วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

อนาคตชวนองคมนตรี


"อวยกันเองอนาคตชวนองคมนตรี" :"ฤดูวิปริตไส้เดือนเหนือ-อีสาน"
ชวน หลีกภัย รับรางวัล สัญญา ธรรมศักดิ์ นักกฎหมายดีเด่น

http://internetfreedom.us/thread-19661.html

ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีการจัดงานวันสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2554 โดยมีบุคคลสำคัญและผู้แทนหน่วยงานต่างๆ เดินทางมาร่วมพิธีวางพานพุ่มและช่อดอกไม้สักการะอนุสาวรีย์ ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ โดยมีธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี อดีตประธานองคมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นประธานมอบรางวัล 



ในงานดังกล่าวมีการมอบรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2554 ให้แก่นักกฎหมายดีเด่น ที่พร้อมด้วยคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และอุทิศตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม ซี่งผู้รับรางวัลได้แก่ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ 
....................................

พวกว่างงาน ไม่มีเรื่องทำก็"อวยกันเอง"
เส้นทางอนาคตนายชวน ถ้าระบบอำมาตย์ยังคงอยู่ก็คงไม่พ้นตำแหน่ง "องคมนตรี"


vvvvvvvvvvvvvvvvvvvv
"ไส้เดือน"แถบเหนือ-อีสานเลิกอพยพ สะท้อนฤดูกาลวิปริต 

นักวิชาการเผยสามปีหลังปรากฏการณ์ไส้เดือนอพยพเริ่มหายสะท้อนฤดูกาลโลกเปลี่ยนแปลง นักวิชาการแนะคนไทยเตรียมรับมือผลกระทบอากาศวิปริต

รศ.อานัฐ ตันโช นักวิชาการภาควิชาทรัพยากรดินและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เผยถึงปรากฏการณ์ไส้เดือนอพยพที่เกิดขึ้นในภาคเหนือและภาคอีสานว่า ไส้เดือนอพยพเป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นปกติ เป็นการเคลื่อนที่ออกจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมไปสู่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่ไส้เดือนอพยพมาก เป็นการอพยพจาก ใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดินแล้วเคลื่อนที่ไปหาน้ำเพราะธรรมชาติของไส้เดือนต้องมีผิวหนังท​ี่ชื้นตลอดเวลา เพราะต้องใช้ผิวหนังในการหายใจ

ที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์ไส้เดือนนับล้านตัวอพยพครั้งละเป็นแสนล้านตัวไปในทิศทางเดีย​วกัน ภาพเหล่านี้มีบันทึกไว้ที่บ้านป่าแป๋ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ กินเวลาถึง 7 วัน เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นยอดดอยมีอากาศเย็นและไส้เดือนไม่ชอบอากาศหนาวจึงมีการเคลื่อ​นที่หาเขตที่อบอุ่นกว่า

ที่ผ่านมามีการอพยพของไส้เดือนเป็นปกติ แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ได้หายไป แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสภาพแวดล้อมไม่เหมือนเดิม บ่งชี้ได้ว่าโลกร้อนขึ้น ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนไปธรรมชาติไม่เหมือนเดิมและสิ่งแวดล้อมก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป​ มนุษย์ต้องรับมือกับวิกฤตจากความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่เกิดขึ้น

................................

ทำไมถึงเป็นเฉพาะไส้เดือนเหนือกับไส้เดือนอีสาน 
แล้วไส้เดือนใต้ล่ะ
เหี้ยกันเข้าไปเถิด กูรู้มานานแล้ว ว่้าพวกมึงไม่ผิด


ในที่สุด พันธมิตร ก็หลุดคดีก่อการร้ายสากล ยึดสนามบิน
อัยการนัดสั่งคดีแนวร่วมพันธมิตรฯ บุกสนามบิน 10 พ.ค. 
http://internetfreedom.us/thread-19683.html

กรุงเทพฯ 5 เม.ย. - พล.อ.ปฐมพงษ์ และแนวร่วม พธม. 10 คน รายงานตัวอัยการ พนง.สอบสวน หอบหลักฐานร่วมแสนหน้า สั่งฟ้องมั่วสุมตั้งแต่ 10 คน บุกดอนเมือง-สุวรรณภูมิ ส่งอัยการนัดสั่งคดี 10 พ.ค. อธิบดีอัยการคดีอาญา ระบุสั่งสอบเพิ่มสำนวน “ไชยวัฒน์” กับพวก 3 คนแล้ว รอคัดคำพิพากษาศาลแพ่งสั่งพันธมิตร ฯ ชดใช้ ทอท.พิจารณาพร้อมสำนวนใหม่ด้วย

ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.30 น. พ.ต.อ.เอกรัตน์ ลิ้มสังกาศ ผกก.สส.บก.น.9 พนักงานสอบสวน คดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบิน สุวรรณภูมิ นำตัว พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค น.ส.เมธาวดี เบญจาราชจารุนันธ์ นายอัมรินทร์ คอมันตร์ นายสุทิน วรรณบวร น.ส.ราตรี ชวนบุญ นางอัจฉรา สุวรรณวาศ นายอธิวัฒน์ บุญชาติ นายไทกร พลสุวรรณ และ น.ส.ต้นฝัน แสงอาทิตย์ ผู้ต้องหาซึ่งได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน เข้ารายงานตัวต่อนายวิเชียร ถนอมพิชัย อัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 พร้อมส่งมอบสำนวนหลักฐานจำนวน 26 ลัง เอกสารกว่า 80,000 หน้า และความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 10 คน ข้อหากระทำการแสดงให้ปรากฏด้วยวาจาอันไม่ใช่ความมุ่งหมายตามรัฐธรรมนูญ มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวาย ฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และข้อหาอื่น ๆ แต่ไม่ปรากฏข้อหาร่วมกันก่อการร้าย เพื่อพิจารณาสั่งคดี 

http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/191379.html

ที่ดึงคดีพวกเส้นใหญ่มาสองปีเศษ ก็คงหวังให้คนลืมๆ เลือนๆ ลดเหลือแค่บุกรุกสนามบิน อนาถแท้ประเทศไทย

ใบเหลืองปลอมมาแล้วจ๊า ประชาธิปัตย์
http://internetfreedom.us/thread-19685.html


หนังสือต้องห้าม : เอาชนะความกลัวพระบรมเดชานุภาพ
http://internetfreedom.us/thread-19717.html

[Image: Overcoming%2BFear%2Bof%2BMonarchy%2Bin%2...Thai-1.jpg]


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
5 เมษายน 2554


หนังสือ เอาชนะความกลัวพระบรมเดชานุภาพ:
Overcoming Fear of Monarchy in Thailand
เขียนโดยจรรยา ยิ้มประเสริฐ
นักกิจกรรมด้านแรงงาน

( เธอไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เพียงแต่นามสกุลพ้องกัน และอุดมคติคล้ายกัน )

จรรยาเปิดเผยว่า หนังสือฉบับนี้เขียนขึ้นมาด้วยจุดประสงค์เพื่อถอดมายาภาพที่ปรุงแต่งแวดล้อมสถาบันพร​ะมหากษัตริย์ เพื่อที่ประชาชนในประเทศไทย จะได้ปฏิบัติตัวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในฐานะแห่งมนุษย์ที่เคารพในศักด์ศรีแห่งความเป็น​มนุษย์ซึ่งกันและกัน

เป็นการเขียนด้วยความรักในประเทศชาติ เป็นการเขียนเพื่อต้องการเห็นทั้งสังคมไทยพัฒนาก้าวหน้า เป็นสังคมแห่งการใช้เหตุผล เป็นสังคมที่คนทั้งสังคมสามารถใช้ภูมิปัญญาและองค์แห่งความรู้ (อันจำเป็นยิ่งในสภาวะแห่งวิกฤติธรรมชาติในปัจจุบัน) เพื่อพัฒนาขับเคลื่อนไปด้วยกันด้วยความรัก ความเข้าใจ มุ่งหน้าสู่เส้นทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เคารพทุกวิถีชีวิต วิถีการพัฒนาที่เคารพ รักษาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และเคารพในความหลากหลายของทุกสรรพสิ่ง

การจะก้าวไปสู่จุดนั้นได้ สังคมต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นและคำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกฝ่าย ในสิ่งที่คิดว่าไม่สอดคล้องกับตรรกะแห่งเหตุผลด้วยเหตุผล โดยเฉพาะต่อกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายใต้การดูแลของงบประมาณของแผ่นดิน 2,000,000,000,0000 บาท (สองล้านล้านบาท) ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทน วุฒิสมาชิก และผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการใช้งบประมาณแผ่นดินทุกคน

หนังสือเล่มนี้ด้วยหลักฐานอ้างอิงมากมายของแหล่งที่มาของข้อมูล มันคืองานวิชาการชิ้นหนึ่งที่ไม่ควรถูกแบน หรือถูกเซ็นเซอร์ หรือถ้าหนังสือเล่มนี้จะเป็นหนังสือต้องห้าม ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ที่คำโปรยหลังว่า . .

"เมื่อการใช้เสรีภาพในการพูดหรือนำเสนอความคิดเห็นด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อบทบาทของสถา​บันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อการเมืองไทย เพราะต้องการเห็นประชาชนในประเทศไทยมีสิทธิ เสรีภาพ และมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ในการกำหนดอนาคตที่ดีกว่านี้ ของตัวเองและของลูกหลาน ถูกนิยามว่าเป็นอาชญากรรมที่ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประชาชนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจำเป็นจะต้อง “หมิ่นฯ”

พร้อมกันนี้ ขอคัดคำนำมาเผยแพร่ในที่นี่ . .

