วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จดหมาย คุณหญิง และกัลยาณมิตร


ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
14 February 2011

ถึง คุณหญิง และกัลยาณมิตร

(1) Happy Valentine’s Day และขอส่งความปรารถนาดีเนื่องในวันแห่ง “ความรัก” ขอ “สันติภาพ” จงบังเกิดต่อพี่น้องร่วมชาติของเราใน “สยามประเทศไทย” กับมนุษยชาติ “ข้ามพรมแดน” ใน “เขมรกัมพูชา” ในลาว ในอุษาคเนย์ และใน “ประชาคมอาเซียน”

(2) ต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ทำให้ผมนึกถึงข้อคิดข้อเขียนของ อ. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อันเป็นที่รักเคารพของเรา “จากครรภ์มารดา ถึงเชิงตะกอน” (From Womb to Tomb) ที่กล่าวไว้ว่า

“เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ ๆ อย่างบ้า ๆ
คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น
ตายในสงครามกลางเมือง
ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์
ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ
หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ”

(3) ผมเชื่อว่า “การเมือง (ที่) เป็นพิษ” ในการเมืองภายในของบ้านเมืองเรา ที่ลามปามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จาก “สันติภาพ” (Peace) กำลังกลายเป็น “สงคราม” (War) จาก “สนามการค้า” (Market Place) กลับเปลี่ยนเป็น “สนามรบ” (Battlefield) นั้น ด้านหนึ่ง มาจากกิเลศและตัณหา จาก “โลภ-โกรธ-หลง” และอีกด้านหนึ่งมาจาก “อวิชชา” จาก “อประวัติศาสตร์” ขาดความเคารพนับถือในสิ่งที่ “บรรพชน-บรรพกษัตริย์” ของเราได้ทำเอาไว้  และขาดการเคารพกติการะเบียบของสังคมโลกที่เป็น “สากล” และเป็น “อารยะ”

(4) ปัญหาที่มาจากกิเลศและตัณหา ว่าด้วย “โลภ-โกรธ-หลง” นั้น ก็คือ

โลภ เพราะอยากได้ “ปราสาท” กับ “พื้นที่”
โกรธ เพราะไม่ได้ “ปราสาท” กับ “พื้นที่”
หลง เพราะคิดว่าอาจจะได้ “ปราสาท” กับ “พื้นที่”

(5) ส่วนปัญหาที่เกิดจาก “อวิชชา” จาก “อประวัติศาสตร์” และจากการขาดความเคารพนับถือในสิ่งที่ “บรรพชน-บรรพกษัตริย์” ของเราได้ทำไว้ ก็คือเรื่อง “หนังสือสัญญา” ฉบับต่างๆ และแผนที่ 11 ระวาง (แผ่น)

ที่ “สยาม” Siam ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับ เสนาบดีพระหัตถ์ซ้าย-ขวาของท่าน คือ คือ สมเด็จกรมเทววงศ์ (การต่างประเทศ) และสมเด็จกรมดำรงฯ (มหาดไทย) จำต้องทำและให้สัตยาบันไว้กับฝรั่งเศสไม่ว่าจะเป็นฉบับ ค.ศ. 1893-1904-1907 (ตรงกับ ร.ศ. 112, 122, 125 และตรงกับ พ.ศ. 2436, 2447, 2450 ตามลำดับ)

(6) รวมทั้งแผนที่ 11 ระวาง (แผ่น ที่มักจะรู้จักกันในนามของ 1: 200,000) ที่ขีดเส้นพรมแดนครอบคลุมดินแดนจากแม่น้ำโขงตอนบน (แม่กบ-เชียงล้อม)-น่าน-เทือกพนมดงรัก-ตลอดลงมาจนถึงเมืองตราด  อันเป็นผลงานของ “คณะกรรมการเขตแดนผสมอินโดจีนและสยาม” (Commission de Delimitation entre l’Indochine et Le Siam)  และอัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส (หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร) ที่ทรงรับมาเป็นจำนวน 50 ชุด และส่งกลับมากรุงเทพฯ ถวายให้กับเสนาบดีการต่างประเทศ คือ สมเด็จกรมฯ เทววงศ์ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2451 (1908)

(7) การที่ต้องทำหนังสือสัญญาต่างๆ ข้างต้น การที่ต้องให้สัตยาบัน และการที่ต้อง “รับ” แผนที่ 11 ระวาง (แผ่น) นั้นมา  ก็เป็นไปตามปรัชญาความเชื่อว่าด้วย “ชาติ” ของ “ราชาชาตินิยม” หรือ Royal Nationalism ที่จะต้องรักษา “เอกราช-อธิปไตย” ของสยาม/Siam เอาไว้  ต้องยอมรับว่าสยามมีพื้นที่หรือดินแดน “จำกัด” (limited land) เป็นเพียง “รูปขวานทอง” และต้องยอมสละ “ส่วนเกิน” หรือส่วนที่เป็น “ประเทศราช-เมืองขึ้น” ที่ไป “ได้ดินแดน” (ของ “คนอื่น” ของ “เขมร-ลาว-มลายู”) มา ไม่ว่าจะเป็น “เสียมราฐ-พระตะบอง-ศรีโสภณ-จำปาศักดิ์-หลวงพระบาง-เชียงตุง-เมืองพาน” ตลอดจน “เคดะห์-ปลิส-กลันตัน-ตรังกานู” (ที่ต้องยอมยกและแลกเปลี่ยนไปกับอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2452 หรือ ค.ศ. 1909 ปลายรัชสมัย “เสด็จพ่อ ร. 5”)

(8) แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 (1932) พวก “ผู้นำใหม่” โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก “เสนาอำมาตย์” หรือ “ปีกขวา” นักการเมืองสายทหารของ “คณะราษฎร” ก็เปลี่ยนปรัชญาความเชื่อของตน เปลี่ยนและ “สร้างชาติ” ตามแนวลัทธิ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” หรือ Military-Bureaucratic Nationalism (แทน “ราชาชาตินิยม” Royal Nationalsim)

ลัทธิใหม่นี้ เปลี่ยนนามประเทศจาก “ราชอาณาจักรสยาม” จาก Siam เป็น “ประเทศไทย” เป็น Thailand  พ.ศ. 2482 (1939) รวมทั้งเปลี่ยนเนื้อร้อง “เพลงชาติ” (แต่ไม่ได้เปลี่ยนทำนอง) จากประโยคขึ้นต้นว่า “อันสยาม นามประเทืองว่าเมืองทอง.....” เป็น “ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย.....” 

แล้วก็ปลุกระดมความ “รักชาติ” การ “กู้ชาติ” ดำเนินการขยายดินแดนด้วยการ “เรียกร้องดินแดน” เพื่อให้ “ประเทศไทย” เป็น “มหาอานาจักรไทย” (สะกดด้วย น. หนู ตามตัวสะกดที่ถูกรัฐบาลให้เปลี่ยนในสมัยนั้น) ดังนั้น “ประเทศไทย” หรือ Thailand ก็มีสภาพเป็น expanded land หาใช่ limited land อย่างของ “ราชอาณาจักรสยาม” หรือ Siam ไม่

(9) ในปี พ.ศ. 2484-85 หลังการเปลี่ยนชื่อประเทศเพียง 2 ปี ก็เกิด “สงครามอินโดจีน”  รัฐบาลของหลวงพิบูลสงคราม  ก็ส่งกำลังของกองทัพบก-เรือ-อากาศ บุกเข้าไปยึดดินแดนต่างๆมาได้ อาทิ เมืองเสียมราฐ (เอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า “จังหวัดพิบูลสงคราม”)-ยึดพระตะบอง-ยึดศรีโสภณ-(และปราสาทพระวิหาร)-ยึดจำปาศักดิ์ (และปราสาทวัดพู)-ยึดไซยะบุรี (เอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า “จังหวัดลานช้าง” สะกดโดยไม่มีไม้โท)

รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม “ประกาศสงคราม” กับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเมื่อ 25 มกราคม พ.ศ 2485 (1942) และด้วยความช่วยเหลือของ “พันธมิตรญี่ปุ่น “ ก็ทำการยึดเมืองพาน-เมืองเชียงตุง (ในพม่า  เอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า “สหรัฐไทยเดิม”) แถมญี่ปุ่นยังมอบรัฐมลายู เช่น “เคดะห์-ปะลิส-กลันตัน-ตรังกานู” ให้มาอีก รัฐบาลพิบูลสงครามเอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า “สี่รัฐมาลัย”

