยินเรื่องคดีหมิ่นสถาบัน เราไม่ได้ยินเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน เราไม่ได้ยินเรื่องอะไรในทางเสียๆหายๆเลย หลังจากนั้นมีคนบางกลุ่มดึงสถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง พันธมิตรฯใส่เสื้อเหลืองมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลและอ้างสถาบันว่าทำเพื่อในหลวง แล้วเป็นอย่างไร หลังจากนั้นคนกล้าใส่เสื้อเหลืองหรือไม่ วันนี้เสื้อเหลืองแทบจะหายไปจากตู้ทุกบ้าน ถามว่าเกิดผลดีหรือผลเสียต่อสถาบันมั้ยหลังจากที่พันธมิตรฯออกมาใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ กองทัพก็ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ พรรคประชาธิปัตย์ก็ใช้ด้วยเพราะตัวเองเบื่อในการทำลายพรรคคู่แข่งที่ไม่สามารถแข่งขันด้านนโยบายได้ ไม่สามารถสร้างผลงานให้คนชื่นชอบได้ ไม่สามารถทำตัวหรือทำงานให้เห็นว่าดีกว่าเลยใช้วิธีด่าทอต่อว่าและใส่ร้ายป้ายสี


เพราะฉะนั้นหลังจากที่พันธมิตรฯ กองทัพ พรรคประชาธิปัตย์ ต่างนำสถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เราเริ่มได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน เริ่มได้ยินว่ามีการหมิ่นเบื้องสูง มีการพูดถึงหลายเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แสดงว่าหลังจากที่ยึดอำนาจมามีการพูดถึงสถาบันไปต่างๆนานา ถามว่าใครที่ดึงสถาบันมาเป็นเครื่องมือแล้วบ่มเซาะความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันเบื้องสูง ถ้าพวกนี้ไม่ดึงสถาบันมาเป็นเครื่องมือเราก็ไม่ได้ยินเรื่องต่างๆเหล่านี้เลย สถาบันเป็นที่เคารพรักเทิดทูน ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ถามว่าใครที่เป็นตัวปัญหา คนเหล่านั้นเป็นผู้กำลังสร้างความเสียหายให้กับสถาบัน


เรื่องนี้อาจส่งผลให้พรรคเพื่อไทยถูกยุบอีกครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีคนเสื้อแดงร่วมอยู่ด้วย


ถ้าเขาจะยุบพรรคเพื่อไทย แม้แค่ตดเขาก็ยุบได้ เข้าใจมั้ย คือประเทศนี้มันทุเรศ กฎหมายบังคับใช้สำหรับพรรคเพื่อไทยอย่างเดียว แต่มีข้อยกเว้นสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ที่เขาอุ้มชู วันนี้สิ่งที่เขากล่าวหาพรรคเพื่อไทยเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง อย่างเรื่องกรณีล้มเจ้าคุณก็ไปโยงใยเอาผังมามั่วๆ วันก่อนหลังจากที่มีการสลายม็อบไม่นาน คุณถวิล เปลี่ยนสี เลขาฯ สมช. (สภาความมั่นคงแห่งชาติ) ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า สมช. มีความผิดพลาดเรื่องผังล้มเจ้า ผังนั้นไม่มีจริง แต่ว่าโฆษก ศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) ไม่รู้เอาออกมาได้อย่างไร เอามาพูดโดยไม่มีพื้นฐานความจริง ท่าเลขาฯ สมช. พูดเอง ผมเองเห็นแต่แรกยังหัวเราะ เพราะมีชื่ออยู่ในนั้นด้วย ในผังยังไม่รู้จักอีกจำนวนมาก รู้จักไม่กี่คน กลุ่ม นปช. มีประมาณ 10 คน นอกนั้นไม่รู้จัก


ถามว่าเราจะไปล้มเจ้าทำไมในเมื่อเราเทิดทูนสถาบันขนาดนี้ เราก็รักในหลวง ล้มเจ้าแล้วได้อะไร ล้มเพื่อใคร ล้มไปทำไม อยู่ๆเราจะไปไล่คนที่เรารักออกทำไม การมีสถาบันเบื้องสูงเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากมายอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องไร้สาระที่เขากล่าวหาพรรคเพื่อไทย ใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองเพื่อปูทางไว้ วันหลังจะเล่นงานพรรคเพื่อไทยก็แค่ยกเหตุต่างๆขึ้นมา สังเกตตอนยุบพรรคไทยรักไทยปี 2549 คุณก็รู้แล้วว่าความจริงเป็นอย่างไร ตอนยุบพรรคพลังประชาชนปี 2551 คุณก็เห็นว่ามีการไปจ้างวานพรรคเล็กพรรคน้อย กล่าวหาพรรคพลังประชาชนอย่างไร ข้อเท็จจริงมันออกมาแล้ว กรณีไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้ข้อเท็จจริงออกมาแล้วว่ามีการจัดวาง มีการเตรียมการ มีการสั่งการทุกอย่าง มีการวางแผน และมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไร โดยใช้ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นศาลรัฐธรรมนูญต้องกลับไปดูบทบาทตัวเองและยุติการใช้อำนาจหากไม่ถูกต้อง สิ่งที่กล่าวหาพรรคเพื่อไทยวันนี้จึงเป็นสิ่งที่ไร้สาระ