การลุกขึ้นสู้ของประชาชนเพื่อขับไล่เผด็จการสุจินดา คราประยูร มาถึงจุดเดือดในเดือนพฤษภาคม 2535 มีรายงานผู้เสียชีวิต 48 คน จากการปราบปรามของทหารในเหตุการณ์ครั้งนี้

เป็นไปตามธรรมเนียมการเมืองไทย พระบาทสมเด็จระเจ้าอยู่หัวทรงเชิญให้แกนนำทั้งสองฝ่ายเข้าเฝ้าและอภัยโทษให้ทุกฝ่ายท​ี่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งพระราชทานนายรัฐมนตรี ที่แม้ไม่ได้มาจากกระบวนการเลือกตั้ง แต่ก็ได้ผ่านร่างกฎหมาย 267 ฉบับภายในปีเดียว


นี่คือรูปธรรมการเมืองไทย “ประชาธิปไตยแบบไทยภายใต้พระมหากษัตริย์” อันเป็นนิยามแห่งความสับสน และการเมืองแห่งการขอโทษที่เราทำได้แค่นี้ ที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่รอยครั้งแล้วครั้งเล่า ตามธรรมเนียมวิถีที่ตั้งอยู่บนการสร้างความหวังลมๆ แล้งๆ คนไทยจำนวนไม่น้อยที่มองโลกในแง่ดี ต่างก็หวังว่าเหตุการณ์พฤษภาเลือดปี 2535 จะเป็นการนองเลือดครั้งสุดท้ายที่กองทัพไทยกระทำกับประชาชนคนไทย และจะเป็นการสิ้นสุดได้เสียทีแห่งการเมืองคอรัปชั่น ผู้นำที่ละโมภโลภมากและโง่เขลาเบาปัญญาทางการเมือง ที่มีมาต่อเนื่องยาวนานนับตั้งแต่ปี 2490 เมื่อทหารไทยได้เริ่มต้นกระวนการบดขยี้ขบวนการประชาธิปไตยของไทยที่เพิ่งผลิใบ

การเลือกตั้งที่ตามมาหลังจากเหตุการณ์พฤษภาเลือด ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเริ่มมีความหวังกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนจนไ​ด้รัฐธรรมนูญ (ฉบับประชาชน) ปี 2540 ได้ระบุถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนบางด้านที่เคยถูกปฏิเสธ อาทิเสรีภาพในการรวมตัวแสดงออกซึ่งความคิดเห็น แต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ก็ไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์ การจะขจัดปัดเป่าปัญหาคอรัปชั่นที่ฝังรากลึกในกลไกของรัฐ ทหาร ตำรวจ และรวมทั้งในวัฒนธรรมการเมืองของไทยมาอย่างยาวนาน ต้องการมากกว่าเพียงแค่มีการระบุไว้ในมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ

สัญญาณแห่งการพัฒนาที่มีทีท่าว่าจะเป็นไปด้วยดีเหล่านี้ ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดโดยรัฐประหารปี 2549 ที่โค่นทักษิณได้สำเร็จ รวมทั้งยังได้ผลักประเทศไทยให้มุ่งหน้าสู่สงครามกลางเมือง

รัฐประหาร 2549 ทำให้คนไทยที่เคยแต่เพียงเฝ้ามองเหตุการณ์เมืองไทยอยู่รอบนอก จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถทนดูนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และเข้ามาร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หลายคนได้ลุกขึ้นมาทลายความกลัวแห่งกฎหมายเหล็ก “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า เพราะเหตุใด ในรอบ 6 ทศวรรษที่ผ่านมา ความหวังและแรงบันดาลใจเพื่อสร้างสังคมที่ดีงามของพวกเขา จึงถูกบดขยี้และทำให้ขยับเยื้อนไม่ได้จากอำนาจของคณะองคมนตรี ทหารรักษาพระองค์ และพวกหัวหน้าผู้พิพากษาต่างๆ

ประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ร่วมครึ่ง หรือมากกว่าครึ่งของประชากรทั้งประเทศยังคงดำรงวิถีชีวิตด้วยการพึงพิงอาหารที่ครอบค​รัวผลิตจากไร่นาของตัวเอง โดยมีครอบครัวเกษตรกร 5.7 ล้านครอบครัว ซึ่งนับเป็นตัวแทนของประชากรไม่ต่ำกว่า 40% ของทั้งประเทศ และในจำนวนนี้มีเกษตรกรไม่ต่ำกว่า 40% ที่มีที่ดินทำกินไม่ถึงสิบไร่ หรือต้องทำนาด้วยระบบแบ่งผลผลิตกับเจ้าของที่ดิน หรือเป็นเกษตรกรที่ต้องเช่าที่ดินทำกิน และจำนวนมากต้องสร้างรายได้เสริมจากการเดินทางไปเป็นแรงงานรับจ้างนอกพื้นที่จากจำนว​นเงินกู้ทั้งหมดในประเทศไทย 45% เป็นเงินที่มาจากการกู้นอกระบบที่กระทำในตลาดมืด และคิดดอกเบี้ยกันในอัตรามหาโหด ส่วนมากจะคิดดอกเบี้ยกันเป็นรายเดือน

หนี้สินของครอบครัวเกษตรกรโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 300,000 บาทต่อครัวเรือน สูงกว่าหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนของประชาชนทั้งประเทศเกือบเท่าตัว สวัสดิการสังคมที่มีอันจำกัดและครอบคลุมกำลังแรงงานเพียง 27% ของจำนวนแรงงานทั้งหมด 38 ล้านคน คนงานที่ถูกจัดในกลุ่ม “แรงงานจ้างงานตัวเอง” ที่มีประมาณ 24 ล้านคน ไม่ได้รับสวัสดิการทางสังคมใดๆ และก็เผชิญความยุ่งยากต่างๆ นาๆ ในการเข้าถึงการใช้บริการการรัษาฟรีของรัฐบาล สรุปสั้นๆ ก็คือ 70% ของประชากรในประเทศไทย ต่างก็มีชีวิตอยู่บนชะตากรรมที่ไม่มีสวัสดิการทางสังคมใดๆ เลย

ประเทศไทยถูกจัดอยู่ที่ลำดับ 73 ของดัชนีชี้วัดการพัฒนาของสหประชาชาติเมื่อปี 2548 แต่ในการจัดลำดับประจำปี 2554 เราตกร่วงลงมาอยู่ที่ลำดับที่ 92

หนังสือฉบับนี้ เป็นบทความต่อเนื่องจากสองบทความขนาดยาวที่เขียนขึ้นมาก่อนหน้านี้ ได้แก่ “ไพร่สู้ บนเส้นทาง 78 ปีประชาธิปไตย” (2552-2553) และ “ทำไมถึงไม่รักxxx (2553) แต่บทความเรื่องนี้เจาะลึกลงไปมากขึ้นถึงอำนาจของลัทธิศักดินาที่ยังคงคุมขังและทรมา​นพัฒนาการทางสังคมและการเมืองของคนในประเทศไทยอยู่จนถึงปัจจุบัน


อนึ่งหนังสือเล่มนี้จะเป็นเอกสารหลักที่่ใช้ประกอบการบรรยายที่เวทีเสวนา "เบืองหลังวิกฤติประเทศไทย" ที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ในวันที่ 10 เมษายน 2554 เพื่อร่วมรำลึกถึงมรณกรรม 10 เมษายน 2553 ครบรอบ 1 ปี

[Image: Behind%2Bthe%2BThai%2BCrisis%2BflyerThai2.jpg]
จดหมายแฉ(ฉบับที่ 3)ของคุณชุติมา แสนสินรังษี
http://internetfreedom.us/thread-19720.html



[Image: index.php.jpeg]

โดย ณ รักคนเสื้อแดง เมื่อวันอังคาร ที่ 05 April 2011

****จดหมายฉบับที่ 3 ลงวันที่ 5 ธันวาคม 2553***

เรื่อง "ตาสว่างจะบังเกิด"

กราบเรียน คณะท่านนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานศาลฏีกา
และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน

ข้าพเจ้า น.ส.ชุติมา แสนสินรังษี ได้ทำหนังสือฉบับนี้ขึ้นด้วยความจริงทุกประการ โดยปราศจากความบังคับ ขู่เข็ญ หรืออคติใดๆ ต่อบุคคลใด หรือองค์กรใดๆทั้งสิ้น ข้าพเจ้าครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ว่าเหตุใด ข้าพเจ้าจึงถูกออกหมายจับโดยพนักงานสอบสวน ทั้งที่ข้าพเจ้ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับความผิดต่างๆเลย เชื่อได้ว่าต้องเป็นปัจจัยต่างๆดังที่ข้าพเจ้าจะได้บรรยายดังต่อไปนี้

