วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ฮุนเซ็นเรียกร้องให้สหประชาชาติ เรียกประชุมด่วนเพื่อให้ไทยหยุดรุกล้ำดินแดนกัมพูชา
เขียนโดย pal 
http://www.internetfreedom.us/thread-12308.html

[Image: 2t010.png]


http://www.go6tv.com/2011/02/blog-post_9122.html
[Image: zo630.jpg]

สื่อนอกตีข่าวปะทะเดือดรอบ 3 ขณะที่นายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ของกัมพูชา
ร้องไปยังสหประชาชาติให้ช่วยยุติการโจมตีของไทย หลังอ้างว่า
ปืนใหญ่ที่ยิงจากไทย ทำให้ปราสาทพระวิหารเสียหายบางส่วน...

สถานีโทรทัศน์แห่งชาติของกัมพูชา รายงานแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ที่ระบุว่า
เขาได้ส่งจดหมายไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
เรียกร้องให้จัดการประชุมฉุกเฉิน เพื่อหาทางให้ไทยยุติการโจมตีกัมพูชา
หลังจากการปะทะกันระหว่างทหารทั้ง 2 ฝ่ายครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ (6 ก.พ.)
ส่งผลให้ส่วนปีกของปราสาทพระวิหารได้รับความเสียหายบางส่วน
จากการที่ไทยยิงปืนใหญ่เข้าไปยังพรมแดนฝั่งกัมพูชา

สื่อต่างประเทศรายงานว่า การปะทะกันระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายครั้งล่าสุด
ถือเป็นการสิ้นสุดข้อตกลงหยุดยิงที่ทั้งไทยและกัมพูชาได้ตกลงกันไว้ในช่วง
การปะทะกันครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตของทั้ง 2 ฝ่าย รวม 5 คน
ขณะที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างออกมากล่าวหาอีกฝ่ายว่าเริ่มยิงก่อน.


http://www.thairath.co.th/content/oversea/147091
ตีหนึ่งกว่าๆทะเหี้ยเสียปราสาทโดนตวล ศรีสะเกษ เสียงอึกกระทึกครึกโครมเสียงร้องโอดครวญ!
http://www.internetfreedom.us/thread-12304.html

[Image: 268604[0]]

เขมรอ้างไทยยิงก่อน-ยึดปราสาทโดนตวลในไทยแล้ว

7 ก.พ. 54 03.42 น. สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ ระบุว่าการยิงปะทะกันในวันที่ 3 ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ทำให้ตัวประสาทพระวิหารพังทลายลงบางส่วน โดยรัฐบาล
ได้รับรายงานจากผู้บัญชาการทหารในพื้นที่ว่า ปีกปราสาทด้านหนึ่งพังเสียหาย ผลจากการยิงกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายไทยเมื่อวันอาทิตย์ โดยสำนักข่าวต่างประเทศ อ้างนายทหารระดับสูงของกัมพูชาว่า มีการยิงปะทะกันรอบใหม่ในเมื่อช่วงเย็นเมื่อวานนี้ โดย กล่าวว่า มีการยิงปะทะรอบใหม่ โดยกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อนเมื่อเวลา 18.35 น.ของช่วงเย็นวันที่ 6 กพ.ตามเวลาไทย
ขณะเดียวกัน ดึมอัมปึล สื่อของกัมพูชา รายงาน จากการเผยของ ผู้บัญชาการทหารบกของกัมพูชา ที่กล่าวว่ากัมพูชากับไทยได้ใช้อาวุธหนักเข้าปะทะใส่กัน ขณะเดียวกัน โดยบอกว่า เราจะต่อสู้ในตอนนี้เพราะฝ่ายไทย เริ่มยิงเราก่อน โดยยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวอีกว่าปีกของปราสาทพระวิหารได้พังเสียหายบางส่วน เป็นผลโดยตรงจากการยิงระเบิดปืนใหญ่ของฝ่ายไทย
ทั้งนี้แหล่งที่มายังกล่าวอีกว่าไทยได้ส่งทหารประมาณ 2,000 ถึงชายแดนเเล้ว ส่วนบริเวณของจังหวัด บันเตย-เมียนเจย ของกัมพูชา ไฟฟ้าได้ดับลงหมดเเล้ว นอกจากนี้ ดึมอัมปึลยังเสมอข่าวว่า อีกว่า เหตุการณ์สู้รบกันมีชาวกัมพูชาเสียชีวิตเพียง 2 คน เป็นทหาร 1 นาย จากการปะทะกันวันที่ 4-5 ก.พ.ที่ผ่านมา มีชาวกัมพูชาเสียชีวิตเพราะทำปืนลั่น ไม่ได้ถูกทหารไทยยิงตาย อีกคนเป็นชาวบ้าน มีผู้บาดเจ็บรวม 20 คนเท่านั้น และยังเสนอภาพ อ้างว่าเป็นกองเสบียงอาหาร และน้ำดื่มจำนวนมากที่ชาวกัมพูชาทั่วประเทศส่งมาช่วยทหารต่อสู้กับไทย
สำหรับสถานการณ์ล่าสุดจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่าง ทหารไทย-เขมร ทหารเขมรได้บุกยึดปราสาทหินโดนตวล
ที่อยู่ในพื้นที่ไทย อยู่ห่างจากหมู่บ้านภูมิซรอล ประมาณ 8 กิโลเมตร และห่างจากตัว อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 38 กิโลเมตร ได้ถูกทหารเขมรยึดได้แล้ว ยังมีการปะทะตลอดแนวชายแดน ระยะ 10 กิโลเมตร
หลับหูหลับตาอุ้มกันอยู่ได้....