นปช. จะเดินไปอย่างไรหลังจากนี้


เรามีเป้าหมายตามอุดมการณ์ 2 ประการคือ 1.ทำให้ประเทศนี้มีประชาธิปไตยที่แท้จริง ปราศจากการแทรกแซง และอำนาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน แต่เราไม่ได้บอกว่าต้องมีพรรคนี้เป็นรัฐบาล เขาจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่อยู่ที่ประชาชนจะเลือก จะเป็นพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ รวมใจไทยชาติพัฒนา ชาติไทยพัฒนา หรือภูมิใจไทย ใครก็ได้ที่ประชาชนเลือก 2.นอกจากประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้วเราต้องการความเท่าเทียมกันในสังคม เพราะฉะนั้นอุดมการณ์ตรงนี้เรายึดมั่น จึงจำเป็นต้องต่อสู้ให้ได้ 2 เรื่องนี้ ตราบใดยังไม่ได้มาก็ต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด การต่อสู้ก็ต้องต่อสู้ตามความเหมาะสม


ณ ปัจจุบันนี้เรามีความเห็นว่าต้องเดิน 2 ขา ขาหนึ่งนอกสภาอย่างที่เราเดินอยู่ อีกขาหนึ่งในสภาเพื่อช่วยขับเคลื่อนผ่านสภา ถ้าเราสามารถขับเคลื่อนผ่านสภาได้โดยไม่ต้องชุมนุมประท้วงก็จะเป็นเรื่องดี ทำให้สังคมไทยไม่ต้องเสียเวลา คนเสื้อแดงไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องอดหลับอดนอน ไม่ต้องเสี่ยงเรื่องการถูกทำร้าย แต่ถ้าในสภาไม่ได้ผลเนื่องจากกลไกพิการ เราก็ต้องมาขับเคลื่อนนอกสภาควบคู่กันไป นี่เป็นยุทธศาสตร์ปัจจุบันที่เรากำลังทำอยู่


ดูเหมือนพรรคเพื่อไทยยังกังวลเรื่องแกนนำ นปช. ที่เป็นส่วนหนึ่งของพรรค
พรรคเพื่อไทยต้องยอมรับว่ามีคนเยอะ จึงมีความหลากหลายและแตกต่างทางความคิด ซึ่งเราต้องยอมรับความคิดเห็นของทุกคนทุกส่วน สมาชิกพรรคเพื่อไทยจำนวนมากชื่นชอบ นปช. เพราะเขาได้ประโยชน์ทั้งนั้น คนเสื้อแดงบอกว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแนวร่วม มีอุดมการณ์เดียวกัน ถ้าการเลือกตั้งเราขอให้คนเสื้อแดงเลือกพรรคเพื่อไทย และช่วยให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมเพื่อไม่ให้ใครมาโกงพรรคเพื่อไทย เพราะฉะนั้น ส.ส. จำนวนมากก็ได้ประโยชน์ เขาก็เข้าใจ ยิ่งในพื้นที่ที่มีคนเสื้อแดงเยอะๆผู้สมัครพรรคเพื่อไทยก็นอนมา เขาก็สบาย แต่มี ส.ส. จำนวนหนึ่งไม่เข้าใจหรือบางคนก็เหนียมอาย ยิ่งวันนี้พรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงเป็นเหมือนคู่แฝดที่แยกจากกันไม่ได้ แยกจากกันก็ตาย คนเสื้อแดงต้องอาศัยพรรคเพื่อไทยในการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ขับเคลื่อนเพื่อให้บังคับใช้กฎหมายเป็นมาตรฐานเดียวกัน ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเราก็จะขับเคลื่อนผ่านพรรคเพื่อไทย เพราะฉะนั้นเราต้องอาศัยพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยต้องอาศัยคนเสื้อแดงในการช่วยป้องกันไม่ให้อำนาจมืดเข้ามาแทรกแซงผลการเลือกตั้ง หรือใช้อำนาจมืดทำลายพรรคเพื่อไทย


ตอนนี้พูดตรงๆว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีปัญญาจัดการหรือป้องกันตัวเอง ตอนนี้ถ้าเขาจะยุบอีกก็ได้ ถามว่าถ้าเขาจะยุบอีก ส.ส.พรรคเพื่อไทยคนไหนมีปัญญาไปช่วยให้เขาไม่ยุบ มีแต่คนเสื้อแดง มีแต่พลังมวลชนที่รักความถูกต้องเท่านั้นที่จะออกมาเรียกร้องให้องค์กรบ้าๆบอๆ องค์กรอิสระที่ใช้อำนาจมืดบิดเบือนกฎหมายอยู่ให้ยุติการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ส.ส.พรรคเพื่อไทยคนไหนที่ยังเหนียมอายคนเสื้อแดงอยู่ต้องกลับไปคิดใหม่ ถ้าไม่มีคนเสื้อแดง ต่อให้คุณชนะการเลือกตั้งก็ไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ หรือถ้าเป็นได้ก็เป็นได้ไม่นาน เขาต้องหาเรื่องล้มคุณอีก เพราะฉะนั้นขอให้กลับไปคิดใหม่ พิจารณาให้รอบคอบ อย่าอาย อย่าเหนียม ต้องไปมองในวันที่พรรคประชาธิปัตย์อาศัยพันธมิตรฯล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ วันนี้พันธมิตรฯตีแผ่ผ่านเวทีพันธมิตรฯ เราก็รับรู้กันทั่วว่าใครจัดการให้ ใครขนคนมาอย่างไร จากที่ไหน เขาก็ออกมาบอกหมด