(10) นี่คือสภาพ “อีรุงตุงนัง” และ “มรดกทางประวัติศาสตร์” ของสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศชาติของเราเกือบถูกยึดเป็น “เมืองขึ้น” และผู้นำของ “อำมาตยาเสนาธิปไตย” หลายคนเกือบกลายเป็น “อาชญากรสงคราม” ถูกจับประหารชีวิต  เมื่อมหามิตรญี่ปุ่นถูกถล่มด้วยระเบิดปรมาณูแพ้สงครามไป

โชคดีที่มี ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ “ปีกซ้าย” ของ “คณะราษฎร” ตั้ง “ขบวนการเสรีไทย” ทำการใต้ดินขึ้นมา “กู้ชาติ” ไว้ได้  ทำการ “ประกาศสันติภาพ” เมื่อ 16 สิงหาคม 2488 (1945)  นี่คือผลงานของ “บรรพชน-มหาบุรุษ” แต่ท่านปรีดี ก็ถูกกำจัดออกไปด้วย “การเมืองทราม-การเมืองเป็นพิษ” (ถูกกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีในกรณีสวรรคตอันมืดมนของในหลวงรัชกาลที่ 8 เมื่อ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) มีการ “รัฐประหาร พ.ศ. 2490” โดยจอมพลผิน ชุณหะวัณ ที่นำ “อำมาตยาเสนาธิปไตย” ของจอมพล ป. พิบูลสงครามกลับมา  และสืบทอดกันต่อๆมาโดยจอมพลสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส  ฯลฯ และยังทรงอิทธิพลอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้

(11) จะเห็นได้ว่า “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” ของสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีหลวงวิจิตรวาทการเป็น “มันสมอง” มีทีมงานจากกรมศิลปากร (นายธนิต หรือ นายกี อยู่โพธิ์-นายมานิต วัลลิโภดม) หรือทีมงานของกรมโฆษณาการ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นกรมประชาสัมพันธ์) อย่างนายมั่น-นายคง (นายสังข์ พัธโนทัย) ก็ส่งมรดกตกทอดกันมายัง “สฤษดิ์-ถนอม-ประภาส” ตลอดจนทางสายของนักการเมืองพลเรือนอย่าง “เสนีย์-คึกฤทธิ์ ปราโมช-ควง อภัยวงศ์”  เรื่อยมาจนบัดนี้เป็นเวลากว่า 70 ปี จนถึงรุ่นของจำลอง-สนธิ-โพธิรักษ์-สมปอง-อดุล-ศรีศักร และรัฐบาลในปัจจุบัน

(12) นี่เป็น “หลุมดำทางการเมือง” (Political Black Hole) หรือ “หีบพยนต์-ผะอบนางโมรา” (Pandora’s Box) ที่หากตกลงไปก็ยากที่จะปีนป่ายขึ้นมาได้  หรือถ้าเปิดออกมา (จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม) ก็อาจถึงตายได้ คำถามของเรา ณ บัดนี้  ก็คือเรา (หมายถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ นอก กทม.) จะรอดจาก “บ่วงกรรม” นี้ไปได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรให้ “การเมืองเป็นพิษ” หรือ “การเมืองทราม” กลายเป็น “การเมืองดี” ทำให้ประเทศชาติของเรารุ่งเรือง มีศักดิ์มีศรี มีเกียรติภูมิในวงการระหว่างประเทศ เคารพกติการะเบียบและกฎหมายระหว่างประเทศ ดำเนินการที่เป็น “สากล” และเป็น “อารยะ”

กัลยาณมิตร และเพื่อนๆของผมในกลุ่ม “สันติประชาธรรม” ขอเสนอมายังคุณหญิงอีกครั้งหนึ่ง และขอให้ช่วยนำความไปเรียนต่อ “บุคคลที่อยู่ใกล้ตัวคุณหญิง ไม่ว่าจะเป็นพลเรือน หรือเป็นทหาร  ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงาน หรืออยู่ที่บ้าน” ก็ตาม 

ขอให้เรามาช่วยกัน “ปฏิบัติธรรม” ละเสียซึ่งโลภ-โกรธ-หลง  ขจัด “อวิชชา” และ “อประวัติศาสตร์”  ในขณะเดียวกัน ก็ช่วยกันหลีกเลี่ยง “สงคราม” ช่วยกันแสวงหา “สันติภาพ “ ช่วยกันทำให้ “สนามรบ” กลับเป็น “สนามการค้า” อีกครั้ง

ขอให้เรามาช่วยกัน ทำดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของอุษาคเนย์-อาเซียน ที่หลากหลายไปด้วยชาติพันธุ์ ระบบนิเวศ  ธรรมชาติและวัฒนธรรม จาก “ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ถึงพนมดงรัก จากปราสาทพนมรุ้ง ถึงปราสาทพระวิหาร และปราสาทวัดพู จรดแม่น้ำโขงตอนกลาง ณ คอนพะเพ็ง-แก่งหลี่ผี” กลายเป็น “มรดกโลกข้ามเขตแดน” เพื่อ “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” ของ “ประชาคมอาเซียน” ที่ “ไร้พรมแดน” ให้จงได้ (Asean Trans-Boundary World Heritage Sites from Dong Phyayen-Khaoyai to Phnom Dangrek-Prasat Phnom Rung/Preah Vihear/Vat Phou to Khone Papeng/Li Phi Falls and the Middle Mekong Basin)

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อ “ชาติ และราษฎรไทย” ของเรา เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพ่อแม่พี่น้องลูกหลาน หลายพันหลายหมื่นชีวิต ที่อยู่ตามแนวชายแดนกว่า 800 กิโลเมตร จากอุบลฯ ศรีสะเกษ จากสุรินทร์ บุรีรัมย์ จากสระแก้ว-จันทบุรี-ถึงตราด  ผู้คนที่เป็นเพียงชาวบ้าน แค่ชาวชนบท ด้อยการศึกษา (ไม่มีแม้แต่ประกาศนียบัตรมัธยม โดยไม่ต้องพูดถึงระดับปริญญาตรี อย่างเราๆท่านๆ ในเมืองหลวง)

และก็ด้อยซึ่งโอกาส ที่ต้องเผชิญต่อ “สงคราม” และสภาพของบ้านแตกสาแหรกขาด  สูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ  ทำมาหากินไม่ได้  ที่อยู่ทางฝั่งตะเข็บชายแดนของ “สยามประเทศไทย”  ที่ร่วมชะตาและร่วมกรรมกับผู้คนที่ก็เหมือนๆ กัน เป็นญาติพี่น้องกัน ร่วมสายเลือดเดียว ทั้งยังร่วมวัฒนธรรม ร่วมภาษากันในฝั่งตะเข็บชายแดนของ “เขมรกัมพูชา” จากสตุงแตรง ถึงพระวิหาร จากอุดรมีชัย  ถึงบันทายมีชัย โพธิสัตว์ และเกาะกง ดังข้อเสนอต่อไปนี้

1. ขอให้กองกำลังของทั้งสองประเทศใช้ขันติธรรม และความอดกลั้น ยุติการสู้รบโดยทันที ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและกองทัพตามชายแดนของ ทั้งสองฝ่าย

2. ขอให้ถอนกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่พิพาทอย่างเร่งด่วน เพื่อลดการเผชิญหน้าทางทหารตามชายแดนระหว่างกัน

3. ขอให้ยุติเคลื่อนกำลังทหารเข้าไปยังจุดพิพาทอื่นๆ ที่ยังคงเป็นปัญหากันอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะมิให้ขยายตัวออกไปยังจุดอื่นๆตามแนวชายแดน

4. ขอให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาพิพาทเรื่องเขตแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่พิพาทบริเวณปราสาทพระวิหาร โดยผ่านกลไกการเจรจาทวิภาคีซึ่งมีอยู่แล้ว อันได้แก่คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมซึ่งได้จัดตั้งตามบันทึกความเข้าใจแห่งราช อาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2543

5. ขอให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในหลักการแห่งอหิงสา ยุติการนำประเด็นความขัดแย้งเรื่องเขตแดนมาแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง ไม่ว่าการเมืองภายในประเทศ หรือการเมืองระหว่างประเทศ อันจะทำให้ปัญหาบานปลายกลายเป็นชนวนสงครามที่ยากจะหาทางยุติลงได้

ด้วยความระลึกถึง
เชิง แก่นแก้ว
สิงหะปุระ

PS:
Make Love not War
with ASEAN Neighbors,
especially Cambodia and Laos

สื่อแคนาดารายงานพระมหากษัตริย์ไทย ติดอันดับ 1 ผู้นำรวยที่สุดในโลก

สื่อแคนาดารายงานพระมหากษัตริย์ไทย ติดอันดับ 1 ผู้นำรวยที่สุดในโลก
พล.ต.ท.สมยศ ลาออก หน.คดี พธม.ยึดสนามบินหลังโดนฟ้อง!!