http://www.internetfreedom.us/thread-12316.html
เมื่อวานซื้อส้มกิน 1 โลได้มา 8 ลูก กับมะม่วงอีก 2 ลูก เป็นเงิน 100 บาท ต๊กใจ เงิน100 บาทตอนนี้ได้ผลไม่แค่ 10 ลูกเองเหรอเนี่ย แอบนั่งคิดแล้วคนงานที่ทำงานค่าแรงขั้นต่ำวันละ 260 บาท/วัน อยากกินส้ม หรืออยากซื้อส้มให้ลูกกินทำไงคะเนี่ย คงต้องกลืนน้ำลายรึเปล่า เพราะมันไม่ได้ขายเป็นลูกซะด้วย


ตอนเย็นพ่อซื้อไข่จาก ตจว.มาฝาก ไข่ประมาณเบอร์ 3 เบอร์นี้ถ้าซื้อเป็นลูกจะอยู่ที่ 10 ฟอง 32 บาท ตก 3.20 บาท/ฟอง
เราลองเอาชั่ง ก.ก. ปรากฎว่าได้ 16 ลูก 1 ก.ก. ไอ้หมีมันให้ขาย ก.ก.ละ 52 - 53 บาท ปรากฎว่ากลายเป็นตกฟองละ 3.25 สตางค์
สรุปชั่งก.ก.มันดีกว่าตรงไหนฟระ ไม่แตกต่าง แถมแพงกว่าอีก เวรจริงๆ



ตกค่ำไปโลตัสสาขานวมินทร์ แม่ฝากซื้อน้ำมันพืช....แม่จ้าว น้ำัมันพืชไม่มีขายสักขวด


ตกดึก ข่าวชายแดนยังยิงกันโครมๆ มีคนบาดเจ็บล้มตาย ภาพข่าวชาวบ้านหอบลูกหอบผ้าหอบผ่อนหนี อนาถจริงๆ



มั๊ยล่ะไอ้พวกเวรตะไล บริหารประเทศได้ดีเหลือเกิ๊นนนนน มองภาพรวมแล้วฉิบหายไปทุกด้านเลยค่ะ เมื่อไหร่มันจะออกๆ ไปซะที ไอ้คนอุ้มมันก็อุ้มอยู่ได้ พวกปัญญาอ่อนชัดๆ


ผบ ทบ เขมร เขาเข้ามาตรวจชายแดน

เอ๊า... ผบ ทบ เขมร เขาเข้ามาตรวจชายแดนแล้ว ผบ ทบ ของไทย จะไปตรวจชายแดนมั่งหรือเปล่า
หรือมัวแต่ไปตรวจ แต่สนามกอฟซ์ ท่าน ผบ ตอบด่วน.....
[Image: 355465489.jpg]

...พวกควายเหลืองเห่าออกมาแล้วว่า...
ไม่ไปชายแดนไม่ไปรบ..เพราะเป็นหน้าที่ทะเหี้ย สัตว์!

http://www.internetfreedom.us/thread-12320.html
เมื่อคืนทนฟัง ไอ้ทีวีส้นตีน อยากรู้ว่าเกิดสงครามแล้ว

มันจะออกไปไล่ขวิดเขมรเมื่อไร่ เพราะเห็นว่าจะถามมติ

จากพวกไอ้อีควายที่แดกน้ำโกเต๊กอยู่ข้างถนนว่าจะไปรบไม๊

ปรากฎว่ามีแต่การเห่าหอนเพลงส้นตีนๆ จากไอ้ตี๋หิด หน้าตา

เหมือนheeควาย และเอาเด็กๆแต่งชุดเผ่าต่างๆ ออกมาขอทาน

จากบรรดาควายโง่ข้างถนน และแล้วอีควายตัวนึง ก็ออกมาแพลมว่า

พวกมันไม่ต้องออกไปรบชายแดน ตามที่มีคนถามมา เพราะมันเป็นหน้าที่

ของเหล่าทะเหี้ยในการทวงพื้นที่เอาไว้ฝังศพโคตรพ่อโคตรแม่มัน คืนมาจากเขมร

สรุปคือ พวกมันเห่าหอน แหกหอยแหกหำ ร้องเต้น เหมือนกระหรี่ได้น้ำ

อยู่ที่ข้างถนน ไม่ไปชายแดนแน่นอน ทั้งที่มันเป็นตัวเหี้ยที่เรียกร้อง

ให้เกิดสงคราม พวกมันหัวเราะเฮฮาไม่สนใจความเดือดร้อนทุกข์ยาก

ของประชาชนตามชายแดนเลย ร้องแต่ขอเงินแบบขอทานไปแดก

ไปยัดกัน สารพันความชั่ว

อยากให้ประชาชนที่เดือดร้อน ต้องอพยพหนีตายจากการที่ทะเหี้ยไทย

ไปรุกรานเขมร มากระทืบไอ้พวกควายน้ำโกเต๊กหน้าทำเนียบให้จมส้นตีน

ความระยำ ชาติชั่ว มั่วกาม เดรัจฉานวิชา สารพัดความเลวของพวกควายเหลือง

มันน่าจะได้รับผลตอบแทนเป็น M79 M16 หรือ RPG เป็นการตอบแทน

รอลุ้นอยู่ว่าเมื่อไหร่กรรมจะสนองไอ้พวกสัตว์บ้ากาม พวกนี้ซักที ...สาธุ

จะแช่งแม่งให้ฉิบหายตายโหงไอ้ชาติหมา !

อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่ เว้นเสียแต่ใจไอ้เหี้ยสุดกำหนด
ทั้งลวงล่องอเงี้ยวทั้งเลี้ยวลด ถึงคลองคดก็ไม่เหมือนใจมึง!
นิติราษฏร์ “กองทัพ – การเมือง – ประชาธิปไตย” 6/02/11














กลุ่มไม่เอาสงครามนัดรวมตัวกันเพื่อแสดงพลังต่อต้านการทำสงคราม

กลุ่มไม่เอาสงครามนัดรวมตัวกันเพื่อแสดงพลังต่อต้านการทำสงคราม
http://www.thairedsweden.com/





มื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่อนุสาวรียชัยสมรภูมิ กลุ่มไม่เอาสงครามนัดรวมตัวกัน
เพื่อแสดงพลังต่อต้านการทำสงครามและเรียกร้อง ให้รัฐบาลจัดการแก้ปัญหา
ภายในประเทศโดยเฉพาะการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงและไม่อยากให้
ประชาชนต้องเสียชีวิตอีก ไม่ว่าจะเป็นสงครามกลางเมืองหรือสงคราม
ชายแดน มติชน



แต่ถ้าไอ้พวก พธม คลั่งชาติที่ กทม มันกระหายสงครามก็ให้มันไปตั้งเวทีชุมนุม
ที่ชายแดนแล้วก็ทำการรบเอง อย่าเอาลูกหลานคนยากจนไปตายแทนพวกมัน



Posted by แดง สวีเดน at 2:40 PM 0 comments  

Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Google Buzz

อ.ใจ อึ๊งภากรณ์ เสวนา งานรากหญ้าสังคมนิยม Thai Red Sweden (ตอน 2)


Posted by แดง สวีเดน at 12:22 AM 0 comments  

Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Google Buzz

February 6, 2011



Press conference video in Thai - ประเทศไทย

และศาลอาญาระหว่างประเทศ


Posted by แดง สวีเดน at 10:56 PM 0 comments  

Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Google Buzz

Somsak Rachso: ปราสาทพระวิหาร เอ็มโอยู 2543 และแผนที่


ปราสาทพระวิหาร เอ็มโอยู 2543 และ แผนที่

โดย พวงทอง ภวัครพันธุ์ เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์
มติชน ฉบับวันที่ 3 สิงหาคม 2553



จากการประท้วงของกลุ่มชาตินิยมครั้งล่าสุด มีประเด็นสำคัญ
ที่ผู้เขียนต้องการถกเถียงในที่นี้คือกรณี MOU ปี 2543 และ
คำอธิบายของกลุ่มชาตินิยมที่มีต่อแผนที่เจ้าปัญหา



ควรยกเลิก MOU 2543 จริงหรือ?



หนึ่งในข้อเรียกร้องของกลุ่มชาตินิยมคือ ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศยกเลิก
บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการ
จัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 (MOU 2543) ที่ลงนามโดย
 ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รมช. กต.ในขณะนั้น และ นายวาร์ คิม ฮง
ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการชายแดนของกัมพูชา



เหตุผลที่ต้องยกเลิกก็เพราะ MOU 2543 ระบุว่า หนึ่งในเอกสารที่ต้องใช้
ในการปักปันเขตแดนทางบก คือ แผนที่ ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปัน
เขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเ​ศสตาม
อนุสัญญาปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1907 ซึ่งมีความหมาย
รวมถึงแผนที่ที่ทำให้ไทยแพ้คดีปราสาทพระวิหารในปี 2505 หรือที่ฝ่ายไทย
ชอบเรียกว่า แผนที่ 1: 200000  แต่ในที่นี้จะเรียกว่า แผนที่ตอนเขาดงรัก
แผนที่แสดงพื้นที่ที่มีการปักหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา



เรื่องนี้ดูจะสร้างความตระหนกให้แก่กลุ่มชาตินิยมไม่น้อย เพราะพวกเขายืนยัน
มาโดยตลอดว่า ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ฉบับนี้ (ฉะนั้น ไทยจึงไม่ต้องยอมรับ
คำตัดสินของศาลโลกที่ยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา) แต่ปรากฏว่า
พวกเขาได้ค้นพบว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่พวกเขาช่วยกันอุ้มชู
กลับเป็นผู้ไปทำ MOU ที่แสดงการยอมรับแผนที่เจ้าปัญหาเสียเอง
ฉะนั้นรัฐบาลอภิสิทธิ์จะต้องเลิก MOU โดยด่วนที่สุด



คำถามที่จะต้องถามคือ
  1. ไทยจะอ้างเหตุผลอะไรเพื่อยกเลิก MOU 2543  
  2. การยกเลิกจะทำให้ประเทศไทย ได้และเสีย อะไรบ้าง
ตอบคำถามแรก:



MOU 2543 ไม่มีส่วนใดที่ระบุว่า คู่สัญญาสามารถบอกเลิกหรือเพิกถอนได้
แต่โดยลำพัง ทั้งนี้อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ.1969 ได้กำหนดว่า ในกรณี
หนังสือสัญญาไม่ได้ระบุเรื่องการบอกเลิกหรือเพิกถอน ก็จะกระทำไม่ได้
ยกเว้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมขั้นพื้นฐานของสนธิสัญญาดังกล่าว



ในกรณีนี้ ไทยจะใช้เหตุผลอะไรเพื่อขอยกเลิก MOU การมาค้นพบภายหลังว่า
แผนที่ที่ใช้ปักปันเขตแดนมีปัญหา ย่อมไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
ขั้นพื้นฐาน



ตอบคำถามที่สอง:



หากรัฐบาลอภิสิทธิ์เต้นไปตามแรงกดดันชาตินิยม และตัดสินใจเลิก MOU นี้
สิ่งที่ประเทศไทยจะได้ก็คือ นายกฯ ที่มีคะแนนนิยมที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ก็คงชั่วครู่
ชั่วคราวเท่านั้น โชคดีที่ครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ไม่ใจร้อนเหมือนปีที่แล้ว ที่ด่วน
บอกเลิก MOU การปักปันพื้นที่ไหล่ทวีป กับการให้ความช่วยเหลือสร้างถนน
แก่กัมพูชา