พรรคภูมิใจไทยชูแนวคิดปกป้องสถาบันและต่อต้านรัฐไทยใหม่ คนเสื้อแดงคิดอย่างไรกับรัฐไทยใหม่


พรรคภูมิใจไทยเขารักสถาบันจนพุงกาง รักจนปากห้อยอิ่มเลย อย่างกับชูชก กินอ้วนท้วนจนพุงจะแตก รักสถาบันจนน้ำลายไหลย้อย เขาเองไม่มีนโยบาย ไม่มีแนวคิดอะไร เพียงแต่พยายามดึงสถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองพรรคหนึ่งเท่านั้น เรื่องสถาบันผมว่าอย่าไปชูเลย เพราะคนไทยทุกคนรักสถาบันทั้งนั้น ไม่มีใครทำลายสถาบัน ส่วนเรื่องรัฐไทยใหม่เป็นคำนิยามของคุณวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ที่ตั้งขึ้นแล้วนำมาเขียนหนังสือ คำว่ารัฐไทยใหม่คือรัฐไทยที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง รัฐที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน คนไทยมีความเท่าเทียม มีความเสมอภาคกัน มีโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เป็นรัฐไทยเหมือนปัจจุบันที่ใช้เส้นใช้สาย ใช้พวกพ้อง ใช้คอนเนกชั่นต่างๆ คนที่มีตำแหน่งใหญ่โตใช้กลไกทุกอย่างเอาเปรียบสังคม เวลาคนใหญ่คนโตจะทำอะไรหรือทำธุรกิจจะฝากลูกหลานได้หมด ไม่ว่าจะเข้าโรงเรียนหรือทำงาน แต่ถ้าลูกชาวบ้านทำไม่ได้


มองการเมืองก่อนการเลือกตั้งอย่างไร


ตอบยาก ก่อนการเลือกตั้งต้องยอมรับว่าประเทศแย่ มีความขัดแย้งสูงมาก คนไทยตกอยู่ในความทุกข์ ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันประเทศไทยเป็นยุคหนึ่งที่แย่สุดๆ หลังเลือกตั้งผมคาดหวังให้ประเทศดีขึ้น ใครมาเป็นรัฐบาลก็แล้วแต่ต้องแก้ปัญหาให้ได้ ต้องใช้วิธีการทุกอย่างในการหลอมรวมจิตใจคนไทย บริหารแก้ปัญหาความขัดแย้ง 



ถ้าคุณแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ คนไทยมีความสามัคคี เรื่องอื่นก็ไม่ยาก ถ้าคนรักสามัคคีกันคุณจะทำงานอะไรพัฒนาประเทศได้หมด ขับเคลื่อนอะไรได้ จะแก้ปัญหาอะไรก็ขอความร่วมมือกันได้ แต่ถ้าปราศจากความรัก ความสามัคคีแล้วทำอะไรก็ยาก สังคมไม่มีความสุข หลังการเลือกตั้งผมอยากเห็นรัฐบาลใครก็ได้มาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ รัฐบาลที่มีความจริงใจ คนเป็นนายกฯต้องมีความจริงใจในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจากพรรคไหนก็แล้วแต่ แต่ผมไม่มั่นใจว่าจะเป็นอย่างที่มอง ถ้าดูรูปการณ์ทางการเมืองยังมีความพยายามจากกลุ่มอำมาตย์ที่จะควบคุมอำนาจบริหารอย่างที่ต้องการ โดยไม่สนใจว่าประเทศจะเป็นอย่างไร คนไทยจะทะเลาะกันก็ไม่แคร์ ห่วงอยู่เหมือนกันว่าถ้าประเทศเป็นอย่างนั้นก็จะหนักยิ่งกว่าเดิม

ถึงวันนี้เชื่อหรือไม่ว่าจะมีการเลือกตั้ง


ณ ตอนนี้เชื่อว่ามี แต่ก็เชื่อว่ามีความพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งทุกรูปแบบ และเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งจะมีความพยายามแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล
2 ปีที่ผ่านมามองรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อย่างไร


ผมผิดหวังนะ โดยคุณสมบัติส่วนตัวนายอภิสิทธิ์น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือเรื่องความขัดแย้ง ถ้านายอภิสิทธิ์แก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้ดีตั้งแต่ต้นประเทศคงไม่แย่ขนาดนี้ วันนี้คุณอภิสิทธิ์ทำให้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมยิ่งลึกมาก เป็นแผลใจกับคนหลายล้าน จึงใช้เวลานานในการเยียวยาและแก้ยากด้วย ก่อนหน้านี้ถ้าไม่เกิดสงกรานต์เลือด 2552 พฤษภาทมิฬ 2553 ความแตกแยกที่เกิดขึ้นก็ยังปรองดองง่ายกว่า พอเกิดแผลร้ายในใจคนทั่วประเทศทำให้ความรู้สึกที่จะให้อภัยกันก็ยากขึ้น เป็นความผิดพลาดของนายอภิสิทธิ์อย่างใหญ่หลวง


สำหรับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าและเชิงนโยบายที่ใช้นโยบายประชานิยมเป็นวิธีที่ทำง่าย แต่สร้างภาระให้กับประเทศในระยะยาว เอาเงินมาแจกแต่ไม่ผลักดันนโยบายใหม่ให้ประเทศเข้มแข็ง คนสร้างรายได้ สร้างอาชีพ รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องทำให้มีรายได้เข้าประเทศ รายได้ของประชากรทุกกลุ่มต้องทำให้มีเงินหมุนเวียน เศรษฐกิจก็จะหมุนเวียน ทุกวันนี้คนไทยมีแค่บางกลุ่มที่ดีขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ส่งออก แต่คนส่วนใหญ่กลับแย่ลง รายได้ลดลง หนี้สินเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายแพงขึ้น 



วันนี้รายได้เท่าเดิมแต่ข้าวของแพงขึ้นเยอะ คุณอภิสิทธิ์สร้างหนี้เยอะ แต่เงินที่ได้มาแทนที่จะไปจัดสรรในสิ่งที่ควรจะเป็นกลับไม่ทำ เอาไปใช้ในโครงการระยะสั้น โครงการที่รั่วไหลเยอะแยะ ทุจริตเยอะ ไปให้งบทหารเยอะ ตรงนี้ทำให้ประเทศมีภาระเยอะ ไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศ ทำให้คนบางกลุ่มอย่างทหาร นักการเมืองได้ประโยชน์ สร้างหนี้ให้กับคนไทยต้องมาแบกรับภาระ จึงมองไม่ออกว่ารัฐบาลนี้จะนำพาประเทศไปทางไหน

อยากบอกอะไรไปยังรัฐบาลหรือคนเสื้อแดงทั่วประเทศบ้าง
รัฐบาลชุดนี้คงไม่มีอะไรจะบอกแล้ว เพราะเป็นช่วงปลายสมัยแล้ว เขาต้องรู้ตัวเองว่าไม่มีศักยภาพอย่างไร ไม่มีความสามารถ เขาเก่งแต่เรื่องพูดไม่เก่งเรื่องทำ เพราะฉะนั้นอย่าทำให้ประเทศไทยต้องเสียโอกาสเลย คุณอภิสิทธิ์อย่าคิดมาเป็นนายกฯรอบ 2 เลย แค่รอบเดียวก็ทำให้ประเทศไทยมีปัญหาเยอะแล้ว อย่าให้ประเทศไทยเสียโอกาสอีกเลย ปล่อยให้พรรคการเมืองที่มีความสามารถเข้ามาทำ อยากบอกเขาแค่ตรงนี้


ส่วนคนเสื้อแดงอยากบอกว่าวันนี้เราเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง เราต้องยุติการเคลื่อนไหวในสิ่งที่เรียกร้องชั่วคราว เราต้องขับเคลื่อนการเลือกตั้ง ผลักดันให้แนวร่วมของเราในพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลและขับเคลื่อนแก้รัฐธรรมนูญ ให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นอย่างที่สังคมอยากจะให้เป็น เราต้องช่วยผลักดันในการเลือกตั้ง อยากให้คนเสื้อแดงช่วยหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยและช่วยออกไปกาเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งเขตและปาร์ตี้ลิสต์ และไปในวันเลือกตั้งจริง วันเลือกตั้งล่วงหน้าถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยง อย่าไป เพราะอาจมีความพยายามโกงหรือเปลี่ยนหีบบัตร ช่วยกันเฝ้าติดตามในวันเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม 



ถ้ามีใครพยายามเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเอาทหารเข้าไปจัดทีมแทรกซึม ข่มขู่ ชักจูงให้เลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง ซื้อเสียง หรือไปบังคับขู่เข็ญ ใช้อำนาจรัฐ ใช้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ขอให้จดชื่อ ถ่ายวิดีโอ ใครให้เงินมาก็รับแล้วจดรายละเอียดแจ้งส่วนกลางเป็นหลักฐาน ช่วยจับตาที่คูหาเลือกตั้งตั้งแต่เช้าจนนับคะแนน เพื่อให้การนับคะแนนเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ขอให้คนเสื้อแดงทำทุกอย่างๆตรงไปตรงมา ไม่ต้องช่วยพรรคใดพรรคหนึ่ง ให้เฝ้าจับตามองอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 308 

วันที่ 30 เมษายน – 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หน้า 18 คอลัมน์ ฟังจากปาก โดย วัฒนา อ่อนกำปัง
http://redusala.blogspot.com
อ้างเจ้า ล้มแดง ยุบเพื่อไทย หรือไม่ก็...รัฐประหาร!
เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 6 ฉบับที่ 308 ประจำวัน จันทร์ ที่ 2 พฤษภาคม 2011
         โดย ทีมข่าวรายวัน

http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10557

         “สถานการณ์ที่เป็นไปในวันนี้เกี่ยวโยงกันทั้งหมด โดยจะมีการหาเรื่องให้ถอนประกันแกนนำคนเสื้อแดง จากนั้นจะรอให้มีการยุบสภาแล้วค่อยลงมือ โดยมีชื่อเรียกปฏิบัติการนี้ว่าถอน ยุบ ยึด ซึ่งได้ข่าวมาว่าจะเริ่มต้นในสัปดาห์หน้า (25-29 เมษายนเป็นต้นไป) ที่จะมีการถอนประกัน แล้วรอให้ยุบสภาต้นเดือนพฤษภาคมและยึดอำนาจ แต่ถ้ากระบวนการยุติธรรมพิจารณาแล้วให้ความเป็นธรรมและเมตตาคนเสื้อแดง ไม่ถอนประกันแกนนำคนเสื้อแดง สิ่งที่จะทำในปฏิบัติการครั้งนี้คือ เมื่อมีการยุบสภาก็จะมีการยึดอำนาจทันที โดยจะบุกควบคุมตัวแกนนำคนเสื้อแดงให้แล้วเสร็จก่อนที่จะดำเนินการกับผู้นำในรัฐบาล ซึ่งจะเป็นการยึดอำนาจที่ประหลาดที่สุดในโลก”