http://www.internetfreedom.us/thread-13353.html


พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผบ.ตร. ลาออกจากหัวหน้าสอบคดีพธม.ยึดสนามบินต่อผบ.ตร. หลังจาก"จำลอง"นำทีมฟ้องต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหาย 220 ล้าน อ้างได้รับความกดดันระหว่างทำคดีมาตลอด ครอบครัวคนใกล้ชิดได้รับผลกระทบ 

[Image: 88j6db7hiadafjfhbh7dc.jpg]

พล.ต.ท.สมยศ ได้นำสำเนาเอกสารบันทึกข้อความที่ 0001(กม1) ลงวันที่ 11 ก.พ.2554 เรื่อง


ขอลาออกจากการเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีกลุ่มพันธมิตรฯบุกรุกท่าอากาศยานดอน​เมือง และบริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ส่งถึงพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. มาแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน


โดยรายละเอียดในบันทึกข้อความดังกล่าวระบุว่า 


"หลังจากที่ได้รับคำสั่งแล้ว กระผมได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวมาโดยตลอด กระผมได้ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจและได้ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวไปเป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานตำรวจแหง่ชาติแต่อย่างใด


จนกระทั่งการสอบสวนเสร็จสิ้นและมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามข้อกล่าว หาเสนอสำนวนการสอบสวนให้ผบ.ตร.พิจารณา ระหว่างที่กระผมรับผิดชอบเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ กระผมถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกกล่าวหาจากหลายฝ่ายว่า ไม่มีความเหมาะสม อีกทั้งยังได้รับความกดดันจากหลายๆด้าน และยังส่งผลกระทบถึงครอบครัวและคนใกล้ชิดมาโดยตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน

เพื่อเป็นการแก้ปัญหาในทุกๆด้านที่เกิดขึ้น กระผมจึงขอให้ท่านเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้แทนกระผม"


ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า 


สำหรับการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว ก่อนหน้านี้ทางพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. ได้มีคำสั่งตร.ที่ 444/2552 ลงวันที่ 9 ก.ย.2552 เรื่องเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน แต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวน(เพิ่มเติม) 


และต่อมาพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผบ.ตร. ก็ได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 373/2553 ลงวันที่ 10 ส.ค.2553 เรื่องยกเลิกและแต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งคำสั่งตร.ทั้ง 2 ฉบับ ได้แต่งตั้งและมอบหมายให้พล.ต.ท.สมยศ เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน


เครดิต
http://www.komchadluek.net


แผนมันรึป่าว...ขอเปลี่ยนมันอยู่นี่แหล่ะ
จนให้มันหมดอายุความ.....

เปิดกะโหลกนิติภูมิ เนาวรัตน์

อย่าเอาคนโรคจิตมาเป็นรัฐมนตรี โดย นิติภูมิ นวรัตน์

[Image: ucj01.jpg]
สองปีก่อน ผมเห็นคนเอาฝ่าเท้าเข้าทาบกับหน้าจอโทรทัศน์ เพื่อแสดงการเกลียดนักเล่าข่าวคนหนึ่ง ผมยังสงสัยเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย ทำไมคนไทยถึงเกลียดกันเข้าไปในกระดูกได้ลึกมากขนาดนั้น ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการ ที่ประชาชนคนไทยขยะแขยงแขงขนนายกษิต ภิรมย์ รมว. ต่างประเทศไทยคนปัจจุบัน แม้ว่าทั้งนักเล่าข่าวและรัฐมนตรีจะมีอักษรนำขึ้นต้นด้วย "ก" เหมือนกัน แต่ผมว่าคนไทยมีใจเกลียดนายกษิตมากกว่าสื่อท่านที่ว่านั่นเยอะ

พฤหัสบดีและศุกร์ที่ผ่านมา นิติภูมิต้องพูดจาสนทนากับชาวต่าวชาติถึง 5 ชุด ท่านแรกเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้ไม่พอใจนายกษิตอย่างแรง ที่นายกษิตไปพูดจาโจมตีประเทศของท่านว่าจีนสนับสนุนกัมพูชา คนจีนที่ผมรู้จักส่วนใหญ่ไม่ชอบนายกษิตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อนายกษิตในฐานะ รมว. ต่างประเทศของไทยไปพูดจาอะไรอย่างนี้ ความเกลียดนั้นก็ลามปามมาถึงประชาชนคนไทยซึ่งเลือกรัฐบาลนี้ที่มีนายกษิตเป็นรัฐมนตร​ีอยู่ด้วยขึ้นไปบริหารประเทศ

อีกชุดหนึ่งเป็นคณะข้าราชการจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อมีใครในโต๊ะอาหารพูดถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทย ผมสังเกตเห็นว่าสองในสามท่านหยุดทานอาหารทันที บรรยากาศของการพูดจาประสามิตรที่คณะข้าราชการญี่ปุ่นคณะนี้คบค้าสมาคมกับผม มายาวนานเกือบ 10 ปี กลายเป็นว่าครานี้ มิตรของเราไม่สะดวกใจในการประสานงานโครงการเดิม ผมเดาเอาเองว่า ท่านประสงค์จะชะลอไปจนกว่า ประเทศชาติราชอาณาจักรไทยจะได้รัฐบาลชุดใหม่

ผู้อ่านท่านผู้เจริญที่ติดตามเปิดฟ้าส่องโลกมาเป็นระยะก็คงจะทราบนะครับ ว่า ในห้วงช่วงหลังมานี่ นิติภูมิไปอินเดียบ่อยมากถึงมากที่สุด ความสัมพันธ์ด้านต่างๆที่เราเอาเข้าไปผูกกับทั้งรัฐบาลและเอกชนของอินเดีย จึงระโนงโยงเยงยิ่งกว่าใยแมงมุม การค้าพาณิชย์อะไรทั้งหลายทั้งปวง ก็เริ่มดี มีสินค้าไทยไปกระจายอยู่ในห้างสรรพสินค้าของอินเดียบานเบอะเยอะแยะ บริษัท อิตาเลียน-ไทย โดยคุณเปรมชัย กรรณสูต ก็ไปได้งานมาจากรัฐบาลอินเดียมากประมาณ 50 โครงการ เป็นเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ทว่าวันนี้ มีเสียงหารือมาตามสายโทรศัพท์ อยากให้ผมช่วยแจ้งรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยให้หน่อย ว่าอินเดียไม่เคยก้าวก่ายความขัดแย้งระหว่างไทยกับเพื่อนบ้าน รัฐบาลอินเดียไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอันใดกับรัฐบาลเขมรตามที่นายกษิตประกาศ ผมปัดว่า อ้า อย่าให้ผมไปเกี่ยวดองหนองยุ่งกับนายคนนี้ด้วยเลยครับ

บ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมไปพบกับคุณอเล็กซานดร้า อูรูโซวา หัวหน้าสำนักข่าว อิตาร์-ทาสส์แห่งรัสเซียประจำประเทศไทย ตกเย็นผมก็ไปพบนายเยฟกินี เบลลิงกี หัวหน้าสำนักข่าวของรัฐบาลรัสเซียประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบกันครั้งนี้ ผมไม่ค่อยมีความมั่นใจเหมือนในอดีต เพราะรู้สึกอับอาย ขายหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ไปพูดจากล่าวหาว่าประเทศของท่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกัมพูชา โดยที่ไม่มีหลักฐานในการพูดจาแม้แต่ชิ้นเดียว

ผู้อ่านท่านที่เคารพ นิติภูมิซึ่งเป็นประชาชนคนไทยตัวเล็ก ยังได้รับผลกระทบจากความสัมพันธ์อันเลวระหว่างไทยกับประเทศชาติบ้านเมือง อื่น เดิมก็ยังไม่กระไรนักดอกครับ เพราะประเทศที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยไปแสดงคำพูดจาก้าวร้าวกับเขานั้น เป็นประเทศเล็กกว่าบ้าง ยังมีระดับการพัฒนาน้อยกว่าเราบ้าง ทว่าเดี๋ยวนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลประชาธิปัตย์พาเราไปกัดกับมหาอำนาจชาติใหม่ของโลกอย่างจ​ีน อินเดีย และรัสเซีย