การจะตอบคำถามว่าการยกเลิก MOU 2543 จะทำให้ไทยเสียอะไรบ้าง
จะต้องกลับไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผนที่เจ้าปัญหาชุดนี้เสียก่อน
กล่าวคือ แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการ
ปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับ​ฝรั่งเศสชุดนี้ มีทั้งหมด 11 ตอน (ระวาง)
ครอบคลุมเขตแดนทางบกด้านตะวันออกของไทย ตั้งแต่ลาวลงมาถึง
กัมพูชา (ตอนเขาดงรัก หรือบริเวณปราสาทพระวิหาร เป็น 1 ใน 11 ตอน)
ฉะนั้น แผนที่ชุดนี้จึงไม่ได้ถูกใช้เป็นเอกสารในการปักปันเขตแดนระหว่าง
ไทย-กัมพูชาเท่านั้น แต่ยังถูกใช้ในการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-ลาวด้วย



หากฝ่ายไทยขอยกเลิก MOU 2543 กับกัมพูชา ด้วยเหตุผลว่า
ไทยไม่ยอมรับแผนที่ชุดนี้

ก็อาจกระทบต่อการปักปันเขตแดนที่กระทำร่วมกับลาวด้วย เพราะหาก
ไทยไม่ยอมรับสถานะของแผนที่ชุดนี้ในความสัมพันธ์กับกัมพูชา
แต่หันไปบอกกับลาวว่า ไม่เป็นไรไทยยินดีใช้แผนที่ชุดนี้เพราะมันเป็น
หลักฐานที่ทำให้ไทยได้เปรียบกรณีพิพาท​บ้านร่มเกล้า…..
เหตุผลเช่นนี้ก็คงพิลึกดี



สิ่งที่สังคมไทยควรรับทราบไว้ก็คือ



ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นับแต่ไทยสามารถทำข้อตกลงเพื่อปักปันเขตแดน
กับลาวและกัมพูชาได้ กระบวนการปักปันเขตแดนด้านตะวันออกได้ก้าวหน้า
ไปอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ ข้อมูล กต. ระบุว่า เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา
ที่มีความยาวทั้งสิ้น 798 กม. ได้ปักหลักเขตแดนไปแล้ว 603 กม. คือ
ตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีษะเกษ–บ้านหาดเล็ก จ.ตราด ส่วนที่ยังไม่ได้ปักหลัก
มีระยะทาง 195 กม. ซึ่งก็คือตอนเขาดงรัก ที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร
และพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. นั่นเอง



ในส่วนของพรมแดนไทย-ลาว การปักหมุดเขตแดนทางบกสามารถดำเนินไป
ได้ถึงร้อยละ 96 หรือเท่ากับ 676 กม.จากพื้นที่ทั้งหมด 702 กม. ส่วนที่
ไม่ค่อยคืบหน้าก็คือ บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง (บริเวณบ้านร่มเกล้า)
หากมีการยกเลิก MOU ความพยายามที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดัน
เพื่อยุติ-ป้องกันความขัดแย้งเหนือดินแดนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา…
ย่อมหยุดชะงักลงทันที



อย่างไรก็ตาม คำอธิบายเพียงแค่นี้อาจยังไม่เป็นที่พอใจของกลุ่มชาตินิยม
ที่มักเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้อง.. โง่ .. ไม่ทำการบ้าน… แต่ในกรณี
MOU 2543 เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?



สิ่งที่กลุ่มชาตินิยมไม่ได้อ้างถึงก็คือ MOU 2543 ยังระบุถึงเอกสารอีกชุดหนึ่ง
ที่ต้องใช้ประกอบการสำรวจและปักหลักเขตแดน นั่นก็คือ อนุสัญญาระหว่าง
สยามกับฝรั่งเศสลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 และ สนธิสัญญาระหว่าง
สยามกับฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1907 เอกสารทั้งสองนี้ระบุว่า
การปักปันเขตแดนบริเวณเขาดงรัก ให้ยึดเส้นสันปันน้ำ อันเป็นหลักการ
ที่ไทยยืนยันมาโดยตลอด



ในแง่นี้ MOU 2543 จึงประกอบด้วยเอกสารที่ถ่วงดุลอำนาจในการต่อรอง
และผลประโยชน์ของคู่เจรจาทั้งสองฝ่าย​ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติในการเจรจา
ต่อรองระหว่างประเทศ เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยืนยันให้ใช้แต่เฉพาะเอกสาร
ที่ให้ประโยชน์กับฝ่ายตนเท่านั้น​ การเจรจาก็ไม่มีทางคืบหน้าไปได้



นอกจากนี้ ยังหมายความต่ออีกว่า เจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้อง ก็เห็นประโยชน์
จากแผนที่ชุดนี้เช่นกัน เพราะในจำนวน 11 ตอน มีเฉพาะตอนเขาดงรัก
เท่านั้นที่ฝ่ายไทยไม่ยอมรับ แต่อีก 10 ตอนที่เหลือ จะช่วยให้ไทยแก้ปัญห
าเรื่องดินแดนกับเพื่อนบ้านได้



ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่จริงหรือ?

เหตุผลที่ฝ่ายชาตินิยมตอกย้ำ และนายกฯอภิสิทธิ์รับมาเป็นจุดยืนของตนด้วยก็คือ

  • ไทยไม่มีภาระผูกพันต่อแผนที่ตอนเขาดงรัก และไม่เคยยอมรับ เพราะ
  • เส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่ไม่ได้ลากตามเส้นสันปันน้ำดังที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญ​า 
  • ฝรั่งเศสกระทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว คณะกรรมการปักปันเขตแดนของไทยไม่ได้เข้าร่วมด้วย   
  • ไทยไม่เคยให้สัตยาบันรับรองแผนที่นี้..  
  • ไทยถูกฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศใหญ่กว่า กดดันรังแกให้ต้องยอมรับแผนที่..  
  • ในขณะนั้น ไทยไม่มีความรู้เรื่องการทำแผนที่ จึงรับแผนที่มาโดยไม่รู้ว่าเส้น
  • เขตแดนไม่ตรงกับเส้นสันปันน้ำ (ทั้งที่ สยามได้ก่อตั้งกรมแผนที่ขึ้นมาแล้ว
  • ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2428 ก็ตาม)
อันที่จริงทีมงานกฎหมายที่นำโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็ใช้เหตุผลเหล่านี้เพื่อต่อสู้
คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก และทำให้ไทยแพ้มาแล้ว และศาลโลกก็ได้โต้แย้ง
เหตุผลไปแล้วด้วย