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน แถลงเมื่อวันที่ 21 เมษายน กรณีหน่วยกำลังในกองทัพบกตบเท้าแสดงพลังและสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ประกาศปกป้องสถาบันว่า ได้ข้อมูลมาว่าความเคลื่อนไหวเหล่านี้มีเนื้อแท้เป็นการเช็กแถวเตรียมความพร้อมสำหรับการทำรัฐประหารของคนในกองทัพ โดยมีนายทหารบกยศนายพลแจ้งว่า มีการคิดอ่านเตรียมการใหญ่โตที่จะสกัดการเลือกตั้ง เนื่องจากทุกกระแส ทุกผลสำรวจ ทุกโพล สรุปตรงกันว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง จึงมีการแสดงพลังทหารที่ใกล้ชิดกับนายทหารใหญ่ที่กุมอำนาจอยู่ในปัจจุบัน เพื่อโชว์ว่าผู้นำเหล่าทัพมั่นใจว่ามีความพร้อมที่จะเคลื่อนกำลังออกมาทำรัฐประหาร


เกียรติยศของทหาร?


แม้เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2554 พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) จะนำผู้บัญชาการทั้ง 3 เหล่าทัพคือ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และผู้แทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงยืนยันว่ากองทัพจะไม่ปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองใดๆทั้งสิ้น ให้เชื่อในเกียรติยศและคำพูดของทหาร เพราะกองทัพยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กองทัพจะไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน หากมีใครอยากดำเนินกิจกรรมทางการเมืองก็ควร ลาออกไปก่อน หรือใครเอากำลังออกมาถือเป็นกบฏ


อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 12 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์ได้สั่งให้ฝ่ายกฎหมายของสำนักพระธรรมนูญ กองทัพบก เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ กับ 3 แกนนำ นปช. คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวิเชียร ขาวขำ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ กรณีขึ้นปราศรัยบนเวทีบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน อาจเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ


ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษนายจตุพรและพวกรวม 18 คน ที่ยืนรุมล้อมนายจตุพรขณะใช้ถ้อยคำปราศรัยว่า แสดงออกทั้งภาษากาย กระทำ หรือสนับสนุน เช่น การปรบมือ การโห่ร้องส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจในการปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเป็นการล่วงละเมิดสถาบัน มีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐว่าด้วยการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 116


หลังจากนั้นหน่วยกำลังของทหารรักษาพระองค์ในกองทัพบกต่างออกมา “ตบเท้า” เพื่อแสดงพลังพร้อมปกป้องสถาบัน และปฏิบัติตามคำสั่งของ ผบ.ทบ. โดยเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง และสามารถนำกำลังออกมาได้ภายใน 30 นาที เริ่มจากกองพลที่ 1 รักษาพระ องค์ (พล.1 รอ.) ทั้งนี้ ทหารรักษาพระองค์ทั่วประเทศจะออกมาแสดงพลังให้ครบทั้ง 69 หน่วย


การออกมาตบเท้าแสดงพลัง แม้จะอ้างเรื่องสถาบันทั้งที่ผู้นำเหล่าทัพออกมาแถลงว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า สั่งไม่ให้ทหารออกมาตบเท้าแสดงพลังอีกหลังจาก พล.1 รอ. ออกมาตบเท้าเป็นหน่วยแรก และขอร้องให้ทุกฝ่ายอย่าดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง


“อย่าให้ทหารต้องเป็นผู้แก้ปัญหาทุกครั้ง ผมไม่อยากให้เกิดเป็นเรื่องของความไม่ไว้วางใจทหาร ไม่เช่นนั้นต่อไปทหารคงทำอะไรไม่ได้เลย จะฝึกจะเคลื่อนกำลังก็ถูกมองว่าเป็นการปฏิวัติไปหมด”


กอ.รมน. ลุยคุมสื่อแดง


อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของกองทัพดังกล่าวถูกวิจารณ์จากหลายฝ่ายว่าเป็นการคุกคาม ข่มขู่ ไม่ต่างกับบทบาทของกองทัพในอดีต และในที่สุดก็หนีไม่พ้นการทำรัฐประหาร จึงย้อนคำถามถึงผู้นำกองทัพว่า “ปากว่าตาขยิบ” หรือไม่ เพราะ พล.อ.ทรงกิตติพูดด้วยเกียรติยศของทหารว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่การออกมาตบเท้าโดยอ้างการปกป้องสถาบัน และฟ้องแกนนำ นปช. นั้นเหมาะสมหรือไม่ เพราะเหมือนเป็นการดิสเครดิตทั้งคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นช่วงใกล้จะยุบสภาและมีการเลือกตั้ง


โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.กอ.รมน.) มีคำสั่งให้ กอ.รมน.ภาคและจังหวัดตรวจสอบการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงทางสถานีวิทยุชุมชน เว็บไซต์ และอินเทอร์เน็ต เพื่อให้แจ้งเบาะแสและข้อมูลการละเมิดสถาบันไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ขณะที่ กอ.รมน. ก็อ้างส่งทหารลงพื้นที่ต่างๆเพื่อทำความเข้าใจ เผยแพร่การเทิดทูนสถาบัน และสร้างความรัก ความสามัคคี ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบว่ามีการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงหรือไม่ ซึ่งเป็นแนวทางการสนับสนุนการเลือกตั้งเหมือนปี 2550


แต่ก็มีรายงานข่าวว่า กอ.รมน. กำลังระดมมวลชนประมาณ 700,000 คน ให้ออกมาแสดงพลังเคลื่อนไหวสนับสนุน ผบ.ทบ. เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ทหารที่ออกมาตบเท้าสนับสนุน ผบ.ทบ. ในการปกป้องสถาบัน อย่างเมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา มีกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยใส่เสื้อสีชมพู 750 คน จาก 7 จังหวัดภาคอีสานคือ ขอนแก่น อุดรธานี กาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร หนองบัวลำภู และสกลนคร เดินทางโดยรถบัส 15 คัน มาให้กำลังใจ ผบ.ทบ.


จับและปิดสื่อเสื้อแดง


นอกจากนี้วันที่ 26 เมษายน ชุดปฏิบัติการร่วม ซึ่งประกอบด้วยกำลังจาก กอ.รมน. กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) และตำรวจท้องที่ ได้นำหมายศาลกระจายกำลังกันเข้าตรวจค้นสถานีวิทยุชุมชนที่เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย และดำเนินคดี โดยเฉพาะสถานีวิทยุที่กระจายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตรวม 13 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ 7 แห่ง และปริมณฑลอีก 6 แห่ง
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ระบุว่า วิทยุชุมชนทั้ง 13 แห่งออกอากาศในลักษณะจาบจ้วงสถาบัน โดย 3 แห่งมีมวลชน นปช. มาปิดล้อมขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จึงเตือนผู้ที่ขัดขวางว่าจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และหากพบว่ามีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองให้การสนับสนุนก็จะขยายผลจับกุมให้ได้


“ขอยืนยันว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามพยานหลักฐาน ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทำตามคำสั่งของรัฐบาล อยากจะฝากประชาชนที่ฟังวิทยุดังกล่าว ส่วนหนึ่งเข้าใจว่าวิทยุชุมชนทำประโยชน์ให้กับชุมชน และประชาชน แต่อาจมีบางช่วงบางตอนที่ประชาชนไม่ได้ฟังผู้ดำเนินรายการพูดที่เข้าข่ายจวบจ้วงสถาบัน”


ส่วนข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงเข้มงวดจับกุมช่วงใกล้ยุบสภานั้น พล.ต.อ.วิเชียรให้เหตุผลว่า ได้รับการร้องเรียนเรื่องนี้มานานแล้ว และตรวจสอบพบว่ามีความผิดจริงตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมาว่ามีการกระทำผิดหลายอย่าง รวมถึงการกระทำเพื่อปลุกระดมประชาชนไปในทางที่ผิดเพื่อผลประโยชน์ในการเลือกตั้ง หากการสอบสวนขยายผลพบว่ามีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องจะมีผลต่อใบเหลืองและใบแดงในอนาคตด้วย


ต่อข้อถามว่ามีสถานีวิทยุชุมชนอื่นๆที่เข้าข่ายผิดกฎหมายอีกหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า จะมีการตรวจสอบ ต่อไป โดยเฉพาะสถานีวิทยุชุมชนในภาคเหนือ อีสาน และภาคใต้ ซึ่งพบว่ามีผู้ดำเนินรายการ 2 ราย จาก 14 สถานี เคยมีหมายจับในข้อหาหมิ่นเบื้องสูงของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยทำการเปิดซ้ำอีกจนถูกจับกุมในครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังจับตาเว็บไซต์อีก 326 เว็บไซต์ที่อาจมีการโพสต์ข้อความและบทความที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบัน


อ้างผิดกฎหมาย?


นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ผู้ก่อตั้งสถานีวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ และแกนนำ นปช. เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและ กสทช. ได้ขอหมายศาลตรวจค้นสถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง 13 แห่ง โดยเริ่มตรวจค้นที่ลำลูกกาก่อน แต่อีก 11 สถานีรู้ความเคลื่อนไหวจึงเอาเครื่องส่งออกหมด ส่วนสถานีลำลูกกาถูกยึดเครื่องส่งและอุปกรณ์ต่างๆ โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าผิดกฎหมาย ใช้วิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต


นายชินวัฒน์ให้ความเห็นว่า ถ้าเอากฎหมายนี้มาใช้ทุกสถานีทั่วประเทศก็ผิดกฎหมายหมด หากจับต้องจับหมด จึงจะหารือแกนนำ นปช. เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทราบว่าการจับครั้งนี้น่าจะเป็นเรื่องการเมือง เพราะโพลเลือกตั้งที่ออกมาทุกครั้งระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้ข่าวว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เองก็ถูกตำหนิ และมีผู้แนะนำว่า ถ้าปล่อยวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงก็จะเชียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะตีตื้นคงไม่ได้ จึงมีข่าวว่ามีการเรียกประชุมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและ กสทช. ใช้กฎหมายเก่าปี 2498 มาดำเนินการกับวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้บอกว่าวิทยุกระจายเสียง แต่บอกว่า “มีและใช้ตั้งวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต” หมายความว่าแม้แต่การใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือก็จับได้