ดร. ดนัย ลิมปดนัย อดีตอาจารย์จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ผู้เคยไปใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของนิติภูมิที่เมโทรยูชนายา ชานกรุงมอสโก เมื่อสมัยเกือบ 20 ปีที่แล้ว (ภรรยาของท่านเป็นแพทย์หญิงผู้ดูแลลูกๆของผมขณะอยู่ในครรภ์ของมาดา) เคยวิเคราะห์อาการป่วยทางจิตของเอกอัครราชทูตไทยผู้หนึ่งให้ผมฟังว่า ทูตนายนี้น่าจะเป็นโรค Schizotypal personality disorder คือเป็นคนป่วยที่มีบุคลิกภาพคล้ายคนโรคจิต เป็นมนุษย์ที่ไม่มีเพื่อนสนิท ขาดมนุษยสัมพันธ์ คนพวกนี้จะมีแต่ความระแวงสงสัย เห็นใครทำดีเพื่อประเทศชาติ หรือเห็นใครเด่นกว่าตัวไม่ได้ จะต้องใส่ร้ายป้ายสีโดยใช้อำนาจจากองค์กรที่น่าเชื่อถือของตนเป็นองค์กรใส่ ความ คนที่มีอาการอย่างนี้ แม้ว่าจพเป็นถึงเอกอัครราชทูตก็จะไม่มีใครรัก และมักจะชอบมีเรื่องรุนแรงกับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นทูตทหาร ทูตแรงงาน อัครราชทูต หรือแม้แต่กับพรสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่เว้น

ท่านผู้อ่านครับ คนไข้มักจะไดรับการอภัยว่าไม่มีความเลว ไม่มีความผิด

แต่ผู้บริหารประเทศที่เอาคนป่วยโรคจิตมาเป็นรัฐมนตรีนี่สิครับ

ต้องพิจารณาตัวเอง

นิติภูมิ นวรัตน์
/////////////////////////////////
ไอ้ กสิด โรคจิต แบบบู๊ ล้างผลาญ
แต่ไอ้ อพิสิด โรคจิต แบบ หน่อมแน้ม..

ประเทศไทย เสียหาย เพราะไอ้โรคจิต อย่างนี้แหละ..
แถมพวกถือหาง..ชั้นสูง..
ก็บ้าๆ บอๆ...เฮ้อ
*** เสียงเตือนจากฟ้า ....เสียงฝากจากดิน ***

http://www.internetfreedom.us/thread-13380.html
เสียงเตือนจากฟ้า…แดงหยุดได้แล้ว

[Image: images?q=tbn:ANd9GcRNHdmmPeD8SS0u8WR_X71...7zo4-ybqSQ]

เสียงฝากจากดิน.....

[Image: images?q=tbn:ANd9GcQyMG3BpBIuydV3XJzhz8I...TnLCEZc2VO]

พวกอำมาตย์ทั้งหลาย...แดงเราหยุดแล้วจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งปวง
เราจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่หยุดแล้ว ส่วนเธอสิยังไม่หยุดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งปวง
เธอได้หลงผิดไปเสียแล้ว…เธอ ควรเลิกบาปกรรมทั้งปวงเสียที
และจงเกิดปัญญาดวงตาเห็นธรรม
อำมาตย์ทั้งหลายจงหยุดเอาเศรษฐกิจของประเทศ
และความสุขของประชาชนมาเป็นตัวประกันเสียที

ตอนนี้ไทยมีแต่ปัญหาร้อยแปดพันเก้า
สารพัดม๊อป รบชายแดน ใต้แบ่งแยก ไทยทะเลาะกันเอง ฆ่ากันเอง
พวกอำมาตย์จะรู้หรือไม่ว่า พวกตนคือต้นเหตุ..คือสาเหตุ
[Image: images?q=tbn:ANd9GcQhb-eHgx3KcJeQqwEkdOL...TfVUa3yj31]
[Image: images?q=tbn:ANd9GcSvEeh7uCyFSYal8kVuWor...n3ylqX5jjQ]
[Image: images?q=tbn:ANd9GcSFR6IgxbS0LDTO7XzWXpM...b0si4PaZ3g]
สาเหตุไม่ใช่เกิดจากท่านทักษิณและคนเสื้อแดงอย่างแน่นอน(อย่าแกล้งโง่)
แต่สาเหตุเพราะความบ้าสมบัติ บ้า/หวงอำนาจ และความอิจฉา ริษยา
[Image: images?q=tbn:ANd9GcQAtP3pLwMwOoKBonxkhGt...KcO0dZZPFw][Image: images?q=tbn:ANd9GcQQutos_tVfWy-DokhjSF0...LtwiR3AkUg][Image: images?q=tbn:ANd9GcT9ZKwlw6GseX57nVycMWo...n7OHZml5Im]

แต่ความจริง อีกไม่นานทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไปแล้ว
ไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย นอกจากความดี..ผลงาน..การกระทำ
[Image: images?q=tbn:ANd9GcTVCoCRtC7DCthFWvC6h2P...uY3urs7tZQ]
ประเทศอื่นๆ...ผู้นำและประชาชนสามัคคีก้าวพร้อมกันไปข้างหน้า
เพิ่อนำพาประเทศไปสู่ความสุข ความเจริญมั่งคั่ง

ญี่ปุ่นถูกปรมาณูทำลายย่อยยับในปี 2488 แต่เพียงแค่ 66 ปี (2554)
ญี่ปุ่นสามารถนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้

[Image: images?q=tbn:ANd9GcQiTeoXgumADdUizieC9FV...5xu_6diJYQ][Image: images?q=tbn:ANd9GcSTvaDPUycxCAw5Oq66bnS...Rf3kjkgler]

ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจของโลกในทางเศรษฐกิจ..ส่งออกสินค้าไปขายทั่วโลก
[Image: new-york-city-big-bicycle-sharing-program.jpg]

หลายประเทศสูญเสียเอกราช แต่ประชาชนสามารถร่วมกันต่อสู้
ได้เอกราชคืนมา รวมชาติได้ (ต.ย.เวียตนาม)

June 15, 1967 American soldiers peer out of the trench to evade Viet Cong ..

[Image: images?q=tbn:ANd9GcRFiXta2WOP6PkcXW3eSyY...tkapKPW8DA]
แต่อำมาตย์กำลังแบ่งแยกประเทศไทยให้เป็นสีต่างๆ

[Image: bangkok5.jpg]

แล้วประเทศชาติและประชาชนไทยจะก้าวไปทางใด

ชาติอื่นเขาสร้างจรวดไปดาวอื่นๆ
[Image: images?q=tbn:ANd9GcRuuAjIm1X4b_rcX0sgf61...QRb9z8W4Bg]

แต่ไทยเรายังมัวแต่เล่นบ้องไฟบ้องไฟกันอยู่
[Image: images?q=tbn:ANd9GcSWZloOosGd1ks1nMG1qpT...Q-0g7jYENw]

นอกจากนี้ ประชาชนถูกมอมเมาด้วยไสยศาสตร์ ดวงดาว ฤกษ์ผานาที
ปล่อยชีวิตไปตามบุญตามกรรม...เชื่อกรรมเก่าในอดีตชาติ
ทำบุญสร้างวัตถุอลังการงานช้าง รับน้ำหมาก เปียกน้ำมนตร์
ซื้อวีซ่าไปสวรรค์ด้วยใบผ้าป่าซองกฐิน
[Image: images?q=tbn:ANd9GcSWbTF7v1Byw323rYHZ8z4...ga16OoAIUp][Image: images?q=tbn:ANd9GcRsa_TPpzj9VX3ilReTSKW...WTdmCioVLi]
คนเรานั้นแทนที่จะรักษาอำนาจและทรัพย์สมบัติด้วยความดี
แทนที่จะทำความดีเพื่อเอาชนะความดี
กลับทำความชั่วเพื่อเอาชนะความดี
ทำรัฐประหารขับไล่ยึดทรัพย์ตัวแทนที่ประชาชนเลือกมา
ทำให้ประชาชนแตกแยก ประเทศชาติย่อยยับ

เห็นแสนยานุภาพของคนเสื้อแดงใน กทม.แล้ว
เป็นสุขมาก.........แต่ทำให้ไม่ค่อยสบายใจเลย
เพราะคนใน กทม.ที่ได้รับผลกระทบ..ย่อมไม่เห็นด้วย
และย่อมเกิดกระแสความไม่เห็นด้วย เกิดความเกลียดชัง

การเพิ่มฐานเสียงโดยการสร้างความเกลียดชังในประชาชนกันเอง
โดยหวังว่ายิ่งคนเสื้อแดงประท้วงยืดเยื้อ ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่เอาด้วย
คะแนนเสียงจะเทมายังฝ่ายอำมาตย์
ถือเป็นความคิดที่เลวบัดซบอย่างยิ่ง นี่คือการทำลายชาติ
เพราะไม่มีใครสามารถสร้างชาติได้ด้วยความเกลียดชัง ความแตกสามัคคี