1.ข้าพเจ้าปฎิบัติหน้าที่อยู่หน้าห้องประธานศาลรัฐธรรมนูญ นาย ชัช ชลวร ตั้งแต่ปฎิบัติหน้าที่ลูกจ้างชั่วคราวตามโครงการ จนหลังสุดในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญศาล เพราะท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญไว้ใจข้าพเจ้า มอบหน้าที่สำคัญน้อยใหญ่ทั้งใน และนอกเวลาราชการ และให้ความเป็นกันเองจนถึงที่สุึด ซึ่งบางขณะที่ท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญประชุมลับในสถานที่ต่างๆ เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเตรียมอาหาร ของว่าง ท่านก็ไม่ได้หยุดการหารือ จึงทำให้ข้าพเจ้าได้ทราบถึงประเด็นสำคัญระดับประเทศหลายครั้ง หลายครา ตัวอย่างเช่น ครั้งที่มีการประชุมนอกรอบที่โรงแรม ปาร์คนายเลิศ ข้าพเจ้าได้เห็นและได้ยินท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญ และท่าน เฉลิมพล เอกอุรุ นางพรทิวา ไสวสุวรรณวงษ์ พ.ต.สุรทัศน์ บุนนาค นายพศิษฐ์ ศักดาณรงค์ และเจ้าของโรงแรมชื่อแต๊ก กับผู้ช่วยชื่อประสิทธิ์ ได้หารือกัน โดยนายเฉลิมพล เอกอุรุ เสนอให้ยุบพรรคการเมืองให้ทั้งหมด 3 พรรค โดยท่านพูดในขณะที่นางพรทิวา เดินไปเข้าห้องน้ำ ท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญเห็นด้วย ส่วนนายพศิษฐ์พูดว่า ให้ว่าไปตามถูกผิด ท่านประะานฯจึงมอบหมายให้นายพศิษฐ์ ติดต่อคณะตุลาการทุกท่าน หารือความคิดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยสั่งห้ามไม่ต้องตาม"ไอ้จุ๊ย"มันเป็นพวก"บรรหาร" เดี๋ยวก็มาป่วนจนเสียงแตก เป็นคำพูดของประธานศาลรัฐธรรมนูญสั่งกับนายพศิษฐ์ ส่วนท่านเฉลิมพล เอกอุรุ ก็พูดว่า พวกเสื้อแดงคงจะล้อมศาลเรา จะเอายังงัยกันดี....แต่ผมจะล็อบบี้เสียงตุลาการให้ยุบทั้ง 3 พรรคเอง เดี๋ยวคืนนี้เราเปิดห้องแล้วผมจะจัดการ ท่านประธานก็ช่วยอีกแรงก็แล้วกัน นางพรทิวาไม่ได้เดินกลับมา แต่ได้ไปเตรียมคำวินิจฉัยตามธง ได้ยินท่านประธานโทรศัพท์สั่งให้ไปทำที่ ทาวเวอร์ปาร์ค ครั้นพอตกดึก คณะตุลาการก็มาประชุมกันทุกท่านที่โรงแรมปาร์คนายเลิศ ยกเว้น นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ และนายนุรักษ์ มาปราณีต จากนั้นก็มีการประชุมกันในห้องสวีท ข้าพเจ้าจัดเตรียมอาหารว่าง และน้ำชาเสิรฟ์แก่ตุลาการทุกท่าน มีมติยุบทั้ง 3 พรรค โดยท่านอุดมศักดิ์ มิติมนตรีพูดว่า ประสานไปที่ศาลปกครองแล้ว พรุ่งนี้ไปอ่านที่นั่นกันได้เลย นายพศิษฐ์ได้รับมอบหมายอะไรไม่ทราบ เพราะปิดประชุมห้องประชุมเล็ก ถัดจากนั้นนายพศิษฐ์ก็สั่งให้ข้าพเจ้ากลับบ้าน และไม่ต้องไปศาลปกครองในวันรุ่งขึ้น กำชับนักหนาว่า วันนี้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร

2.จากนั้นข้าพเจ้าได้เห็นนายบุญนาค ทรวดทรง และนายวิจิตร พนักงานขับรถของท่านประธานเดินสวนกลับข้าพเจ้าบริเวณลิฟท์ด้านล่าง ข้าพเจ้าได้ยินได้เห็นว่าท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายพศิษฐ์ให้ต่อ โทรศัพท์ โดยใช้เครื่องของนายพศิษฐ์ ไปถึงนายพีระพันธ์ (กระทรวงยุติธรรม) และท่านประธานพูดจานัดแนะให้นายพีระพันธ์ กับนายพศิษฐ์ไปพบกัน โดยท่านประธานสั่งว่าอัดภาพและเสียงมาด้วย จากนั้นข้าพเจ้าก็ไปพบนายพีระพันธ์ พร้อมกับนายพศิษฐ์ ที่ร้านแพลทฟอร์มใกล้สถานีรถไปสามเสน โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ข้อ1 ข้างต้น หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ที่ร้านอาหารเดิมประมาณ 20 นาฬิกา มีการปิดห้องคุยกัน 3 คน ประกอบไปด้วยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในขณะนั้น นายพีระพันธ์ สารีรัฐวิภาค และนาย พศิษฐ์ ศักดาณรงค์ พูดคุยกันชั่วโมงเศษ วันนั้นเป็นวันเดียวกับที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ประกาศ พรบ.ฉุกเฉินบางพื้นที่ เมื่อพูดคุยกันเสร็จ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินออกมาพูดกับข้าพเจ้าว่า ขอบคุณมากอุตสาห์เฝ้าหน้าห้องให้ แล้วจึงแยกย้ายกันกลับ

3.ข้าพเจ้าได้มีโอกาสติดตามท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายพศิษฐ์ ศักดาณรงค์เดินทางไปยังห้องประชุมใหญ่กองทัพบก ตรงข้ามสนามมวยราชดำเนิน เพราะมีแฟ็กซ์ของฝ่ายทหาร เรียกหน่วยงานข้าราชการเข้าประชุม โดยขณะเดินทาง นายพศิษฐ์ พูดกับประธานว่า ไม่น่ามาเลย มีประชุมตุลาการอยู่ ท่านประธานกล่าวตอบว่า โอกาสทองมาแล้ว เขาเชิญประธานศาลรัฐธรรมนูญด้วย เดี๋ยวพี่จะหาทางโน้มน้าวไม่ให้อนุพงศ์ปฏิวัติ ปอยไปติดต่อ สรรเสริญ แก้วกำเนิด พี่เลิกประชุมกันแล้ว อยากขอพบเป็นการส่วนตัว จะได้บอกวันยุบพรรค ปอยว่าเขาจะเลิกคิดปฎิวัติมั๊ย นายพศิษฐ์ตอบว่าคือ 1 เลิกคิดปฎิวัติ 2 กลัวถูกนายกปลด ไม่ก็ไปประจำสำนักนายก ตรงนี้เดี๋ยวปอยกล่อมเอง ซึ่งเป็นไปตามที่วางแผนไว้ หลังพลเอกอนุพงศ์ เผ่้าจินดา ประชุมหัวหน้าหน่วยราชการเสร็จ นายพศิษฐ์ กับ สรรเสริญ แก้วกำเนิด เชิญท่านประธานขึ้นไปพบพลเอกอนุพงศ์ที่ห้องทำงาน โดยมี ทส.ชื่อปริญบอกให้ข้าพเจ้่ารออยู่หน้าห้องโดยทั้ง 3 คน คุยกัน 20 นาที เมื่อออกมา พลเอกอนุพงศ์พูดกับนายพศิษฐ์ว่าเป็นหลานพลโทวิทยา แล้วจึงเดินมาส่งที่ลิฟท์ และโค้งคำนับด้วยความสุภาพยิ่ง แต่ท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญ พ.อ.สรรเสริญได้เดินมาส่งพวกเราทุกคนในรถ ขณะเดินทางกลับ ท่านประธานศาลพูดกับนายพศิษฐ์ว่า"ปอยกล่อมเก่งไม่ปฏิวัติแล้ว พี่ไม่หลุดเก้าอี้แล้ว ไม่งั้นฉิบหาย มานั่งได้แป๊บเดียว เดี๋ยวปอยก็นัดน้าตุ๋ยกับอภิสิทธิ์ บอกให้เตรียมพลิกขั้ว พี่จะคุมเสียงไม่ให้แตก เที่ยวนี้ผลงานชิ้นโบว์แดง ได้เป็นองคมนตรีแน่

4.ข้าพเจ้า ได้ยินได้เห็นท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายพศิษฐ์ให้อัดภาพและเสียงโดยพูด ว่า ปอยไปหลอกจรูญ กับสุพจน์ ให้มันรับเรื่องโกงข้อสอบ และอัดเด็กๆของพวกมันด้วย มันจะโค่นพี่ลงจากประธาน แล้วไปรวมหัวกับไอ้เชื้อโรคแล้วรีบเอามาให้พี่เร็วที่สุด ไม่ต้องไรท์ลงซีดี เีดี๋ยวพี่ให้คนทำด่วน แล้วหันสั่งข้าพเจ้าว่า ปุ๊กหยิบเครื่องอ่านตัวเล็กสิ ข้าพเจ้าจึงหยิบส่งให้ท่านประะาน แล้วเดินออกไปนอกห้อง

5. ข้าพเจ้าได้เห็นและได้ยินท่านประะานศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายพศิษฐ์ว่า พี่จะไปเมืองนอก ปอยช่วยไปวิ่งรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ให้พี่หน่อย เอาแบบรับรองผล 100% นายพศิษฐ์บอกว่า"พี่ไม่ต้องเป็นห่วง"

6.ท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนถ่านแบตเตอรี่กระเป๋าใบ หิ้วขนาดเล็กซึ่งภายในบรรจุกล้องอัดภาพและเสียงขนาดเล็ก ก่อนลงไปประชุมคณะกรรมการตุลาการเกือบทุกครั้ง

7.ท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญพูดกับข้าพเจ้าเสมอว่า"ผมไว้ใจปุ๊กมาก อะไรที่ส่งเสริมได้ผมก็จะส่งเสริม ไม่ใช่มีแต่จรูญคนเดียวที่ส่งเสริมปุ๊ก ตั้งใจทำงานดีดี อย่าซุ่มซ่าม