โดยศาลโลกยืนยันว่า ไทยมีภาระผูกพันต่อแผนที่ตอนเขาดงรัก เพราะมีหลักฐานว่า
ไทยได้เคยตีพิมพ์เผยแพร่ และจัดส่งแผนที่ทั้ง 11 ตอนหลายครั้งหลายครา ซึ่ง
 “เพียงพอที่จะก่อให้เกิดผลทางกฎหมายได้”



โดยสรุปได้ดังนี้ (ดูคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร)



เมื่อสถานทูตไทย ณ กรุงปารีส ได้รับแผนที่ทั้ง 11 ตอน อัครราชทูตไทยได้มี
หนังสือไปยังกระทรวงการต่างประเทศในกรุงเทพฯ มีข้อความตอนหนึ่งว่า



“ในเรื่องที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนผสม ตามคำร้องขอของกรรมการ
ฝ่ายสยามให้กรรมการฝ่ายฝรั่งเศสช่วยจัดทำแผนที่เขตแดนต่าง ๆ ขึ้นนั้น
บัดนี้ คณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสได้ปฏิบัติงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว”



อัครราชทูตไทยคนดังกล่าวยังระบุว่า ตนได้รับแผนที่จำนวน 50 ชุด และจะได้
ส่งแผนที่อย่างละชุดไปยังสถานทูตไทยในยุโรปและอเมริกา นอกจากนี้
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาดไทยยังได้ขอบคุณ
อัครราชทูตฝรั่งเศส ณ กรุงเทพฯ สำหรับแผนที่เหล่านั้น และได้ทรงขอ
แผนที่จากฝรั่งเศสอีกอย่างละ 15 ชุดเพื่อส่งไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัด
ต่าง ๆ ของสยาม



ศาลโลกเห็นว่า ข้อความในหนังสือดังกล่าวชี้ว่า เจ้าหน้าที่สยามรับรู้ว่า
แผนที่ที่ตนได้รับนั้น คือ ผลงานปักปันเขตแดนที่รัฐบาลสยามได้ “ร้องขอ”
ให้ฝ่ายฝรั่งเศสจัดทำให้ตนนั่นเอง

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สยามได้ยอมรับแผนที่โดยมิได้มีการตรวจสอบโดยตนเอง



“จึงไม่อาจที่จะอ้างในเวลานี้ได้ว่า มีข้อผิดพลาดอันเป็นการลบล้าง
ความยินยอมที่แท้จริงได้”



เหตุการณ์ในยุคหลัง ร.5 ยังชี้ว่า สยามได้ยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1
ในทางพฤตินัย และไม่ได้สนใจที่จะคัดค้านแผนที่นี้ แม้ว่าจะมีโอกาส
หลายครั้งก็ตาม กล่าวคือ



ในช่วงปี พ.ศ. 2477-2478 ไทยได้ทำการสำรวจบริเวณนี้ด้วยตนเอง
แล้วพบว่าเส้นสันปันน้ำกับเส้นบนแผนที่ไม่ตรงกัน และฝ่ายไทยได้จัดทำ
แผนที่ขึ้นมาเอง โดยแสดงว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตไทย
แต่ประเทศไทยก็ยังคงใช้แผนที่ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสตลอดมา



และที่น่าประหลาดใจยิ่งขึ้นก็คือ ในปี พ.ศ. 2480 ในการลงนามในสนธิ
สัญญากับฝรั่งเศส เพื่อยืนยันเส้นเขตแดนร่วมที่มีอยู่แล้วอีกครั้งหนึ่ง
“กรมแผนที่ของสยาม ก็ยังคงพิมพ์แผนที่แสดงว่า พระวิหารอยู่ในเขต
ของกัมพูชาอยู่อีก”



ประเทศไทยมีโอกาสขอแก้ไขเส้นเขตแดนที่ผิดพลาดอีกครั้งหนึ่งในปี
พ.ศ. 2490 หรือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไทยต้องคืนดินแดนพระตะบอง
เสียมราฐ และจำปาสักให้แก่ฝรั่งเศส ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการประนอม
ฝรั่งเศส-ไทยขึ้น โดยภาระหน้าที่ประการหนึ่งคือ ตรวจแก้ไขเส้นเขตแดน
ซึ่งไทยอาจยกขึ้นมา ซึ่งไทยได้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับเส้นเขตแดนในหลายบริเวณ
ด้วยกัน แต่กลับไม่เคยร้องเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเลย แต่กลับยื่นแผนที่
ฉบับหนึ่งต่อคณะกรรมการซึ่งแสดงว่าพระวิหารอยู่ในกัมพูชา



ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการปฏิบัติหลายครั้งหลายหนของฝ่ายไทย ที่แสดง
การยอมรับแผนที่ตอนเขาดงรัก ศาลโลกจึงมีข้อวินิจฉัยว่า “ประเทศไทย
ได้ยอมรับเส้นเขตแดนตรงจุดนี้ดังที่ลากไว้บนแผนที่ โดยไม่คำนึงว่าจะ
ตรงกันกับเส้นสันปันน้ำหรือไม่”



ถึงแม้ว่าศาลโลกจะไม่ได้ตัดสินให้ตามคำขอของกัมพูชาที่ว่า แผนที่ตอน
เขาดงรักมีสถานะเท่ากับสนธิสัญญา และเส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่
เป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา แต่ไทยก็ต้องตระหนักว่า ศาลโลก
มีความเห็นว่า“ประเทศไทยใน ค.ศ. 1908-09 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1
ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้ จึงได้รับรองเส้นบน
แผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา



ศาลมีความเห็นต่อไปว่า เมื่อพิจารณาโดยทั่ว ๆ ไป การกระทำต่อ ๆ มาของไทย
มีแต่ยืนยัน และชี้ให้เห็นชัดถึงการยอมรับแต่แรกนั้น และว่า การกระทำของไทย
ในเขตท้องที่ก็ไม่พอเพียงที่จะลบล้างข้อนี้ได้ คู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยการ
ประพฤติปฏิบัติของตนเอง ได้รับรองเส้นแผนที่นี้ และดังนั้นจึงถือได้ว่า
เป็นการตกลงให้ถือว่าเส้นนี้เป็นเส้นเขตแดน”



ไทยต้องตระหนักว่ารัฐบาลกัมพูชามีสิทธิ์ร้องขอโดยลำพังให้ศาลโลกตีความ
คำพิพากษาปี 2505 ได้ เพื่อชี้ขาดว่าเส้นเขตแดนในบริเวณพิพาทคือเส้น
เขตแดนตามที่ปรากฏในแผนที่เจ้าปัญหาหรือไม่ ผู้เขียนเชื่อว่า หากความ
สัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาเลวร้ายลงเรื่อย ๆ กัมพูชาจะเลือกใช้หนทางนี้
เพื่อยุติปัญหาที่ยืดเยื้อมานานเสียที



ปัญหาคือ หากศาลชี้ขาดให้เป็นคุณกับฝ่ายกัมพูชา สังคมไทยจะมีปฏิกิริยา
ต่อเรื่องนี้อย่างไร ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.
ใครบ้างจะต้องกลายเป็นแพะรับบาป ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
จะเลวร้ายลงไปอีกเพียงใด ไม่มีใครรับประกันได้



บางทีการกลับไปอ่านเอกสารหลักฐานเก่าบ้าง อาจช่วยทำให้ผู้นำไทย
มีสติมากขึ้น ไม่ต้องวนเวียนกับคำอธิบายเก่า ๆ ที่เคยถูกตีตกไปแล้ว
ประการสำคัญ อาจทำให้เราพยายามคิดหาหนทางใหม่ ๆ ในการแก้ไข
ข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ต้องอิงกับกระแสชาตินิยมมากจนเกินไป

Posted by แดง สวีเดน at 1:47 AM 1 comments  

Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Google Buzz

February 5, 2011



ชีวิตที่ต่างกัน ทำไม??

น่าสงสาร
พวกเขาอยู่เฉย ๆ ก็ต้องอุ้มลูกอุ้มหลาน ทิ้งบ้าน ทิ้งที่ทำมาหากิน ออกมาตกระกำลำบาก นอนกลางดินกินกลางทราย จะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กลับไปแล้วจะเหลืออะไรบ้าง จะได้รับการช่วยเหลือหรือปล่าว ชีวิตชาวบ้านอย่างพวกเขาทำได้ดีที่สุดก็คือ ปล่อยไปตามยฐากรรมที่ถูกกำหนดโดยพวกศักดินาในเมืองหลวง ที่นอกจากจะไมได้สร้างชีวิตที่ดีให้พวกเขาชาวบ้านยากจนแล้ว ยังกลับชอบหาความวุ่นวายและเพิ่มความทุกข์ยากมาให้พวกเขาอีก



น่ารังเกียจ
ส่วนพวกเขาเวร พธม อยู่ดีมีสุข แต่งตัวสวย ไม่ต้องนอนในหลุมลบภัย ไม่ต้องนอนบนดิน ไม่ต้องนอนเสื่อ นอนห้องแอร์ มีพัดลม แต่ก็ยังไม่วายออกมาสร้างความวุ่นวาย ปลุกกระแสคลั่งชาติ ยุ่ยงให้เกิดความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านและใช้กำลังในการแก้ปัญหา เพื่อความสะใจตามแบบอย่างของพวกคนที่สำคํญผิดว่า ตัวเองมีปัญญามากกว่า รู้หมดรู้ถูกและมีค่ามากกว่าคนชนบท พูดจาสลับซับซ้อนดูเหมือนฉลาด ไม่แยแสกับความลำบากของคนอื่นเท่าไหร่นัก ขอให้พวกฉันได้ประโยชน์และความสะใจก็พอ เสียดายที่กระสุนปืนใหญ่กัมพูชามาไม่ถึงเวทีชุนุมของพวกคลั่งชาติ อยากให้ได้มีโอกาศสัมผัสกับความทุกข์ยากและลำบากของคนอื่นบ้าง บางทีอาจจะตาสว่างขึ้น หรือไม่ก็ตาบอดเพราะโดนสเก็ดระเบิด ก็ดีเหมือนกันอาจจะช่วยให้หายคลั่ง



Posted by แดง สวีเดน at 11:19 AM 1 comments  

Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Google Buzz

February 4, 2011



ปลาไหลสนธิ ลิ้มทองกุล: คนที่มาร่วมกับพันธมิตรฯ มีแต่คนที่มีปัญญา



นายปลาไหลสนธิ ลิ้มทองกุล โม้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลัวการชุมนุม
ของพันธมิตรฯ มากกว่าเสื้อแดง เพราะคนที่มาร่วมกับพันธมิตรฯ มีแต่คน
ที่มีปัญญา ปลาไหลตัวนี้ยังบอกอีกว่าตั้งแต่มีชีวิตมาจะ 63 ปีแล้ว
(ทำไมอยู่นานจัง) ยังไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนที่โหดเหี้ยมอำมหิ
ตเท่ารัฐบาลนี้ เพราะไม่มองคนไทยเป็นคนด้วยกัน มองแค่เป็น
ฐานเสียงที่เขาจะหลอกลวงเท่านั้น ที่มา