[Image: images?q=tbn:ANd9GcSZyenfoFrVtP6GgLdsi69...AxXHFactDW]
รื่องดีๆ ทำง่ายๆ ไม่ทำ กลับทำเรื่องยากๆ
ให้ศาลคุมขังคนเสื้อแดง แต่ให้คนเสื้อเหลืองได้รับประกันตัว
ทำให้เกิดม๊อปแดงเรียกร้องความเป็นธรรมเดือนละ 2 ครั้ง
บ้านเมืองไม่มีความสงบ รถติด ด่ากันขรม

[Image: images?q=tbn:ANd9GcR0fSo9Qa2kmVd_90Y6BfI...q0ijEo8cnl]

มิหนำซ้ำยังทำสงครามกับเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มงบทหาร
และเพื่อเบี่ยงประเด็นความล้มเหลวในการบริหารงาน
สร้างความสามัคคีเทียมๆ..ด้วยการปลุกระดมความรักความคลั่งชาติ..
ชาตินิยมแบบตอแหล แต่ผลสุดท้าย...แห้ว ไม่มีใครออกมาเล่นด้วย
มีแต่ออกมาด่ากันตรึมว่า...อำมาตย์/รัฐบาลทำอะไรควายๆแบบนี้ได้อย่างไร
ประเทศชาติเสียหายยับเยิน

ประเทศข้างเคียงเขามีแต่ความสุขความสงบ
ต่างชาติเขาไม่ใช่ควาย ต่อให้เดินสายโรดโชว์(โง่)ในต่างประเทศทุกเดือน
เขามีทางเลือกที่ดีกว่า...ใครจะโง่มากินเที่ยวลงทุนในชาติที่มีแต่วุ่นวาย
มีผู้นำประเทศ ที่ไร้สติ ปัญญามืดบอด โคตรงี่เง่า
อย่าสร้างชาติ สร้างความรักชาติ สร้างความสามัคคี ด้วยคำพูด
การสร้าง/ประดิษฐ์ วาทกรรม ถ้อยคำ วลีเด็ด
แต่การกระทำมันกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
วางแผน สมยอม ปล่อยให้มีการรัฐประหารครั้งแล้ว ครั้งเล่า

ไม่ใช้ประชาชนเป็นฐาน แต่ใช้ประชาชนทาส
เพราะประชาชนส่วนใหญ่ ยากจนเป็นไพร่ ไม่สามารถสนองตอบอำมาตย์ได้
ต้องอาศัยทหาร ศาล นักการเมือง และข้าราชการ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย
แต่มีอาวุธ มีอำนาจ สามารถสั่งให้ซ้ายหันขวาหันได้
ประชาชนชนคงต่ำทราม เป็นเพียงแค่ขี้ข้าขายแรงงาน
ขายบริการ ขายผลิตผลเกษตรให้แดกเท่านั้น

ปัจจุบันเกิดความแตกแยก เกลียดชัง เกิดการเข่นฆ่าคนชาติเดียวกัน
แล้วคำพูดที่ออกทีวีกันทุกวันมันจะเป็นประโยชน์อะไร
สงบ ปรองดอง สมานฉันท์ มันกลายเป็นสิ่งไร้สาระ เป็นสวะที่ไร้ค่า
เทียบไม่ได้กับก้อนขี้หมาที่ยังเป็นปุ๋ยต่อพืช

มีผู้นำประเทศใดที่โง่ไปกว่าประเทศไทยอีกหรือไม่
ที่หาเรื่องทะเลาะกับประชาชนพลเมืองของตนเองตลอดเวลา.....
...ซึ่งถือว่าเลวสุดๆแล้วแต่ยังไม่พอ...พาลไปหาเรื่องทะเลาะกับเพื่อนบ้านอีก
ควายเรียกพ่อแล้วแบบนี้

พวกอำมาตย์จะรู้ต้วหรือไม่ว่า...กลายเป็นตัวตลกในสายตาชาวโลกไปแล้ว

[Image: ptldq.jpg]
[Image: veyk1.jpg]

[Image: images?q=tbn:ANd9GcRYLax65cFAXnJH35e58Tu...Gcg6rluhHQ]
พวกอำมาตย์อยากจะทะเลาะอยากเป็นศัตรูกับคนไทยด้วยกันเองไปจนตายเลยหรือ?
ไม่คิดถึงอนาคตลูกหลานเหลนที่จะอยู่ต่อไปในภายภาคหน้า
จะให้ลูกหลานเหลนของตนต้องสู้รบต่อเนื่องกับลูกหลานเหลนของคนเสื้อแดง
ซึ่งนับวันมีแต่จะเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น...[และจะปลูกฝังลูกหลานเหลนของตน
ให้เกลียดชังเหล่าอำมาตย์และลูกหลานเหลนไปจนตลอดกาลนานเช่นกัน
จนกว่าครอบครัวอำมาตย์(ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า)จะกลับใจหรือมีอันเป็นไป]

แต่ไม่มีวันที่พวกอำมาตย์จะฆ่าคนเสื้อแดงให้หมด
(เพื่อกำจัดความเกลียดชังหรือกำจัดศัตรูของตนได้)
ยิ่งฆ่ามากท่าใด..ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของคนเสื้อแดงก็จะยิ่งเพิ่มจำนวน
เพิ่มความเกลียดชังอำมาตย์เป็นทวีคูณ

[Image: images?q=tbn:ANd9GcR0ilZHurMp0soVEXn5j4-...DMpv2nPFEA]

[Image: images?q=tbn:ANd9GcQgsriKzYRxegzvVAgqrNn...VCQYhL__Aw]
พวกอำมาตย์ทั้งหลาย...แดงเราหยุดแล้วจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งปวง
เราจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่หยุดแล้ว ส่วนเธอสิยังไม่หยุดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งปวง
เธอได้หลงผิดไปเสียแล้ว…เธอ ควรเลิกบาปกรรมทั้งปวงเสียที
และจงเกิดปัญญาดวงตาเห็นธรรมเสียที

จงเอาชนะบาป เอาชนะทุกข์ เอาชนะจิตใจประชาชน
เพื่อความสุขของลูกหลานของตนเองและประชาชน
เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติ
และเพี่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของประเทศชาติในสายตาคนทั้งโลก
(ศักดิ์ศรีของประเทศชาติไม่ได้อยู่ที่การสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งก่อให้เกิดความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสประชาชนตามแนวชายแดน
ตนเองเอาแต่เสวยสุขอยู่บนหอคอยงาช้าง)

โปรดลดอัตตา..ลดทิฐิ..ลดคำว่าทักษิณและเสื้อแดงหยามกูไม่ได้

ยอมรับเถิดว่า พวกตนเองคือต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งหมด
นับตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน...
เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่ประเทศไม่ได้ก้าวข้ามไปจากการรัฐประหารเลย
(ถ้าไม่อายญี่ปุ่น..ก็จงอายต่อเขมรลาวญวนบ้างก็ยังดี)

ประเทศชาติยังมีความแห้งแล้ง
ประชาชนยังมีความทุกข์ยากลำบาก เจ็บจน
และคอยความช่วยเหลือความร่วมมือในการเยียวยาจากคนทั้งชาติ

[Image: images?q=tbn:ANd9GcQfOyoIv9vA8sSkJhZZ426...QelvJBEVfw]
[Image: images?q=tbn:ANd9GcSuWdeyu1PIdokoOQlq_31...30FbLx511Q]
[Image: images?q=tbn:ANd9GcRuQlo_0XFJ0kMZ3NII0cs...XzJifzPsVg]
[Image: images?q=tbn:ANd9GcR8VBCZs9I4bEw6-T_Sslf...40Fbtvvx6Q]
[Image: images?q=tbn:ANd9GcSxry4Zkjtpi8gYD8M804a...J_b7MsHuOp]
กลับตัว กลับใจ จงเอาความดี ความงาม..ชนะใจประชาชน

คนไทยเป็นคนดีมีเมตตาให้อภัยคนชั่วที่กลับตัวกลับใจทุกเมื่อ
และพร้อมที่จะจูงกันไปก้าวเดินไปข้างหน้า
[Image: images?q=tbn:ANd9GcTsD_3u1L6Rvqcp0vDnD6a..._17kuMaw3t]