8.ข้าพเจ้าได้ยินนายพศิษฐ์โทรศัพท์คุยกันกับท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายพศิษฐ์พูดว่า "พี่วิรัช กับวรวุชนัดปอยอีก เอางัยพี่" แล้วนายพศิษฐ์หัวเราะ แล้วพูดต่อว่า"โอเคครับพี่"นายพศิษฐ์นั่งนิ่งไปสักพักแล้วพูดต่อไปว่า"อย่า ทำเลยพี่ มันแรงไป" แล้วนั่งฟังโทรศัพท์ไปอีกพักหนึ่งแล้วพูดว่า"ปอยเอาอีกเครื่องโทรบอกชวนนท์ แล้วขอใช้ร้านพูดดี้ด่วน ถ้าพี่จะทำพี่สั่งคนมาทำเองแล้วกัน จากนั้นนายพศิษฐ์เดินไปร้าน พูดดี้กับข้าพเจ้า โดยมีชายผิวคล้ำรูปร่างสันทัดรออยู่ที่ชั้น 2 ห้องอาหารดังกล่าว นายพศิษฐ์ส่ายศรีษะ จากนั้นข้าพเจ้ากับนายพศิษฐ์จึงสั่งอาหารมารับประทานที่ชั้น 2เป็นห้องพิเศษไม่มีผู้อื่นอยู่ นายพศิษฐ์รับโทรศัพท์แล้วพูดว่า"พี่วุธ ไม่ต้องรับแถลงตอนนี้อยู่สภาใช่มั๊ยขับเองก็อย่างนี้แหละ"แล้วก็วาง จากนั้นข้าพเจ้าเห็นนาย วิรัช ร่มเย็น นายวรวุธ จึงทักทายและทานอาหารร่วมกันทานไปได้สักครู่นายพศิษฐ์สั่งให้ข้าพเจ้าเดินไป รอข้างล่าง ทั้งที่ข้าพเข้ายังรับประทานอาหารอยู่ ข้าพเจ้าจึงเดินไปรอข้างล่าง แล้วนายพศิษฐ์จึงโทรเรียกขึ้นไปอีกครั้งหนึ่ง โดยมอบโทรศัพท์และสูทสีเขียวของสถาบันพระปกเกล้า พร้อมสั่งข้าพเจ้าว่าเอาลงไปข้างล่าง ขณะนั้นทุกคนเพื่งเริ่มรับประทานอาหารไปได้สักพักโดยนายวรวุธมองหน้า ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงลงไปรอข้างล่างจากนั้นครึ่งชั่วโมงนายพศิษฐ์ก็โทรศัพท์อีก

9.ข้าพเจ้าได้ยินท่านประธานศาลฯสั่งเลขาธิการและนายพศิษฐ์ที่หน้าลิฟต์วีไอ พีชั้น 9 ก่อนลงประชุมคณะตุลาการว่าโครงการใหญ่ ลองช่วยไปดูหน่อยเด็กท่าน...(ขอไม่เอ่ยชื่อ)..อยากได้แบบเขาไม่มีกำไรเลย นายพศิษซ์หัวเราะและส่ายศรีษะ ส่วนท่านเลขาฯเกาศรีษะ แล้วนายพศิษฐ์พูดว่า"ใครดีใครได้ครับ ไม่รู้ดีจากอะไร ได้จากอะไร พี่ว่างัย" เลขาตอบว่ามันเป็นเรื่องของกรรมการ

10.ข้าพเจ้าเดินทางไปพบประธานศาลรัฐรรมนูญที่บ้านพร้อมนายพศิษฐ์ เวลานั้นข้าพเจ้ารออยู่ในรถ ส่วนนายพศิษฐ์เดินเข้าไปพบท่านประธานศาลฯในบ้านใช้เวลาประมาณ 20 นาที นายพศิษฐ์เดินออกมาขับรถตามท่านประธานไปที่ศาล นายพศิษฐ์ไปถึงก่อน ข้าพเจ้าจึงเตรียมกาแฟไว้ให้ท่านประธานขณะที่เดินเข้าไปในห้องท่านประธาน เพื่อเสิรฟ์กาแฟนั้นข้าพเจ้าได้ยินนายพศิษฐ์พูดกับท่านประะานว่ารายชื่อ สรรหาที่ล็อกไว้ ปอยให้คุณหญิงจารุวรรณที่ศาลปกครองแล้วเมื่อเช้าก่อนที่จะไปหาพี่ที่บ้าน พี่น่าจะให้โควต้าจรูญบ้าง ตุลาการคนอื่นๆบ้างเหมือนกัน ท่านประธานตอบว่า นี่เป็นอำนาจของประธานที่เป็นกรรมการสรรหาไม่ใช่พวกมัน ปอย 40 พอดีพี่จะวิ่งให้เองตั้ง 6 ปี แต่ปอยตอบว่าไม่เห็นอยากเป็นเลย จากนั้น 2-3วันข้าพเจ้าพบนายจรูญชั้น 9 ท่านถามข้าพเจ้าว่า"ปุ๊ก ชัชมันเตรียมชื่อสรรหาสว.เสร็จรึยัง พอรู้บ้างมั๊ย" ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า ไม่แน่ใจค่ะ ท่านจรูญพูดว่า ไปสืบให้หน่อย อย่าลืมน่ะผมช่วยคุณผ่านผู้เชี่ยวชาญฯ คนของผมเขาก็อยากเป็น..ช่วยกันบ้าง..แล้วก็เดินไป

**หมายเหตุผมคัดลอกมาแค่บางส่วนของจดหมายฉบับที่ 3 จากทั้งหมด 4 ฉบับ**
เขียนโดย หน่วยงานลับแดงใต้ดิน ที่ วันอังคาร, เมษายน 05, 2011

ที่มา:http://www.prachatalk.com/สังคม-การเมือง/จดหมายแฉ(ฉบับที่ 3)ของคุณชุติมา-แสนสินรังษี
น่าสงสารวู๊ดดี้
http://internetfreedom.us/thread-19725.html


"วู้ดดี้"เชื่อเทปสัมภาษณ์"ฟ้าหญิงฯ"ทำให้คนไทยมีความสุข


วู้ดดี้ - วุฒิธร มิลินทจินดา กล่าวถึงรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ในคืนวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเทปซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระราชทานวโรกาสพิเศษให้สัมภาษณ์ ว่า ยอมรับว่าตั้งแต่ถ่ายทำ ตัดต่อ และนั่งดูรายการออกอากาศมีความสุข ตนคิดว่าเป็นความสุขที่พี่น้องคนไทยได้รับกลับมา และมีพลังเดินหน้าต่อไป "ผมว่าดูได้อะไรมากจากเทปนี้" วู้ดดี้กล่าว



"เดือนที่ผ่านมา มีงานพระราชทานเพลิงสรีระสังขารหลวงตามหาบัว เห็นทูลกระหม่อมฯ บ่อยมาก ทราบว่าท่านมีโอกาสนั่งสมาธิกับหลวงตาฯ และอีกหลายโครงการ ผมจึงทำเรื่องเข้าวัง จะสัมภาษณ์ประเด็นนี้เป็นประเด็นหลัก"


นอกจากนี้ วู้ดดี้กล่าวว่า คืนก่อนจะบันทึกเทป ตนนอนไม่หลับ เนื่องจากตื่นเต้นกลัวผิดพลาด แก้คำราชาศัพท์ในสคริปต์ทุกชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจนอน พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า พร้อมบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เอาสิ่งที่มาจากใจดีกว่า วันนั้นจึงไม่มีสคริปต์เลย ถามในสิ่งที่อยากจะรู้ที่มาจากใจ


"ทูลกระหม่อมเองก็ไม่ได้ใส่พระทัยมากในเรื่องราชาศัพท์ ถือเป็นการสัมภาษณ์ที่ผมรู้สึกสบายใจและผมได้มากที่สุดในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าเรามีโอกาสเห็นแง่มุมการใช้ชีวิตบนโลกนี้ ความเป็นคน และเรื่องธรรมะมากกว่า ผมว่าเมื่อ 3 สิ่งนี้มาเจอกันเป็นอะไรที่พิเศษ"


พิธีกรชื่อดังกล่าวเพิ่มเติมว่า "เป็นการสัมภาษณ์ที่ยาว ไม่ได้ตัดต่อเลย หรือตัดต่อน้อยมาก อยากให้ดูตอนที่ 2 เป็นเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเต็มๆ ผมไม่สามารถเอาคำพูดไหนมาอ้างอิงได้เลย เพราะผมกลัวจริงๆ อยากให้ติดตามเทปที่ 2 ในวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายนนี้"

http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...&subcatid=

http://www.youtube.com/watch?feature=pla...oR5M#at=74

เห็นวูดดี้ซาบซึ้ง น้ำหูน้ำตาไหลแล้ว 
กูสงสารมึงจิง ๆ วะ ไอ้วู๊ดดี้
มือเพลิง  มติชน เช้านี้

http://internetfreedom.us/thread-19739.htmlโดย ฐากูร บุนปาน

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 5 เมษายน 2554)

ในศีล 5 ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติให้ชาวบ้านทั่วไปถือเอาไว้เป็นเกราะ หรือเครื่องมือป้องกันตัวเองให้พ้นจากความชั่ว

ท่านกำหนดให้ ′ปาณาติปาตา′ หรือการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตด้วยกันเป็นข้อแรก

ไม่ต้องอธิบายซ้ำดอกกระมังว่าทำไม

เพราะฉะนั้น จะพุทธศาสนิกชนก็ดี หรือคนที่ยังมีสติสัมปชัญญะตามปกติก็ดี ก็คงตระหนักแก่ใจอยู่แล้วว่า

การพรากชีวิตของคนด้วยกันนั้นเป็นเรื่องใหญ่

ศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้บอกว่า ′มันใหญ่มาก′

ใน ฐานะส่วนตัวนอกจากจะต้องไม่ลงมือกระทำเองแล้ว ในฐานะมนุษย์ด้วยกัน ถ้าเห็นการกระทำเช่นนี้ ก็ต้องช่วยทุกทางที่จะทำให้เกิดความเป็นธรรม

และยิ่งถ้ามีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้รับผิดชอบตามกฎหมายในบ้านเมือง

ยิ่งต้องถือเป็นภารกิจที่จะต้องอำนวยให้มีความยุติธรรมเกิดขึ้น

ก่อนที่กรรมที่เกิดจะทำให้เกิดกรรมอย่างเดียวกันวนเวียนต่อเนื่องไปไม่รู้จบ

ฉะนั้น จึงมีคนจำนวนมากไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลหรือหน่วยงานเป็นแขนขาสำคัญในการ อำนวยให้เกิดความยุติธรรมขึ้นมาได้อย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ

นอกจากจะไม่ทำให้ความจริงความยุติธรรมในเรื่องคดีฆ่ากันกลางเมือง 91 ศพเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 เกิดขึ้นแล้ว

ยังแสดงจุดยืนท่าทีชัดเจนว่า พร้อมจะยืนขวางไม่ให้ความจริงและความยุติธรรมนี้เกิดขึ้นได้

ถ้าเป็นอย่างที่ท่านอ้าง คือท่านสนับสนุนไม่ใช่นอนขวางอยู่ในราง

จะ เกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่สถานทูตญี่ปุ่นเข้าทวงถามความคืบหน้าของคดีที่นัก ข่าวของเขามาเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร

จะเกิด เหตุการณ์ที่คนไทยด้วยกันซึ่งเป็นพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ รวมไปถึงผู้บาดเจ็บอีกนับพัน ตั้งคำถามเดียวกันกับสถานทูตญี่ปุ่น หรือต้องรวมตัวกันแสดงจุดยืนว่าไม่พอใจการทำงานของรัฐและเจ้าหน้าที่

ได้อย่างไร

ท่านไม่อายหรอกหรือ?