ด้านนายจุติพงษ์ พุ่มมูล เลขาธิการสมาคมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมตัวแทนผู้ประกอบการวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง 13 สถานีที่ถูกปิด เข้ายื่นหนัง- สือต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และ สิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ตรวจสอบความถูกต้องและเป็นธรรมเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย โดยระบุว่า นอกจากมีการปิดสถานีวิทยุชุมชนบางแห่งที่มีใบขออนุญาตถูกต้องแล้ว ยังมีการปิดเว็บไซต์กว่า 2,000 เว็บไซต์ ถือเป็นการคุกคามสื่อและ 2 มาตรฐาน


ถอน-ยุบ-ยึด?


นายณัฐวุฒิกล่าวถึงการตรวจค้นวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง 13 แห่งว่า มองได้อย่างเดียวคือเป็นการปิดหูปิดตาประชาชน เป็นการเตรียมการปล้นประเทศครั้งใหญ่ จะเป็นการวางแผนทำรัฐประหารหรือไม่ เนื่องจากไม่มีเหตุอะไรที่ต้องปิดเวลานี้ วิทยุชุมชนมีจำนวนมาก แต่ทำไมเลือกปิดเฉพาะของคนเสื้อแดง หรือเป็นเพราะกลัวว่าวิทยุชุมชนจะเป็นกระบอกเสียงให้คนเสื้อแดง เพื่อกระจายข่าวให้คนต่อต้านการปฏิวัติ ซึ่งแกนนำ นปช. ได้มีมติเรียกร้องให้เจ้าของวิทยุชุมชนและผู้เกี่ยวข้องแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ขณะที่นายจตุพรตั้งข้อสังเกตว่า ขณะที่ชุดปฏิบัติหน้าที่บุกเข้าจับกุมนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่ ครม. อนุมัติงบลับให้ กอ.รมน. จำนวน 8,792 ล้านบาท เพื่อเตรียมการทำอะไรหรือไม่ ขณะที่กำลังมีการปลุกกระแสชาตินิยมให้ทำสงครามกับกัมพูชา การยึดวิทยุคนเสื้อแดงเพื่อจะยั่วยุให้คนเสื้อแดงออกมา จะได้ทำปฏิวัติใช่หรือไม่ หากเป็นจริงก็จะเกิดขึ้นภายใน 3 วันคือ วันที่ 30 เมษายน ถ้าเกิดการปฏิวัติจริงก็ขอให้ทุกคนออกมารวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย


ประชาชนตบเท้าแสดงพลัง


“หลังแกนนำคนเสื้อแดงปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ผบ.ทบ. ส่งลูกน้องไปแจ้งความดำเนินคดี จากนั้นมีทหารออกมาตบเท้าแสดงพลังกันไม่เว้นแต่ละวัน และยังมีการข่มขู่ คุกคาม นักวิชาการ นี่คือสัญญาณที่จะนำไปสู่ความรุนแรง เป็นการทำลายบรรยากาศก่อนมีการเลือกตั้ง”


นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกองทัพ และแถลงว่า กลุ่มอิสระต่างๆที่เป็นเสรีชนและปัญญาชนในโลกไซเบอร์ ได้รวมตัวเพื่อรณรงค์ให้ยกเลิกประมวลกฎหมาย มาตรา 112 เพราะเห็นว่าถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างกันทางการเมือง ซึ่งพวกตนไม่มีอาวุธหรือกองกำลังจึงไม่สามารถตบเท้าแสดงพลังได้ แต่จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการเข้าชื่อ 10,000 ชื่อ เพื่อเสนอยกเลิกมาตรา 112 ต่อรัฐสภา เพราะเห็นว่าหากยังมีข้อกำหนดนี้ไว้ต่อไปจะก่อให้เกิดความแตกแยกขยายตัวไปอย่างไม่รู้จบ และเป็นช่องทางที่จะใช้ปลุกระดมด้วยวิธีการนอกระบบกับคนที่เห็นต่างทางการเมืองอีกด้วย


นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด ได้ประกาศที่จะจัดการชุมนุมภาคพลเมืองของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงอีกครั้ง เพื่อแสดงการตบเท้าของพลังประชาชน โดยจะมีการชูป้าย “หน้าที่ของทหารต้องปกป้องประชาชน” เพื่อเป็นการตอบโต้กรณีทหารออกมาแสดงพลังตบเท้าสนับสนุน ผบ.ทบ. ที่ออกมาข่มขู่ คุกคาม เสรีภาพของนักวิชาการและประชาชนกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ให้แก้ไขมาตรา 112 ซึ่งมีการนำมาทำลายกันทางการเมือง


นักวิชาการโต้ทหารตบเท้า


ด้านมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนก็ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “การคุกคามเสรีภาพในการแสดงความเห็น คือการคุกคามประชาธิปไตย” โดยเรียกร้องให้สังคมไทยร่วมกันปกป้องเสรีภาพในการแสดงความเห็น และร่วมกันแสดงการคัดค้านต่อบุคคล สถาบัน การกระทำ หรือกฎหมายใดๆก็ตามที่คุกคามต่อเสรีภาพการแสดงความเห็นตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้สังคมไทยสามารถก้าวเดินต่อไปบนพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยเฉกเช่นนานาอารยประเทศได้อย่างสันติและเสมอภาค