อย่าให้ถึงต้องอายสัตว์เดรัจฉานเลย
[Image: images?q=tbn:ANd9GcSEab_vVExm4v6dfncAAoA...3QIBuOEA5c]
[Image: images?q=tbn:ANd9GcRr2z1w9zGOgi-qJCYAEbm...pXT8YtkmNw]
[Image: images?q=tbn:ANd9GcRl8d8jI6oY56BYeX4nt17...nV9uDE7g6Q]
การเอาความดีชนะใจประชาชน เป็นเรื่องไม่ยาก ทำง่ายนิดเดียว
(ก่อนที่จะถูกเกลียดชังไปมากกว่านี้ และก่อนที่จะสายเกินกาล)
นำทุกอย่างก่อน 19 ก.ย.49 กลับคืนมา
ประกาศยอมรับผิด และเปิดเผยผู้ที่เกี่ยวข้อง สั่งการ และเข่นฆ่าฆ่าประชาชน
ประชาชนพร้อมนิรโทษกรรมให้
คืนรัฐธรรมนูญ 40 แก้ไขเพิ่มเติม..คืนอำนาจให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
แสดงเจตนาอยู่ร่วมกับประชาชนด้วยความเสมอภาคและภราดรภาพ
คืนทรัพย์สินที่ยึดมา ชดเชยตอบแทนผู้ตาย บาดเจ็บ ติดคุก
ผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกคนอย่างเหมาะสม
สละทรัพย์ส่วนหนึ่งบริจาคเยียวยาคนเหล่านั้น
เพื่อลดภาระภาระภาษีงบประมาณฯของประชาชน

[Image: images?q=tbn:ANd9GcTqQM_-dmAzISqau7z0wZb...UU20XVX_EQ]

สุดท้ายถ้าจะแก้โครงสร้างทางการเมือง นอกจากแก้ระบบทหาร
ระบบศาลควายงง ศาลเมายา(ไม่ใช่อาญา)
และระบบพรรคการเมืองที่มีแต่การแบ่งพวก แบ่งฝ่าย
[แยกไม่ออกระหว่างฝ่ายบริหาร(รัฐบาล)และฝ่ายนิติบัญญัติ(ส.ส.พรรครัฐบาล)
มีการซื้อสิทธิขายเสียง หวังตำแหน่ง รมต.เพื่อเข้ามาถอนทุนคืน]

ต้องยกเลิกระบบพรรคการเมือง ส.ส.มาจากการเลือกตั้ง
เป็นฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเดียว ไม่สามารถเป็น รมต.(หรือฝ่ายบริหาร)
ส.ส.เป็นผู้กำหนดนโยบายและงบประมาณบริหารประเทศ
(ซึ่งพิจารณาโดยกรรมาธิการคณะต่างๆของสภาผู้แทนฯ)

เปิดรับสมัครเลือกตั้งฝ่ายบริหาร (นายกฯและ รมต.)โดยตรง
ทำงานภายใต้การดูแลกำกับของสภาผู้แทนฯ
คณะบริหาร/รัฐบาลไม่มีหน้าที่พิจารณาเซ็นอนุมัติงบประมาณใดๆทั้งสิ้น
ทำหน้าที่เหมือนลูกจ้าง (CEO) ของบริษัท..ประเทศไทย)
บริหารงานให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผล(ทำไม่ได้ ไม่ดี ก็ไล่ออกไป)
ภายใต้งบประมาณที่กำหนดมาให้โดยและภายใต้การกำกับดูแล
ของกรรมการบริหารของบริษัท(คือ ส.ส.)
ซึ่งกรรมากรบริหารเหล่านี้คือผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจากผู้ถือหุ้นของบริษัท
(ประชาชนชาวไทยทั้งมวล)

นี่คือความฝันในวันเวลาใกล้จะตาย(ไม่ใช่วันวาเลนไทล์)
ของลุงแก่ๆผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ 14 ต.ค.16 และ 6 ต.ค. 19
............จนถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน

เอาใจช่วยคนไทยทุกคน..โชคดีประเทศไทย

[Image: images?q=tbn:ANd9GcSzS7Gj-a4Pwy9frJ5qbBM...L6c7PwnbbA]

[Image: images?q=tbn:ANd9GcQbtX1R64thcuaEEf3ywWs...Hxd-kqFka6]

ขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ ถ้าไม่ถูกใจ


ปชป. เดือด โต้ อัมสเตอดัม ชาวต่างชาติอย่าแส่มายุคนไทยปฏิรูปการปกครอง
http://www.internetfreedom.us/thread-13379.html
ที่มา: ไทนรัฐ ออนไลน์ 14 ก.พ. 54

วันนี้ (14 ก.พ.) นายโกวิทย์ ธารณา ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอดัม ทนายความส่วนตัวพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โฟนอินมายังเวทีกลุ่มคนเสื้อแดง โดยกล่าวเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงโดยการปฏิรูปประเทศไทยว่า ต้องถามก่อนว่านายอัมสเตอร์ดัมเป็นใครเป็นแค่ทนายส่วนตัวของบางคน อย่าสะเออะมาแทรกแซงเกี่ยวกับกิจการภายในหรือระบบการปกครองของประเทศไทย และคนที่จ้างถ้าปล่อยให้ลูกจ้างทำแบบนี้มันก็ไม่มีความรักชาติไทย เพราะปล่อยให้ทนายความมาก้าวก่ายสั่งสอนคนไทยให้ปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศ ทั้งที่มีหน้าที่เป็นแค่ทนายความ คุณก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป โดยไปแก้ต่างหรือ ฟ้องร้องก็ฟ้องไป แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาบรรยายสรุปโดยการยุยงส่งเสริมคนไทยให้ก่อหวอดเปลี่ยน แปลงปฏิรูปประเทศ คุณไม่มีสิทธิ์นอกจากรัฐบาลจะจ้างในฐานะนักวิชาการให้มาวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งกรณีนี้ก็ไม่มีใครว่าจ้างยกเว้นเจ้านายของตัวเอง จึงถือว่าไร้มารยาททางการเมือง

“ต้องเข้าใจว่าสังคมไทยมีอัตลักษณ์ ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมเป็นลักษณะเฉพาะ เพราะเรามีรากเหง้าของความเป็นไทย ไม่เหมือนยุโรปที่เปลี่ยนแปลงโดยการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยการใช้กำลังห้ำหั่นในชาติของตนเอง แล้วจะมาแส่ในชาติไทยทำไม ต้องถามว่ามันวิเศษมาจากไหน ถึงมายุ่งก้าวก่ายกิจการภายในของไทย ที่ไปร้องแร่แห่กระเฌอให้ชาติโน้นชาตินี้มากดดันประเทศไทย คนไม่ใช่คนไทย แล้วจะรู้ดีไปกว่าคนไทยได้อย่างไร การปฏิรูปประเทศเราก็ทำของเราในลักษณะค่อยไปค่อยไป เราทำของเราเองได้ ฉะนั้นอย่ามาแส่”นายโกวิทย์กล่าว

นายโกวิทย์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าการที่นายอัมสเตอร์ดัมกล้าพูด และวิจารณ์ประเทศไทยเช่นนี้ คนว่าจ้างต้องมีส่วนรับผิดชอบ เพราะอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่ได้รับเงินจากนายจ้าง จึงให้นายอัมสเตอร์ดัมมาจุ้นจ้านนอกเหนือจากการทำหน้าที่เป็นทนายความแก้ ต่างให้แล้ว ตนคิดว่าเป็นการสำคัญตนเองผิด หรืออาจจะเป็นการใช้เวทีนปช.สร้างกระแสเพื่อหาลูกค้ารายใหม่ๆก็ได้ ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้หน่วยงานความมั่นคงของไทยที่กินภาษีเงินเดือนของคนไทย ว่าอย่ามัวอยู่เฉย ปล่อยให้คนต่างชาติเข้ามายุยงปลุกปั่นให้คนไทยด้วยกันเองดำเนินการเปลี่ยน แปลง หรือปฏิรูปการปกครอง หากนายอัมสเตอร์ดัมเดินทางเข้าประเทศ ทั้งหน่วยงานความมั่นคง และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ต้องจับกุม เพราะสิ่งที่พูดและแสดงออกทั้งวันที่ 13 กพ และก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการดูหมิ่นสถาบันหลักของไทยและเข้าข่ายปลุกปั่นให้คน ไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง อยากบอกว่าประเทศไทยมีกฏหมายไทยเป็นของตนเอง ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของชาติใด หรือของนายอัมสเตอร์ดัม และคนว่าจ้างก็คิดแต่จะให้ชาติบ้านเมืองวิบัติ ไม่ให้มีความเจริญเกิดขึ้นเลย แทนที่จะห้ามปราม หรือกำหนดบทบาทหน้าที่ แต่กลับปล่อยให้ทำอยู่ได้ คิดถึงแต่ผลประโยชน์ตนเองเป็นหลัก แทนที่จะเห็นแก่ผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง

###########################
??? ไม่เห็นมีประโยคไหนของคุณอัมสเตอดัม ที่เรียกร้องให้คนไทยใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันเองซักนิด
หรือว่าในหัวของนายโกวิทย์ คงมีแต่ความรุนแรง มีภาพการปฏิวัติอเมริกา หรือฝรั่งเศสวนเวียนอยู่ตลอดกระมัง .. ถ้าต้องการอย่างนั้น เดี๋ยวประชาชนก็จะจัดให้สมความอยากครับ

คำตอบของพวกไร้สมอง ยึดติดกับแต่การปกครองแบบโบราณ ก็คือคำตอบที่ชอบอ้างว่า ประเทศไทยมีขนบธรรมเนียมของตัวเอง ชาวต่างชาติไม่มีทางรู้ดีกว่า .. พวกนี้คือพวกที่หาเหตุผลที่ดีกว่ามาโต้แย้งไม่ได้ จึงปิดประตูตัวเองอยู่แต่ในกะลา การปฏิรูป หรือปฏิวัติประเทศไม่ใช่การ "ทำลายวัฒนธรรม" แต่เป็นกระบวนการหนึ่งในการพัฒนาประเทศเข้าสู่กระแสโลกาภิวัฒน์ ดูอย่างจีน ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น ฯลฯ หลังจากที่มีการปฏิวัติประเทศก็ล้วนแล้วแต่เจริญขึ้นทั้งนั้น และวัฒนธรรมของประเทศตัวเองก็ไม่ได้สลายหายไปไหน ...