ท่านไม่รู้หรอกหรือว่ายิ่งถ่วงเวลา ยิ่งพยายามปกปิดซ่อนเร้นความจริงและความยุติธรรมออกไปนานเท่าไหร่

ปัญหาและความขัดแย้งในสังคมยิ่งลุกลามใหญ่โตขึ้นไปเท่านั้น

10 เมษายน ที่เขาเตรียมชุมนุมใหญ่ครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์สี่แยกคอกวัว จะเรียกคนขนาดนี้ไม่ได้เลย

ถ้าไม่ได้รัฐบาลและดีเอสไอช่วยราดน้ำมันคอยโหมกองไฟเอาไว้เรื่อยๆ

ท่านมีความต้องการอะไรหรือถึงทำอะไรถึงที่คนปกติเขาไม่ทำกันอย่างนี้

และที่สำคัญ เมื่อผิดแล้วยังผิดซ้ำซาก อย่าเผลอเพราะความเคยตัวทำผิดครั้งใหญ่อย่างที่เคยทำขึ้นมาอีก

ท่านพัง ท่านต้องรับกรรมส่วนตัว ไม่ว่าจะโดยใจหรือโดยกฎหมาย ก็เรื่องของท่าน

แต่ท่านลากทั้งสังคมไปตกนรกทรมานกับท่านด้วยไม่ได้
เก็บตกจาก IF
http://internetfreedom.us/thread-19741.html
ด่วน! ขุดพบจิตรกรรมฝาผนังโบราณ--จุดพลิกประวัติศาสตร์
[Image: chakki4.jpg]
ภาพจากส่วนหนึ่งของชุดจิตรกรรมฝาผนังที่เเสดงกำเนิดของราชวงศ์xxxโดยละเอียดทุกซอก​มุม เริ่มกันจะๆตั้งเเต่บทอัศจรรย์


จากการที่ปวงชนในประเทศตอแหลแลนด์เริ่มหวนกลับไปให้ความสำคัญแด่ แต่อ่วงกง ผู้ทรงกอบกู้ประเทศตอแหลแลนด์ ขึ้นมาจากทรากปรักหักผัง มากยิ่งขึ้นทุกวันๆ และเริ่มโจษจันกันถึงสาเหตุที่แท้จริงของการสวรรคตของพระองค์....

ทางราชวงศ์xxxซึ่งครองราชย์อยู่ในตอแหลแลนด์ยุคปัจจุบันเริ่มตระหนักถึงปัญหาและคำถามร้อยแปดที่​กำลังจะตามมา จึงเริ่มระดมแผนโฆษณาชวนเชื่อเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่พวกของตนเองด้วยการกระจายข​่าวออกมาว่า อันที่จริง นายxxxต้นตระกูลราชวงศ์xxxนั้น มิได้มาจากไพร่ตีนหนาหน้าดำอย่างที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ แต่โดยเเท้จริงเเล้ว นาย xxxx คือตระกูล x ที่สืบสายเลือดสีน้ำเงินเข้มข้นโดยตรงจากโคตร X แห่งตอแหลแลนด์เก่าุ!

นักโบราณคดีแห่งกรมสินฯ ก็ดีใจหาย รีบคว้าจอบเสียมบุกไปกรุงเก่า เพื่อตอบสนองกระเเสข่าว เเละตามที่หลายคนคาดไว้ กรมสินฯก็ได้ออกมาประกาศการขุดพบจิตรกรรมฝาผนังโบราณ เเสดงตำนานราชวงศ์ xxxxที่จมอยู่ใต้ดินเป็นเวลาหลายศตวรรษ โดยกรมสินฯ ได้สันนิฐานว่ามาจากสมัยกรุงเก่าตอนกลาง นับเป็นเรื่องซึ่งสร้างความตื่นเต้นกันอย่างมากในหมู่เทวดาเดินดิน เพราะการค้นพบภาพจิตรกรรมชุดนี้เปรียบประดุจดังการค้นพบไบเบิ้ลของสกุล xxxx โดยสามารถใช้เป็นหลักฐานสำหรับพิสูจน์ได้ว่า:

1) นาย xx เป็น สายตระกูลเลือดเข้มข้นจริง จากการบอกเล่าของภาพ!
2) การล้มเจ้าของนายxxx ที่ร่วมกับน้องชายนั้น มิได้เป็นการกระทำเยี่ยงโจรร้ายที่ฆ่าเเละโขมยทรัพย์อย่างที่คนยุคหลังเข้าใจ เเต่เป็นการทวงราชบังลังค์คืนของตระกูล x ผู้มีสิทธิ์โดยชอบธรรมทุกประการ!
3) หมาสามารถสืบสายเลือดมาจากคนได้!
4) หมาผสมกับลิงออกมาเป็น ไอ้เฮี่ย และ อีห่า!!!
จะขอโอกาสอีกทำไม  ไทยรัฐ เช้านี้
http://internetfreedom.us/thread-19747.html

จะ​ใช้​คำ​ว่า “ยับเยิน” ก็​คง​ไม่​เกิน​สภาพ​ความ​เป็น​จริง​นัก

ตาม ​ตัวเลข​ผู้​เสีย​ชีวิต​ที่​พุ่ง​ขึ้น​กว่า 50 ศพ ขณะ​ที่​ตัวเลข​กลมๆอย่าง​ไม่​เป็น​ทางการ​ของ​หน่วย​งาน​ที่​เกี่ยวข้อง ประเมิน​มูลค่า​ความ​เสียหาย​เบื้องต้น จาก​เหตุ​อุทกภัย​น้ำ​ท่วม​ใหญ่​ใน​พื้นที่​ภาค​ใต้​ครั้ง​ล่า​สุด ทำลาย​บ้านเรือน​ที่​พัก​อาศัย ตลาด​ร้าน​ค้า สวน​ยางพารา สวน​ปาล์ม นา​กุ้ง ถนนหนทาง สะพาน​ข้าม​แม่น้ำ ฯลฯ ไม่​นับ​ราย​ได้​จาก​ธุรกิจ​ท่องเที่ยว​ที่​สูญหาย​ไป

ตก​อยู่​ราวๆ “หมื่น​กว่า​ล้าน”

โดย ​สถานการณ์​ที่​นาย​อภิสิทธิ์ เวช​ชา​ชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็​ยอม​รับ​ตรงๆจะ​มี​ผล​กระทบ​ต่อ​ตัวเลข​การ​ตั้ง​เป้า​การ​เจริญ​เติบโต​ ทาง​เศรษฐกิจ (จี​ดี​พี) ของ​ประเทศ ใน​อารมณ์​ที่ “เทพ​เทือก” นาย​สุ​เทพ เทือก​สุ​บรรณ รอง​นายกฯ ยัง​ออก​อาการ​กังวล​ว่า รัฐบาล​จะ​ไม่​มี​งบประมาณ​ใน​การ​ฟื้นฟู​ความ​เสียหาย

ตั้งตัว​ไม่​ติด ตั้ง​หลัก​รับ​ไม่ทัน​เลย​ก็​แล้ว​กัน

อย่างไรก็ตาม ใน​ท่ามกลาง​วิกฤติ ถ้า​จะ​ถาม​หา​ฮีโร่​ใน​สถานการณ์​น้ำ​ท่วม​ใหญ่​ภาค​ใต้​รอบ​นี้ ก็​หนี​ไม่​พ้น​ทหาร​อีก​ตามเคย

ตาม ​ภาพ​ข่าว​ที่​เห็นๆกัน กองทัพบก กองทัพ​เรือ กองทัพ​อากาศ สนธิ​กำลัง 3 เหล่า​ทัพ ระดม​ยุทโธปกรณ์​ทั้ง​เฮลิคอปเตอร์ รถ​ลำเลียงพล อุปกรณ์​สนาม ใน​ปฏิบัติการ​เคลื่อน​ย้าย​ประชาชน​ออก​จาก​พื้นที่​ประสบ​ภัย

พร้อม ​ทั้ง​นำ​ถุง​ยัง​ชีพ ข้าวสาร อาหาร​แห้ง น้ำ​ดื่ม ยา​รักษา​โรค ไป​มอบ​ให้​ชาว​บ้าน​ที่​ติด​อยู่​ใน​พื้นที่ ไป​ไหน​มา​ไหน​ไม่ได้ รวม​ถึง​การ​ซ่อมแซม​ถนนหนทาง สะพาน​ที่​ขาด​ชำรุด ให้​ใช้​การ​ได้​ชั่วคราว