อาจเป็นไปได้ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลัวการชุมนุมพันธมิตรฯ
 แต่ไม่ใช่สาเหตุเพราะว่าพันธมิตรฯ เป็นคนที่มีปัญญา เอาความจริง
มาเปิดเผย แต่เพราะว่าพันธมิตรฯเป็นม๊อบเด็กเส้น  แกนนำพันธมิตรฯ
ตัวจริงน่าจะอยู่ในสถาบันอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ เพราะเวลาที่ออกมา
ชุมนุมพวกพันธมิตรฯ  มักจะชูป้ายรูปภาพซึ่งน่าจะเป็นผู้นำตัวจริง
ป้ายนี้ทำให้พันธมิตรฯ สร้างความวุ่นวายให้กับประเทศได้ โดยไม่มี
เจ้าหน้าที่ของรัฐกล้าแตะต้อง และไม่ถูกเรียกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย

นายปลาไหลสนธิบอกว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มองประชาชนแค่เป็น
ฐานเสียงที่เขาจะหลอกลวงเท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ขัดแย้งกับที่นาย
ปลาไหลสนธิบอกว่า พันธมิตรฯ เป็นคนที่มีปัญญา เพราะว่าครั้งหนึ่ง
พวกพันธมิตรฯ ก็เป็นฐานเสียงให้กับ ปชป สุดท้ายก็ถูกเขาหลอกใช้
ตอนนี้พันธมิตรฯ ขาดมวลชนที่จะออกมาสร้างความวุ่นวาย เลยต้อง
ออกมาเห่าแบบสุนัขจิ้งจอก เพื่อหลอกล่อหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง
แต่เหตุผลที่นายสุนัขจิ้งจอกสนธิ สำรอกออกมาดูเหมือนจะเป็นเหตุผล
ที่ประณามความชั่วของตัวเองมากกว่า



Posted by แดง สวีเดน at 3:16 PM 0 comments  

Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Google Buzz

February 3, 2011



ใจ อึ๊งภากรณ์ "การปฏิวัติอียิปต์ บทเรียนสำหรับไทย"



3 ก.พ. ใจ อึ๊งภากรณ์ "การปฏิวัติอียิปต์ บทเรียนสำหรับไทย"
ดาวน์โหลดจาก Link 1  หรือ Link 2 Posted by แดง สวีเดน at 6:48 PM 0 comments  

Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Google Buzz

อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นนายชินโซ อะเบะรับสำเนาคำร้อง



ในช่วงเช้าวันนี้ 3 ก.พ. อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นนายชินโซ อะเบะ
รับสำเนาคำร้องขอให้มีการสอบสวนเหตุการณ์อาชญากรรมต่อ
มนุษยชาติที่คนเสื้อแดงยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่มา

Posted by แดง สวีเดน at 11:49 AM 0 comments  

Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Google Buzz

ไม่รู้ว่าตั้งใจไปเองหรือปล่าว?



สุดยอดอดีตนักเตะพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ร่วมลงนามถวายพระพรฯ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช
 Dailyworldtoday ไม่รู้ว่าตั้งใจไปเองหรือปล่าว?  ไม่น่าจะเป็น
นักเตะพรีเมียร์ลีกที่คิดได้ พวกที่คิดได้ต้องเป็นพวกเศรษฐกิจพอเพียง

Posted by แดง สวีเดน at 11:31 AM 0 comments  

Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Google Buzz

February 2, 2011



เผด็จการอียิปต์ใช้ม็อบชนม็อบ




เผด็จการอียิปต์ใช้ม็อบอันธพาลจากพรรครัฐบาลและตำรวจนอกเครื่องแบบ
เพื่อใช้ความรุนแรงกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย กองทัพที่เคยบอกว่า
จะไม่ยิงประชาชน นิ่งเฉยปล่อยให้อันธพาลของรัฐใช้ความรุนแรง ทำให้
เรานึกถึง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ที่ไทย และม็อบอันธพาลพันธมิตรฯ
  Redsiamsocialist

 

Posted by แดง สวีเดน at 6:06 PM 0 comments  

Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Google Buzz

อ๊อกซฟอร์ด’ สอนให้ใช้ ‘หัวคิด’ บ้างไหม!?


http://www.internetfreedom.us/thread-12428.html

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เมื่อเร็วๆนี้ มีข่าวนักศึกษามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ซึ่งเรียนอยู่ในคณะดนตรี ออกมาร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยบอกว่า มหาวิทยาจัดการเรียนการสอนที่ไม่มีคุณภาพให้พวกเขา อีกทั้งอาจารย์ไม่มีความรู้ ไม่มีประสิทธิภาพในการสอน หลักสูตรก็มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน โดยตัดวิชาสำคัญออกไปถึง 40 วิชา
ฟังแล้วให้เวทนา และสงสารเด็กๆนัก!
มหาวิทยาลัยดังกล่าวแห่งนี้ แต่ดั้งเดิมเคยมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นโรงเรียนพาณิชย์ ที่รู้จักกันในชื่อ “อัสสัมคอมเมิร์ซ” ซึ่งผลิตบุคลากรระดับเสมียนพนักงาน ป้อนบริษัทห้างร้านที่ประกอบธุรกิจการค้ามาหลายปีติดต่อกัน
ครั้นเมื่อไต่เต้าขึ้นมาอยู่ในระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็ทำท่าจะดูดีในตอนต้น แต่มาระยะหลังดูเหมือนจะทำธุรกิจหนักข้อมากขึ้น จึงมีการเปิดสอนคณะต่างๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยเองก็ไม่สันทัด จนเกิดบกพร่องในเรื่องการเรียนการสอน และเป็นข่าวน่าขายขี้หน้า ตามที่ได้เล่ามาข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เหตุการณ์ประท้วง การร้องร้องเรียนของนักศึกษา จึงเกิดขึ้น!
ครั้งนี้เอแบคคงเสียชื่อไม่น้อย และคงจะไม่เป็นที่น่าไว้วางใจของผู้ปกครอง ที่จะส่งบุตรหลานเข้ามาศึกษาอีกต่อไป หรือหากจำต้องส่ง ก็ขอให้ท่านผู้ปกครอง ติดตามผลการศึกษาของบุตรหลานโดยใกล้ชิด หากเกิดกรณีอย่างคณะดนตรีขึ้นมาอีก ก็ขอให้ผู้ปกครองเข้าร่วมประท้วงด้วย
อย่าปล่อยให้เด็กๆดำเนินการเอง!
ในทัศนะส่วนตัวของผมแล้ว ยังเห็นว่า หากลูกหลานของท่านสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐไม่ได้ ทางที่ปลอดภัยและประหยัดสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ก็น่าจะให้ศึกษาในมหาวิทยาลัยเปิดของรัฐอย่างเช่น รามคำแหง สุโขทัยธรรมาธิราช ฯลฯ
น่าจะเป็นทางเลือก ที่ดีกว่ากระมัง!