ก่อนที่จะไปกล่าวหาคุณโรเบิร์ต อัมสเตอดัม ว่าเป็นชาวต่างชาติน่ะ ช่วยไปถามหัวหน้าพรรคตัวเองกับ "พ่อ" ของมัน ก่อนดีกว่านะ ว่าตกลงมรึงมีสัญชาติไหนกันแน่ ถึงได้สะเออะ มาปกครองคนไทยทั้งประเทศ

สื่อแคนาดารายงานพระมหากษัตริย์ไทย 

ติดอันดับ 1 ผู้นำรวยที่สุดในโลก

เว็บไซต์แวนคูเวอร์ซัน สื่อสายอนุรักษ์นิยมของแคนาดารายงานพระมหากษัตริย์ไทยครองอันดับหนึ่งผู้นำที่รวยที่สุดในโลก ระบุทรงถือครองที่ดินจำนวนมหาศาล รวมถึงที่ดินในกรุงเทพฯ กว่า 3,500 เอเคอร์
โดยแวนคูเวอร์ซันรายงานโดยจัดอันดับผู้นำที่รวยที่สุดในโลกพร้อมประมาณการทรัพย์สินดังนี้
อันดับหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ประเทศไทย 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
พระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลก พระชนมายุ 82 พรรษา ทรงเป็นผู้นำที่รวยที่สุดด้วยเช่นกัน ทรัพย์สินของพระองค์นั้นประกอบด้วยการถือครองที่ดินอย่างมหาศาลรวมไปถึงที่ดินประมาณ 3,500 เอเคอร์ในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยโต้แย้งการจัดอันดับให้พระองค์เป็นผู้นำที่รวยที่สุดในโลก โดยให้เหตุผลว่าทรัพย์สินหลายรายการนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์
อันดับที่ 2 สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันของบรูไนเป็นปัจจัยที่ทำให้สุลต่านของบรูไนเป็นผู้นำที่รวยติดอันดับโลก และก็ใช้เงินไปกับรถยนต์หรู การจ้างไมเคิล แจ็กสันให้เปิดการแสดงเป็นการส่วนพระองค์เพื่อฉลองวันพระราชสมภพ 50 พรรษา ในปี รายงานของศาลแสดงให้เห็นว่าทรงจ่ายเงินค่าจ้างโค้ชแบดมินตันราว 2 ล้านเหรียญสหรัฐ อีก 2 ล้านปอนด์สำหรับค่าฝังเข็มและนวด และค่าจ้างคนทำงานบ้านอีกประมาณคนละ 11 ล้านเหรียญสหรัฐ
อันดับที่ 3. ชีกห์คาลิฟา บิน ซาเอด อัล นาห์ยัน ประมาณ 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ซึ่งเป็นประเทศที่ถือครองน้ำมันมากติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก ชีค กาลิฟาห์ทรงจ่ายเงิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการสร้างศูนย์วัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงการว่างจ้างแฟรงก์ เกอร์รี่ ผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์
อันดับที่ 4  พระราชาอับดุลลาห์ บิน อาบูล อาซิซ ของซาอุดิ อาระเบีย ประมาณ 21,000 ล้านเหรียญ
อันดับที่ 5 ชีกห์มูฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มักทูม แห่งดูไบ ประมาณ 12,000 ล้านเหรียญ
อันดับที่ 6 ฮอสนี มูบารัก ประมาณ 10,000 ล้านเหรียญ
อันดับที่ 7 ซิลวิโอ เบลุสโคนี่ ประมาณ 9,000 ล้านเหรียญ
อันดับที่ 8 ฮาน อดัมส์ ที่สอง แห่งลิกเตนสไตน์ ประมาณ 3,500 ล้านเหรียญ
อันดับที่ 9 เอมิร์ แห่งการ์ตาร์ ประมาณ 2,000 ล้านเหรียญ
อันดับที่ 10 อาซิฟ อาลี ซาดารี ประธานาธิบดีแห่งปากีสถาน ประมาณ 1,900 ล้านเหรียญ


เครือข่ายสันติประชาธรรม ร่วมรณรงค์ “3 หยุด”