และ​น่า​จะ​รวม​ไป​ถึง​การ​ฟื้นฟู​หลัง​ น้ำ​ลด ตาม​ที่ “บิ๊ก​ตู่” พล.อ.​ประยุทธ์ จันทร์​โอชา ผู้​บัญชาการ​ทหาร​บก มี​คำสั่ง​ให้​จัด​ชุด​ทหาร​ช่าง​เฉพาะกิจ​จาก​กองทัพ​ภาค​ที่ 1, 2 และ 3 เช่น​ ชุด​ทำ​น้ำ​ประปา ซ่อม​สร้าง​สะพาน ซ่อม​บ้านเรือน ประมาณ 800 นาย พร้อม​เครื่องมือ​ทั้งหมด ลง​ไป​ช่วย​กองทัพ​ภาค​ที่ 4 เพราะ​สถานการณ์​ค่อนข้าง​รุนแรง​กว่า​ทุก​ครั้ง​ที่​ผ่าน​มา

กองทัพ​รับ​บท​เป็น “หน่วย​หลัก” ได้​อย่าง​แข็ง​ขัน

และ ​ที่​แข็ง​แรง​ไม่​แพ้​กัน กับ​การ​ร่วม​ด้วย​ช่วย​กัน​ของ​ภาค​ธุรกิจ​เอกชน สื่อมวลชน ทั้ง​หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ระดม​สรรพ​กำลัง อาสา​เป็น​ศูนย์กลาง​ใน​การ​เปิด​ช่อง​ทาง​รับ​บริจาค​ช่วย​ผู้​ประสบ​ภัย​ น้ำ​ท่วม​ปักษ์​ใต้

ระดม​ธาร​น้ำใจ​จาก​คน​ไทย ไม่​เคย​ทิ้ง​กัน​ใน​ยาม​ตก​ทุกข์​ได้​ยาก

ทุก ​ภาค​ส่วน​ร่วม​แรง​ร่วมใจ​กัน​เต็มที่ แต่​หัน​ไป​ที่​ฝ่าย​การเมือง โดยเฉพาะ​ปักษ์​ใต้​ เป็น​ฐาน​เสียง​ใหญ่​ของ​พรรค​ประชาธิปัตย์ ใน​ฐานะ​แกน​นำ​รัฐบาล

นอกจาก​จัด​รายการ​การ​กุศล ออก​ทีวี​ขอรับ​บริจาค​ช่วย​ผู้​ประสบ​ภัย

ตาม ​ภาพ​ข่าว​ก็​อย่าง​ที่​เห็น​นายกฯอภิสิทธิ์ ใน​ฐานะ​หัวหน้า​พรรค​ประชาธิปัตย์ ทำ​อะไร​ไม่ได้​มาก​ไป​กว่า​ขึ้น​รถ​ยูนิม็​อก​ของ​ทหาร ลุย​ตรวจ​น้ำ​ท่วม โบก​ไม้​โบก​มือ​ทักทาย พูด​ให้​กำลังใจ​ชาว​บ้าน

กระนั้น​ก็​ไม่​ วาย​โดน​วิพากษ์วิจารณ์​จาก​ฝ่าย​ค้าน​ว่า​คิด​ช้า ทำ​ช้า “นายกฯ​เทวดา​กลัว​เปียก” เหตุ​เกิด 3–4 วัน​แล้ว​ค่อย​บิน​ลง​ไป​พื้นที่ ปล่อย​ให้​ประชาชน​ผู้​ประสบ​ภัย​เผชิญ​ชะตา​กรรม รอ​คอย​การ​ช่วยเหลือ​อยู่​หลาย​วัน

แต่​ที่​ไม่​สนใจ​ใคร​จะ​ว่า​ อะไร “เทพ​เทือก” ใน​ฐานะ​เลขาธิการ​พรรค​ประชาธิปัตย์ ยัง​มี​อารมณ์​ลุย​น้ำ ไป​เป็น​ประธาน​เปิด​สัมมนา​หัวคะแนน​พรรค​ประชาธิปัตย์ ที่​เกาะสมุย ฝ่า​อุทกภัย​ไป​ปราศรัย​กับ​ประชาชน​ผู้​ประสบ​ภัย​ที่​อำเภอ​กาญจนดิษฐ์ จังหวัด​สุราษฎร์ธานี

สนุก​กับ​กา​รบ​ลัฟ ถากถาง​คู่แข่ง​อย่าง​พรรค​เพื่อ​ไทย
ยี่ห้อ​ประชาธิปัตย์​หายใจ​เข้า​หายใจ​ออก​เป็น​การเมือง​ตลอด​เวลา


ตาม ​เสียง​จาก​คนใน​พื้นที่ ว่าที่ ร.ต.​ไกร​ธนู แกล้ว​ทน​ง ส.จ.​เขต​อำเภอ​ระ​โน​ด จังหวัด​สงขลา โวย​แทน​ชาว​บ้าน​ใน​พื้นที่​อำเภอ​ ระ​โน​ด ต้อง​ประสบ​กับ​ปัญหา​น้ำ​ท่วม​มา​นาน​กว่า 1 สัปดาห์ ส่ง​ผล​ให้​พื้นที่​ การ​เกษตร​เสียหาย​แล้ว​กว่า​ร้อย​ละ 70 โดยเฉพาะ​นา​ข้าว​ที่​กำลัง​ตั้ง​ ท้อง จม​อยู่​ใต้​น้ำ​และ​เน่า​เปื่อย​เสียหาย​รวม​กว่า 12,000 ไร่ และ​ยัง​มี​ แนวโน้ม​เสียหาย​เพิ่ม​ขึ้น เพราะ​ระดับ​น้ำ​ไม่​ลด​ลง

ชาว​บ้าน​ ต้อง​ระดม​เงิน​มา​ช่วย​กัน​เป็น​ค่าน้ำ​มัน​เครื่อง​สูบ​น้ำ และ​ค่า​ใช้​จ่าย​ต่างๆ เพราะ​ไม่​สามารถ​รอ​ความ​ช่วยเหลือ​จาก​หน่วย​งาน​ ภาค​รัฐ​ที่​ล่า​ช้า​ได้

ตาม​คิว​ที่​นาย​ประเสริฐ ชิต​พง​ศ์ ส.ว.​สงขลา ระบุ​ได้​รับ​การ​ร้องเรียน​จาก​ชาว​บ้าน​ใน​อำเภอ​ระ ​โน​ด ​ว่ายัง​ไม่ได้​รับ​การ​ช่วยเหลือ​จาก​ภาค​รัฐ​เลย โดย ​ส.ว.​ใต้​ทั้งหมด จะ​ยื่น​กระทู้​ถาม​นายกรัฐมนตรี ถึง​การ​ช่วยเหลือ​ของ​ภาค​รัฐ​ที่​ล่า​ช้า

เห็น​กัน​ชัดๆเลย​ว่า ขณะ​อยู่​ใน​อำนาจ ดำรง​สถานะ​เป็น​รัฐบาล​อยู่​แท้ๆ ยัง​ทำได้​ไม่​ดี

นับประสา​อะไร ​คน​ประชาธิปัตย์​จะ​อาสา​กลับ​มา​เป็น​รัฐบาล​รอบ​หน้า.


ทีมข่าวการเมือง รายงาน ไทยรัฐออนไลน์

โดย ทีมข่าวการเมือง 6 เมษายน 2554, 05:01 น.
เทศมองไทย 

http://internetfreedom.us/thread-19746.html

ประเทศไทยจะมีใครคบค้าสมาคมหรือไม่เป็นอีกเรื่อง ก็สถานการณ์บ้านเมืองลุ่มๆดอนๆอย่างนี้ นอกจากจะไม่มีใครอยากคบแล้วยังเป็นที่หนักใจ ในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งกำหนดนัดที่จะจัดประชุมทวิภาคี เจบีซี ระหว่างไทย-กัมพูชา ออกอาการถอดใจไปแล้ว

แล้วที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะดึงดันให้กระทรวงการต่างประเทศไปประชุมเจบีซีกับกัมพูชาโดยที่ข้อตกลงไม่ ผ่านความเห็นชอบของสภา ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ประการแรก กัมพูชาจะยอมคุยด้วยหรือเปล่า ประชุมไปแล้วก็ไม่ได้อะไร ซื้อเวลา ไปเรื่อยๆ ที่สำคัญก็คือจะเอาหัวข้ออะไรไปประชุมในเมื่อยังไม่ผ่านการอนุมัติตามขั้น ตอนอย่างถูกต้อง

ดำน้ำไปอย่างนี้ระวังจะชนตอ

การแก้ปัญหาแบบ สะเปะสะปะของรัฐบาลชุดนี้สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมากมาย แม้แต่ระบอบการปกครองของประเทศคือ ประชาธิปไตยจะรักษาไว้ได้นานแค่ไหนก็ไม่รู้

ในสายตาต่างประเทศ บ้านเราดูตกต่ำมาก ไม่มีสง่าราศี สำนักข่าวรอยเตอร์ วิเคราะห์การเมืองในเอเชีย บ้านเราน่าเป็นห่วงมาก เพราะความขัดแย้งของคนในประเทศและการชิงอำนาจทางการเมืองฝังรากลึกซะแล้ว อย่างที่เคยเกริ่นว่า การเมืองไทยเปลี่ยนจากอุดมการณ์เป็นลัทธิไปเรียบร้อย

จะ ผิดจะถูกเป็นอีกเรื่อง แต่การแบ่งข้างกันชัดเจนระหว่างขั้วการเมือง ที่ไม่ใช่แค่ฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลธรรมดา แต่เป็นฝ่ายแพ้กับฝ่ายชนะ ที่ถูกบีบให้เข้าไปสู่ลัทธิการเมืองในอดีต ฝ่าย ขวากับฝ่ายซ้าย

นอก จากนี้ยังเชื่อว่าแม้ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็จะไม่จบ ระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง ระหว่างพันธมิตรฯกับ นปช. จะเป็นการเมืองคู่ขนาน จะเป็นความขัดแย้งในระยะยาว

การรวมตัวของเสื้อแดงมีจำนวนมากขึ้นตาม ลำดับ สาเหตุก็มาจากความไม่เป็นธรรมและเท่าเทียมในระบบ เกิดกลุ่มอภิสิทธิ์ ชน และสุดท้าย กองทัพมีความพยายามที่จะเข้ามาก้าวก่ายทางการเมือง รวมทั้งกระบวนการยุติธรรม เพื่อปกป้องอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง

ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะเรื่องก็ไม่จบ

การ เมืองไทยก็จะแบ่งเป็นสองซีกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตไม่เกินร้อยละ 3.5 ท่ามกลางปัจจัยลบจากสภาพเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

อ่าน ข่าวผ่านๆ กกต.สดศรี สัตยธรรม ออกมายอมรับมีทหารพยายามที่จะไม่ให้มีการเลือกตั้ง และให้เว้นวรรคมาตรา 7 เป็นการปฏิวัติเงียบ วางตัว รมต.ไว้เรียบร้อย ฟังแล้วหดหู่

มีแต่เจ้าของประเทศเยอะแยะไปหมด.