เพราะประจักษ์ชัดว่ามีการคุกคามต่อเสรีภาพในการแสดงความเห็นจากฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทั้งการใช้อำนาจนอกกฎหมายและอำนาจตามกฎหมายที่ปรากฏอย่างชัดแจ้งและแฝงเร้น ทำให้คนจำนวนมากต้องเผชิญกับการคุกคาม แม้แต่การถูกจับกุมคุมขังเมื่อมีการแสดงความเห็นออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการดำเนินการหลายรูปแบบเพื่อปิดปากประชาชนภายใต้ข้อกล่าวอ้างเรื่องความจงรักภักดี และการปกป้องสถาบัน รวมทั้งกรณีการเคลื่อนไหวของนายทหารบางกลุ่มในระยะนี้


“สังคมไทยพึงตระหนักว่ากฎหมายของไทยมิได้เปิดให้มีการใส่ร้ายป้ายสีต่อบุคคล หรือสถาบันใดๆได้อย่างเสรี ตรงกันข้ามมีกฎเกณฑ์และบทลงโทษอย่างรุนแรงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ทหารจะต้องออกมาสำแดงกำลังแม้แต่น้อย อนึ่ง ในฐานะหน่วยราชการ หน้าที่หลักขององค์กรทหารย่อมอยู่ที่การปกป้องอธิปไตยของชาติ สถาบันทหารควรหลีกเลี่ยงจากการกระทำใดๆที่เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงบทบาทในทางการเมือง เพื่อป้องกันการนำสถาบันทหารเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ของบุคคล หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด”


อ้างเจ้า-ล้มแดง-ยุบเพื่อไทย?


การออกมาตบเท้าของกองทัพโดยอ้างเพื่อแสดงการปกป้องสถาบัน ขณะที่กำลังจะมีการยุบสภาและการเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน กอ.รมน. ก็อ้างส่งทหารลงพื้นที่ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการเลือกตั้ง และเผยแพร่การเทิดทูนสถาบัน แต่อีกด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มตรวจ ค้นและดำเนินคดีกับวิทยุชุมชน เว็บไซต์ของคนเสื้อแดง ซึ่งก็อ้างเรื่องสถาบันเช่นกัน


จึงมีคำถามว่าฝ่ายใดที่กำลังอ้างความจงรักภักดีมาจัดการกับฝ่ายที่มีความเห็นแตกต่าง ทั้งที่ทุกคนทุกฝ่าย โดยเฉพาะคนเสื้อแดงและแกนนำ นปช. ประกาศยืนยันมาตลอดว่าต้องการระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้แต่การให้สัมภาษณ์ล่าสุดผ่านสื่อต่างประเทศที่มีผู้แทนทูตและนักวิชาการนับร้อยร่วมรับฟัง


การเคลื่อนไหวของกองทัพวันนี้จึงทำให้หลายฝ่าย เชื่อว่ามีคนบางกลุ่มที่พยายามใช้สถาบันหรืออ้างเจ้าเป็น เครื่องมือในการทำรัฐประหารอีกครั้ง เพื่อทำลายคนเสื้อ แดงและใช้เป็นเงื่อนไขยุบพรรคเพื่อไทย เหมือนครั้งที่กลุ่มคนเสื้อเหลือง กองทัพ และพรรคการเมืองบางพรรคนำสถาบันมาทำลายระบอบทักษิณ โดยกล่าวหาว่าหมิ่นเบื้องสูง นำไปสู่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
แม้มีการเลือกตั้งแต่ก็มีคำถามว่าจะบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ ถ้าผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยได้เสียงมากที่สุดจะตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ หรือถ้าพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้จะอยู่ได้นานหรือไม่ หรือหากมีการยุบพรรคเพื่อไทยหลังการยุบสภา สมาชิกพรรคเพื่อไทยก็หมดสิทธิที่จะสมัครรับเลือกตั้งเช่นกัน แม้จะตั้งพรรคเพื่อธรรมสำรองไว้ ก็ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองภายใน 30 วัน ก่อนการเลือกตั้ง

ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีการคาดการณ์ว่าแม้แต่หลังการยุบสภาก็อาจเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจนไม่มีการเลือกตั้ง และต้องใช้มาตรา 7 เพื่อตั้งรัฐบาล หรือไม่ว่าจะเป็นการลาออกของกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จนไม่สามารถทำหน้าที่ได้นั้นก็ยังมีความเป็นไปได้ หรือเกิดความวุ่นวายจน กกต. ไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้ง ได้ ซึ่งการ “อ้างสถาบันหรืออ้างเจ้า” เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขทางการเมืองเป็นไปได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพื่อทำลายคนเสื้อแดงและยุบพรรคเพื่อไทยล้างระบอบทักษิณให้สิ้นซาก


หรือสุดท้ายเราจะกลับสู่วงจรอุบาทว์คือ “รัฐ ประหาร” อีกครั้ง!!


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...นอกจากประเทศไทยมี “พระสยามเทวาธิราช” คอยปกป้องคุ้มครอง “คนดี” อยู่คู่บ้านคู่เมืองแล้ว


เรายังมี “การรัฐประหาร” อยู่ยงคงกระพันคู่บ้านนี้เมืองนี้ไปอีกนานแสนนาน...



ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 308 วันที่ 30 เมษายน – 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
http://redusala.blogspot.com