http://ruleoflawthailand.wordpress.com/2008/11/19/stop/
ดาวน์โหลด PDF | GIF

เครือข่ายสันติประชาธรรม ร่วมรณรงค์

หยุดนำมวลชนมาปะทะกัน!
หยุดให้ท้ายพันธมิตร!
หยุดนำประเทศไปสู่อนาธิปไตยและการรัฐประหาร!
ในขณะนี้เป็นที่ชัดเจนว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ในภาวะตึงเครียดอย่างยิ่ง อันเป็นผลจากการเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่าง ๆ จนทำให้เกิดความเชื่อโดยทั่วไปว่าสังคมไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะ-นองเลือดระหว่างประชาชนสองขั้วได้ พวกเราในฐานะกลุ่มทางสังคมที่ห่วงใยต่อชีวิตของประชาชนจึงขอเรียกร้องต่อฝ่ายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. หยุดนำมวลชนมาปะทะกันเราขอเรียกร้องให้ผู้นำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มพล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ยุติการเคลื่อนไหว ด้วยวิธียั่วยุให้เกิดความเกลียดชังและโกรธแค้นซึ่งกันและกัน และยุติการเคลื่อนมวลชนของตนออกจากที่ตั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกับอีกฝ่ายหนึ่ง
เราขอเรียกร้องให้ผู้นำพันธมิตร, นปช. และพล.ต.อ.สล้างตระหนักว่าสังคมไทยไม่จำเป็นต้องสร้างวีรบุรุษ-วีรสตรีในลักษณะเช่นนี้ พวกท่านไม่ควรเห็นมวลชนของตนเองเป็นเพียงหมากทางการเมืองเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น  ต่อจากนี้ไป หากเกิดความรุนแรงต่อชีวิตของประชาชน ผู้นำของกลุ่มเหล่านี้ จักต้องรับผิดชอบ
2. หยุดให้ท้ายพันธมิตรสาเหตุสำคัญที่ทำให้วิกฤติการเมืองในขณะนี้เดินมาสู่ “ทางตัน” ก็คือ ผู้นำฝ่ายพันธมิตรฯ ปฏิเสธไม่ยอมเจรจาประนีประนอมทางการเมือง แต่ยืนยันที่จะใช้วิธีแตกหักเพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ระบอบ “การเมืองใหม่” ของตนซึ่งเป็นระบอบเผด็จการคนส่วนน้อยและสวนทางกับหลักการประชาธิปไตย ประการสำคัญ ในขณะที่ผู้นำพันธมิตรอ้างว่าตนทำเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ข้อเสนอที่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามามีอำนาจทางการเมืองโดยตรง เช่น มีอำนาจในการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพโดยตรง เท่ากับต้องการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลต่อสถานะที่เป็นกลางและอยู่เหนือการเมืองของสถาบันฯ ในระยะยาว
นอกจากนี้ ที่ผ่านมากลุ่มต่าง ๆ ในสังคมที่ควรวางตัวเป็นกลาง ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ราษฎรอาวุโส องค์กรสิทธิมนุษยชน วุฒิสมาชิก และสื่อมวลชน ต่างไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เป้าหมายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย การละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และยุทธวิธียั่วยุให้เกิดความรุนแรงของฝ่ายพันธมิตร จึงกล่าวได้ว่าในขณะนี้เราไม่มีบุคคลหรือสถาบันใดในสังคมที่ได้รับความยอมรับจากทุกฝ่ายว่าเป็นกลางอย่างแท้จริง ทำให้โอกาสของการเจรจาเพื่อหาทางออกกับคู่ขัดแย้งริบหรี่ลงจนแทบเป็นไปไม่ได้
กระนั้น เราเห็นว่ายังไม่สายเกินไปที่ทุกภาคส่วนในสังคมจะยุติการอุปถัมภ์ค้ำจุนกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างผิดๆ และเริ่มต้นวิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร นปช. รัฐบาล กองทัพ ตำรวจ ตลอดจนระบบตุลาการอย่างเที่ยงตรงและเท่าเทียมกัน เราเชื่อมั่นว่าด้วยแนวทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้เกิดการสานเสวนาที่วางอยู่บนข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านเพื่อหาทางออกให้กับวิกฤติครั้งนี้ได้อย่างแท้จริง
3. หยุดนำประเทศไปสู่อนาธิปไตยและการรัฐประหาร
เราขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในหลักการว่า “การแก้ไขความขัดแย้งจะต้องอยู่ในกฎกติกา ไม่ใช่ด้วยอาวุธและความรุนแรง” การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ซ้ำยังทำให้ความขัดแย้งแบ่งฝ่ายทางการเมืองขยายตัวสูงขึ้น ประการสำคัญ ภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองขณะนี้ ชวนให้เชื่อได้ว่าหากเกิดการรัฐประหารหรือยึดอำนาจรัฐด้วยวิธีการนอกรัฐธรรมนูญอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเกิดการจลาจล และนองเลือดของประชาชนครั้งใหญ่ และหากเป็นเช่นนั้นจริง บรรดาผู้ก่อการรัฐประหารจะต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมและหายนะที่ท่านมีส่วนก่อให้เกิดขึ้น
เครือข่ายสันติประชาธรรม
  1. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  2. ธนศ อาภรณ์สุวรรณ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  3. ธิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  4. พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  5. นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  6. เวียงรัฐ เนติโพธิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  7. ธนาพล ลิมอภิชาติ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  8. ธงชัย วินิจจะกูล ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน
  9. เกษียร เตชะพีระ คณรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  10. ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  11. อภิชาต สถิตนิรมัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  12. อัครพงศ์ ค่ำคูณ โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  13. เกษม เพ็ญพินันท์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  14. ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  15. ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  16. สุรัสวดี หุ่นพยนต์ สำนักบัณฑิตอาสา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  17. นภาพร อติวานิชยพงศ์ สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร ธรรมศาสตร์
  18. เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว สำนักงานสิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
  19. ศรีประภา เพชรมีศรี สำนักงานสิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
  20. ภวิดา ปานะนนท์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  21. พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
  22. สมเกียรติ ตั้งนโม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  23. อรณิชา ตั้งนโม มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
  24. ชำนาญ จันทร์เรือง มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
  25. ชาตรี ประกิตนนทการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
  26. จักเรศ อิฐรัตน์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  27. ชาญชัย ชัยสุขโกศล ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล
  28. กนกรัตน์ เลิศชูสกุล Ph.D. candidate LSE. London, U.K.
  29. ฆัสรา มุกดาวิจิตร นักวิชาการอิสระ
  30. จักเรศ อิฐรัตน์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  31. คมลักษณ์ ไชยยะ นักศึกษาปริญญาโทมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร
  32. ภาคภูมิ ลบถม นักศึกษาปริญญาโทมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร
  33. ประพันธ์ ภราดรพานิชกุล นักศึกษาปริญญาโทมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร
  34. สมพร เปินสมุทร นักศึกษาปริญญาโทมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร
  35. สมาภรณ์ แก้วเกลี้ยง นักศึกษาปริญญาโทสิทธิมนุษยชนเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยมหิดล
  36. ปรีชา งามดี นักศึกษาปริญญาโท การพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  37. กานต์ ทัศนภักดิ์ Asian Public Intellectuals Program
  38. ไม้หนึ่ง ก. กุนที กวี
  39. เต็กตี่ แซ่ตั้ง บรรณาธิการสำนักพิมพ์วลี
  40. ธนาพล อิ๋วสกุล สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน
  41. ณภัทร สาเศียร ประชาชน
  42. สายสัมพันธ์ รัตนปรีดากร นักออกแบบอิสระ
  43. ศุษม อรรถวิภาคไพศาล พนักงานบริษัทการบินไทย
  44. ศิริภาส ยมจินดา ประชาชน
  45. สลิสา ยุกตะนันทน์ ประชาชน
  46. สุริยาพร โสกันต์ นักศึกษาโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  47. ชาญกิจ คันฉ่อง ประชาชน
  48. คำ ผกา นักเขียน
  49. กิตติศักดิ์ สุจิตตารมย์ สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน
  50. เพ็ญนภา หงษ์ทอง
  51. สง่า ลือชาพัฒนพร
  52. สมถวิล ลือชาพัฒนพร
  53. ณัฐธิดา ลือชาพัฒนพร
  54. ลลิตา ลือชาพัฒนพร
  55. อภิญญา ลือชาพัฒนพร
  56. ชวาลิน เศวตนันทน์ ภาควิชาเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยแมคคอร์รีย์ ซิดนีย์ ออสเตรเลีย
  57. ปกป้อง เลาวัณย์ศิริ นักกิจกรรมทางด้านสิทธิมนุษยชน
  58. อภิวัฒน์ แสงพัทธสีมา RhythMatic studio & Urban Media Society[UMS]
  59. ธีร์วนี วงศ์ทองสรรค์
  60. อนุสรณ์ อุณโณ Ph.D. in anthropology, the University of Washington
  61. ชลิตา บัณฑุวงศ์ อุณโณ Graduate student in anthropology, the University of Hawaii
  62. กิตติศักดิ์ สฤษดิสุข
  63. จุฑิมาศ สุกใส ประชาชน
  64. วสันต์ ลิมป์เฉลิม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
  65. สาธิต ชีวะประเสริฐ
  66. ไตร ทองพิสุทธิ์
  67. สุจิตรา รัตนกรกช
  68. ธัชพงศ์ ต้นกันยา
  69. นิตยา นาคพุ่ม
  70. สัณห์ชัย โชติรสเศรณี
  71. ภาณุ ตรัยเวช
  72. ประเสริฐ พงษ์เสนีย์
  73. วัฒนา พัดเกตุ คณะมนุษยศาสตร์ ม. นเรศวร
  74. รชา พรมภวังค์
  75. ประดิษฐ์ ลีลานิมิต
  76. พสุธร กอกฟั่น
  77. ไท เกิดงาม
  78. ประสาท ศรีเกิด
  79. พูนสุข ภระมรทัต มหาวิทยาลัยนเรศวร
  80. รชตะ วัฒนวงศ์ นิสิตปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา
  81. บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
  82. Chesda Udommongkol Stroke Research Fellow / PhD Candidate Neurology Ultrasound, Austin Hospital, AUSTRALIA
  83. Suleemarn Wongsuphap Ph.D Candidate in Anthropology LaTrobe University
  84. ทรงศักดิ์ ปัญญา ประชาชน
  85. ชัยพงษ์ สำเนียง ประชาชน
  86. สิริณยา ธโนปจัยสิทธิ ศิษย์เก่าศิลปศาสตร์ มธ.
  87. วีรชัย ธโนปจัยสิทธิ ประชาชน
  88. รศ.นพ.มาโนช หล่อตระกูล คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  89. ธิราช แสงวิชัยภัทร นักธุรกิจ
  90. วิจิตรา มัทซุยามะ ประชาชน
  91. นัฐพงษ์ เป็งใจยะ ป โท เศรษฐศาสตร์การเมือง มช.
  92. มัทนา โกสุมภ์ ประชาชน
  93. ชัยวัฒน์ มัตถิตะเตา ประชาชน
  94. ศรินทิพย์ พรหมฤทธิ์ ประชาชน
  95. โชติรส อินทร์สิงห์ ประชาชน
  96. เกศวรรณ ชัยมงคล ประชาชน
  97. รอยพิมพ์ อินต๊ะยศ ประชาชน
  98. จารุณี อินต๊ะ ประชาชน
  99. สมนึก จงมีวศิน นักศึกษาปริญญาเอก สาขาการจัดการมรดกทางสถาปัตยกรรมและการท่องเที่ยว คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
  100. ดร.ชัญชนา ตั้งวงศ์ศานต์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  101. ปิยนุช ตั้งวงศ์ศานต์
  102. วีระพล สิงห์น้อย สถาปนิก
  103. สุวรรณี ตั้งวงศ์ศานต์ ศิษย์เก่าคณะหาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  104. นวลจันทร์ สุรพฤกษ์ ศิษย์เก่าคณะหาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  105. เลิศ ตั้งมหากุล สถาปนิกอิสระ
  106. จิราภรณ์ หิรัญบูรณะ