"หมัดเหล็ก" ไทยรัฐออนไลน์ 6 เมษายน 2554, 05:00 น.
ทรงกิดติ ไอ้หน้าตัวเม............


เมื่อพี่ที่ทำงานตะโกนด่า ทรงกิตติ หน้าตัว....

http://internetfreedom.us/thread-19758.html
บรรยายเก่า ๆ เริ่มออกมาให้เห็นก่อนการเลือกตั้งอีกแล้วค่ะ ผู้นำเหล่าทัพยืนหน้ากระดานเรียง 1 ออกมาพูดว่า
- จะไม่มีการปฏิวัติ
- วอนประชาชนอย่างเชื่อคนออกให้ข่าว
- ขอให้มั่นใจในกองทัพไทย
- กองทัพไทยไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง
- ทหารยินดีให้มีการเลือกตั้งในเพราะต้องรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย
และอื่น ๆ อีกมากมายแล้วแต่จะเห่าหอนกัน


อย่างที่ข่าวลงว่า

ประกาศเสียงดังฟังชัด แถมมีขุนทัพ 3 เหล่า บก เรือ อากาศ ยืนเป็นแผงอยู่เบื้องหลังแห่งอำนาจ ยืนยัน จะไม่มีการปฏิวัติ และวอนขอประชาชนอย่าได้หลงเชื่อข่าวลือ พร้อมการันตี คำพูด ของกองทัพเชื่อถือได้
ตอนหนึ่งของหน้าหนังสือพิมพ์ที่ไทยรัฐ ที่นั่งอ่านตอนเช้ากับพี่ที่ทำงาน

>>>> "...แต่วรรคทองจริง ๆ น่าจะเป็นประโยคที่ว่า " เรามีสิทธิ์คือหนึ่งเสียงหากมีการเลือกตั้ง ถ้าเลือกตามวาระก็ปลายปีนี้ ก็ไปหย่อนบัตรหนึ่งเสียงเท่ากับทุกคนตามรัฐธรรมนูญ " ซึ่งช่างเป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นทหารประชาธิปไตยที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ​่ง

แต่อย่างไรก็ดีการปรากฎตัว ของผู้นำเหล่าทัพแบบครบชุด เช่นนี้ ซึ่งถือเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ซ้ำยังมีการพูดในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเช่นนี้ ก็ให้อดคิดไม่ได้ว่าช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ เมื่อคราว อดีต ผบ.ทบ.คนก่อน ปฏิบัติการนำพ้องเพื่อนไปออกรายการชื่อดัง จนเกิดเสียงอื้ออึงว่า เป็นการปฏิวัติซ่อนรูปผ่านจอทีวี จนท้ายที่สุดก็นำไปสู่การอุ้มพรรคการเมืองเก่าแก่ไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร เมื่อไม่นานมานี้ จริง ๆ

แม้ว่า ในคราวล่าสุด นี้ จะไม่มีการออกปากไล่นายกรัฐมนตรี เช่นคราวก่อน แต่ที่เหมือนกันคือ "ไทม์มิ่ง" ที่มีการตบเท้าออกมาปรากฎตัวพร้อมกันเป็นแผง ในยามที่การเมืองใกล้เข้าขั้นวิกฤต ไร้ทางออกและรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ <<<<

อ่านจบยังไม่ทันไร พี่เค้าก็บอกว่า

" ...อย่าไปเชื่อมันอี ผบ.สส คนนี้มันรุ่นเดียวกับท่านทักษิณ ด่าเพื่อนขายนายได้ เชื่อได้ยาก มันตอแหลพูด ..... (และตะโกนดัง ๆ ในห้องอาหารว่า) ............หน้าตัวเมีย "

พูดได้คำเดียวววว......อู๊ยยยยย....เสียวอ่ะ

เชื่อได้หรือ คำพูดชายชาติตะหาน


กองทัพออกมายืนยันอำนาจตนว่า ถ้ากองทัพไม่รัฐประหารก็ไม่มีใครที่มีความสามารถจริงเป่าครับ
http://internetfreedom.us/thread-19759.html

[Image: p0102060454p1.jpg&amp;width=360&amp;height=360]

ผบ.เหล่าทัพแถลงพร้อมหน้า

วันเดียวกันที่บก.ทอ. พล.อ.ทรงกิตติ จักกา บาตร์ ผบ.สส. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์ เจริญ ที่ปรึกษา สบ 10 และนายทหารชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมประชุมกัน จากนั้นเวลา 12.00 น.พล.อ. ทรงกิตติให้นายทหารคนสนิทมาแจ้งผู้สื่อข่าวว่า จะแถลงข่าว และเชิญผบ.ทุกเหล่าทัพ รวมทั้งพล.ต.อ.พงศพัศ ร่วมแถลงด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อถึงเวลาแถลงข่าว พล.อ.ทรงกิตติออกมายืนบนโพเดียม โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ พล.ร.อ.กำธร พล.อ.อ.อิทธพร และพล.ต.อ.พงศพัศ ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ด้านหลัง

ยันไม่ปฏิวัติ-ไม่ละเมิดประชาชน

พล.อ.ทรงกิตติแถลงถึงจุดยืนต่อกระแสข่าวปฏิวัติรัฐประหารที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างหนักในขณ​ะนี้ ว่า อย่าเชื่อข่าวลือ อย่าเชื่อข่าวอ้าง เราจะไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่บอกว่าทหารจะปฏิวัติ ไม่มี คำพูดของกองทัพ ของทหารเชื่อถือได้ ไม่มีใครจะก้าวล่วงเข้าไปดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ไม่ว่าจะกดดัน ผลักดัน ไปแอบอิงหรือให้อิงแอบเพื่อทำให้ผิดวัตถุ ประสงค์ของประชาชน ไม่ต้องมีข่าวอีกแล้วว่าจะมีใครไปเดินตามคอยกดดันไม่ให้มีเสรีในการหาเสียง ทุกพรรคมาหาเสียงได้ในหน่วยทหาร

"หากมีหน่วยใดเคลื่อนย้ายกำลังโดยไม่ได้รับ คำสั่งคือกบฏ ถ้ามีทหารกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดไปเกี่ยว ข้องทางการเมืองหรือไปกดดันท่านก็ร้องเรียน มา หากมีมูลก็จะทำการสอบสวน" ผบ.สส. กล่าว และว่าหยุดเอากองทัพมาอ้าง หยุดเอากองทัพมาแนบ และหยุดผลักกองทัพออกจากประชาชน

ไม่มีรัฐบาลแห่งชาติ-นายกฯม.7

พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับกองทัพ การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อสภาหมดวาระ ซึ่งไม่เกี่ยวกับกองทัพ หากมีการยุบสภาก็เป็นเรื่องของรัฐบาล และกกต.จัดเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งจะไม่มีรัฐบาลแห่งชาติ ไม่มีนายกฯ มาตรา 7 (อ่านรายละเอียดหน้า3)

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?n...B3Tmc9PQ==

ตามรอยสุสานพระเจ้าตาก
เรื่องและภาพ : วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์
http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=425
     เถ่งไฮ่เป็นอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน มีประชากรประมาณ ๗๑๐,๐๐๐ คน ปัจจุบันเถ่งไฮ่เป็นเขตอุตสาหกรรมสำคัญแห่งหนึ่ง ตุ๊กตาต่างๆ จากบริษัทผลิตของเล่นชื่อดังของโลกไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาบาร์บี้หรือตุ๊กตาของวอลต์ดีสนีย์ที่ส่งไปขายทั่วโลก ผลิตมาจากโรงงานในอำเภอเถ่งไฮ่แทบทั้งสิ้น

     คนไทยส่วนใหญ่อาจไม่รู้จักอำเภอเล็กๆ อย่างเถ่งไฮ่ แต่สำหรับลูกหลานชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทย น่าจะคุ้นหูกับชื่อนี้ดี

     คนจีนที่อพยพข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาทำมาหากินบนแผ่นดินไทยในอดีต ส่วนใหญ่มาจากเมืองแต้จิ๋ว โดยเฉพาะจากอำเภอเถ่งไฮ่ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเล การเดินทางข้ามมาเมืองไทยสะดวกกว่า ด้วยเหตุนี้คนจีนในเมืองไทยส่วนใหญ่จึงพูดภาษาแต้จิ๋ว บุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน นับตั้งแต่ ปรีดี พนมยงค์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ รวมถึงคนในตระกูลรัตตกุล ตระกูลหวั่งหลี ตระกูลเจียรวนนท์ ก็ล้วนมีบรรพบุรุษที่อพยพมาจากอำเภอเถ่งไฮ่


     สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือที่เรามักเรียกกันว่า พระเจ้าตาก ก็ทรงมีเชื้อสายแต้จิ๋ว พระบิดาของพระองค์เป็นชาวแต้จิ๋ว เกิดในตระกูลแต้ ชื่อนายแต้เจียว อพยพจากอำเภอเถ่งไฮ่เข้ามาค้าขายในเมืองไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนพระมารดาเป็นคนไทย ชื่อนางนกเอี้ยง มีอาชีพค้าขาย พระเจ้าตากทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๒๗๗ (หนังสือบางเล่มกล่าวว่าทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๒๗๗) มีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ พระเจ้าตากทรงได้กลับไปศึกษาที่ประเทศจีนระยะหนึ่งด้วย 

     นายนิ้ม แซ่ตั้ง วัย ๗๙ ปี ชาวจีนซึ่งเกิดในอำเภอเถ่งไฮ่และอพยพมาตั้งรกรากในเมืองไทยเมื่อ ๖๐ ปีก่อน เล่าให้ฟังว่า


     “สมัยที่ผมอยู่เมืองจีน คนเถ่งไฮ่รู้จักเมืองไทยดี เพราะเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่คนเถ่งไฮ่เดินทางมาค้าขายที่เมืองไทย ที่มาตั้งรกรากอยู่เมืองไทยเลยก็มีมาก ความสัมพันธ์ไทย-จีนนั้นแน่นแฟ้นมาก ถึงกับมีคำไทยที่กลายเป็นภาษาแต้จิ๋ว คือคำว่า ตลาด ชาวแต้จิ๋วเอาไปใช้โดยออกเสียงว่า ‘ตั๊กลัก’ เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย คนจีนที่นั่นก็รับรู้กันโดยตลอด

     “คนเถ่งไฮ่รู้จักและรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าตากดี เขาเรียกกันว่า ‘แต้อ๊วง’ แปลว่า พระเจ้าแผ่นดินตระกูลแต้ บ้านเกิดของผมก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของท่าน จำได้ว่าตอนเด็กๆ เคยไปเที่ยวบ้านหลังหนึ่งที่เก่าทรุดโทรมมาก เชื่อกันว่าเป็นบ้านเกิดของพระเจ้าตาก ผมยังเคยได้ยินเรื่องเล่าว่าเมื่อ ‘แต้อ๊วง’ เกิด พ่อของท่านก็พาท่านกลับมาเรียนภาษาที่เมืองจีน จนอายุได้ ๑๐ ขวบจึงส่งมาอยู่เมืองไทย”


     นายนิ้มกล่าวว่าคนจีนที่อพยพมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนิยมส่งลูกหลานกลับมาเรียนหนังสือที่บ้านเกิด เพราะต้องการให้ลูกหลานได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมจีน และที่สำคัญคือ เมื่อกลับมาเมืองจีนยังมีครอบครัวและญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดคอยดูแล ซึ่งต่างจากเมืองไทยที่อาจต้องใช้ชีวิตตามลำพัง จากการศึกษาประวัติพระบิดาของพระเจ้าตาก ก็พบว่าไม่มีญาติพี่น้องอยู่เมืองไทยมากนัก

     บริเวณแหล่งดูดทรายแห่งหนึ่งในอำเภอเถ่งไฮ่ มีฮวงซุ้ยหรือสุสานเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทางเข้าทำเป็นซุ้มขนาดใหญ่ สุสานแห่งนี้เป็นสุสานเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเฉียนหลงฮ่องเต้ (พ.ศ. ๒๒๗๘-๒๓๓๙) มีป้ายหินจารึกไว้ว่า “สุสานของ ‘แต้อ๊วง’ ทำการบูรณะซ่อมแซมใหม่ในปี ค.ศ. ๑๙๘๕ ฤดูใบไม้ผลิ”




     คนเถ่งไฮ่เชื่อกันว่า หลังจากที่พระเจ้าตากสิ้นพระชนม์ได้ไม่นาน บรรดาญาติพี่น้องได้นำฉลองพระองค์กลับมายังบ้านเกิด และฝังไว้ที่สุสานแห่งนี้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ 

     “คนเถ่งไฮ่ภูมิใจใน ‘แต้อ๊วง’ มาก ว่าเป็นคนบ้านเราที่มีวาสนาเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทย และมีความกล้าหาญยิ่ง เสี่ยงชีวิตไปรบกับพม่าเพื่อกอบกู้ชาติไทย” นายนิ้มกล่าว

     บริเวณสุสานยังมีป้ายหินอีกแผ่นจารึกไว้ว่า “สุสานแห่งนี้เป็นที่ฝังฉลองพระองค์ของ ‘แต้อ๊วง’ ที่นำมาจากเมืองไทย ห้ามผู้ใดทำลายเด็ดขาด” ลงชื่อโดยรัฐบาลท้องถิ่นแห่งอำเภอเถ่งไฮ่


     ปัจจุบัน สุสานแห่งนี้ยังมีผู้นำดอกไม้ธูปเทียนมาแสดงความคารวะอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะจากบรรดาลูกหลานคนจีนจากเมืองไทยที่มีโอกาสไปเยี่ยมญาติในประเทศจีน


6 เมษายน คือวันสวรรคตพระเจ้าตาก

จำไว้ว่า วันที่ 6 เมษายน คือวันสวรรคต
ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี  ตากสินมหาราช



สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก่อรัฐประหาร

นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้วิเคราะห์ว่า การที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงประกอบพระราชกรณียกิจแปลกไปจากพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ทำให้พระองค์ทรงถูกมองว่าไม่เคารพต่อขนบธรรมเนียมดั้งเดิม และได้รับการต่อต้านจากกลุ่มชนชั้นสูง ข่าวลือการเสียพระสติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกแพร่ออกไปเพื่อสร้างประโยชน์ทางการเมืองให้กับกลุ่มผู้ต้องการโค่นล้มพระองค์จากพระราชอำนาจ กลุ่มชนชั้นสูง (ไม่รวมราษฎรสามัญ) ได้รับความเดือดร้อนจากความประพฤติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์ยังได้สร้างความไม่ประทับใจให้กับฝ่ายของพระองค์เองอีกด้วย ท้ายที่สุดแล้วสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ไม่สามารถรักษาพระราชอำนาจต่อไปได้ กลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางภายใต้การนำของพระยาจักรีได้ก่อรัฐประหาร
ในบทความ "ชำแหละแผนยึดกรุงธนบุรี" เขียนโดยปรามินทร์ เครือทอง ได้ลำดับเหตุการณ์การรัฐประหารไว้ว่า:
แผนรัฐประหารเริ่มขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2324 ระหว่างการปราบปรามจลาจลในเขมร สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทราบข่าวความไม่ปกติในกรุงธนบุรี จึงให้พระยาสุริยอภัยผู้หลานมาคอยฟังเหตุการณ์อยู่ที่เมืองนครราชสีมา เวลาเดียวกัน สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก็ลอบทำสัญญากับแม่ทัพญวน ฝ่ายแม่ทัพญวนก็ให้กองทัพญวน-เขมรนั้นล้อมกองทัพกรมขุนอินทรพิทักษ์ไว้
แรมเดือน 4 พ.ศ. 2325 ขุนแก้ว น้องพระยาสรรค์, นายบุญนาค นายบ้านในเขตกรุงเก่า และขุนสุระ นายทองเลกทองนอก ทั้งสามได้คิดก่อกบฎขึ้น ชักชวนกันซ่องสุมประชาชนจะไปสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และถวายราชสมบัติให้แก่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ฝ่ายเจ้าเมืองอยุธยา พระอินทรอภัย หนีรอดมาได้ กราบบังคบทูลต่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์จึงให้พระยาสรรค์ขึ้นไปปราบ แต่ภายหลังได้กลายเป็นแม่ทัพยกมาตีกรุงธนบุรี
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2325 ทัพพระยาสรรค์ได้เข้าล้อมกำแพงพระนคร รบกับกองทัพซึ่งรักษาเมืองจนถึงเช้า ครั้นรุ่งเช้า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีบัญชาให้หยุดรบ พระยาสรรค์ก็ถวายพระพรให้ทรงผนวช สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงออกผนวชเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2325 วันรุ่งขึ้น พระยาสรรค์ก็ออกว่าราชการชั่วคราว
แต่มาภายหลัง พระยาสรรค์ได้ปล่อยตัวกรมขุนอนุรักษ์สงครามมาช่วยกันรบป้องกันพระนครจากกองทัพพระยาสุริยอภัย ทั้งสองทัพรบกันเมื่อราว 2-3 เมษายน พ.ศ. 2325 พระยาสรรค์และกรมอนุรักษ์สงครามแตกพ่ายไป จนเมื่อถึงวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก็ยกทัพมาถึงกรุงธนบุรี
ส่วนเหตุการณ์สวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบรีนั้นไม่แน่ชัด แต่ที่ปรากฏเป็นประวัติศาสตร์กระแสหลัก คือ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) ยกทัพมายังกรุงธนบุรีในระหว่างยกทัพไปเขมร เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 พระองค์ได้ควบคุมตัวพระยาสรรค์และขุนนางที่คิดก่อการกบฏเอาไว้ และสืบสวนสาเหตุของความวุ่นวายที่เกิดขึ้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกกล่าวโทษว่าพระองค์ทรงเสียพระสติทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงถูกสำเร็จโทษด้วยการตัดพระเศียร ณ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ แล้วฝังพระบรมศพที่วัดบางยี่เรือใต้ เสด็จสวรรคตเมื่อสิริพระชนมายุได้ 48 พรรษา รวมเวลาในการครองราชย์ได้ 15 ปี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก็ปราบดาภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีสืบต่อมา หลังจากนั้นพระองค์จึงสั่งให้นำตัวพระยาสรรค์และขุนนางที่คิดก่อการกบฏไปประหารชีวิตเสีย
ต่อมา ภายหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 แนวคิดอื่น ๆ เกี่ยวกับการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ปรากฏขึ้น เช่น พระองค์ถูกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัฐประหาร, พระองค์มิได้เสียสติ