การร้องเรียนของนักศึกษา ทำให้ผมนึกถึงตัวเองเคยวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องการทำโพลของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ที่รู้จักกันในชื่อ “เอแบคโพล” เพราะผมไม่เชื่อถือผลโพลของเขา เนื่องจากตัวเองทำงานเกี่ยวข้องกับด้านสถิติ และงานวิจัยมานานนับสิบปี จนมองออกชัดเจนว่า เป็นโพลของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ‘ชะเลียร์’ รัฐบาลของนายมาร์ค มุกควาย โจ่งแจ้งเกินเหตุ และขัดแย้งกับโพลของมหาวิทยาลัยอื่น อย่างน่าประหลาด
ฉะนั้น ความไม่ได้มาตรฐานในการเรียน การสอนของเอแบค จนนักศึกษาต้องออกมาโวยวายในครั้งนี้ น่าจะเป็นเครื่องลดทอนความเชื่อถือ ของโพลมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ให้ทรุดหนักลงไปอีกด้วย เพราะตอนนี้ผู้คนก็จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ขนาดการศึกษาภาคปกติ นักศึกษาของตัวเองยังออกมาโวยวายให้ขายขี้หน้า...
“...แล้วผลโพลของมหาวิทยาลัยนี้ เราจะไปเชื่อถือได้อย่างไรกัน!?”

ขณะนี้ นอกจากเรื่องการร้องเรียนของนักศึกษาเอแบคแล้ว บ้านเรายังมีเรื่องความมาตรไม่มีฐานในการศึกษา แพร่ออกมาจนน่าห่วงใย สื่อมวลชนระดมกันแพร่ข่าวเรื่องการขยายหลักสูตรที่ไม่ได้มาตรฐาน ไปสู่จังหวัดอื่น ซึ่งไม่ใช่ที่ตั้งหลักของมหาวิทยาลัย และเป็นการศึกษาในระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ซึ่งสื่อเขาลงชัดเจนว่า ไปสอนกันในวัดบ้าง โรงเรียนอนุบาลบ้าง แม้กระทั่งตามปั๊มน้ำมัน ก็ยังมีให้เห็น ฯลฯ
พวกอาจารย์มหาวิทยาลัยในกรุง พากันรับจ๊อบบินไปสอนกันวันเสาร์อาทิตย์ มีรายงานว่า ส่วนใหญ่ก็แค่ไปนั่งคุยๆ ไม่ได้สอนอะไรจริงจัง แต่ที่ยอมไปสอนกัน ก็เพราะค่าตอบแทนหรือค่าสอนดี
การเซ็งลี้ทางการศึกษาบ้านเรา มีการทำเป็นล่ำเป็นสัน แล้วก็แจกปริญญากันให้เกร่อไป จนวุฒิสภาเขาได้มีรายงานออกมาในเรื่องนี้ออกมา ก็สร้างความตื่นตระหนกกันไม่น้อย
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลของ นายมาร์ค มุกควาย ยังได้ออกข่าวว่า สนใจในเรื่องการโฆษณาขายปริญญาทางเว็บไซด์ต่างๆ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ทำการตรวจสอบ แต่ก็มีการยืนยันว่าทั้งหมดยืนยันว่า
ไม่มีกระบวนการที่จะซื้อขายปริญญาในระบบการศึกษาไทย แต่ผู้คนเขารู้ความจริงว่า การเซ็งลี้ทางการศึกษาเป็นอย่างไร ตัวผมเองก็เคยได้ยิน อ.เสรี แมนเต็มขั้น พูดโฆษณาหลักสูตรปริญญา โท,เอก ของมหาวิทยาลัยที่เติบโตมาจากวิทยาลัยครู ว่า
“จ่ายเงินครบ...จบแน่ๆ!”
ฟังแล้วใจมัน ‘เหี่ยวแห้ง’ น่าขยะแขยงเหลือกำลัง!!

ตั้งแต่พรรคประชาธิเปรตเข้ามาบริหารประเทศ ก็มีโครงการแปลกๆในด้านการศึกษา ซึ่งต้องใช้จ่ายเงินจำนวนไม่น้อยเลย แต่ผลสัมฤทธิ์นั้น ยังเป็นเรื่องคลุมเครือเอามากๆ เช่น
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า มีโครงการที่จะทำให้...
“ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่ 2 ในการเรียนการสอน”
ฟังดูเก๋ไก๋ดี!
ปรากฏว่าถูก สนธิ ลิ้มทองกุล บอสใหญ่ค่ายผู้จัดการ ASTV ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แบบด่าหนักหน่วงป่นปี้เช็ดเม็ด ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
...เท่านั้นเอง
...กระทรวงศึกษาก็ ‘ขี้หด-ตดแตก’ ตาลีตาลานรีบออกมาบอกยกเลิกโครงการไปเลย!
ผู้คนงงงวยเหลือกำลัง เพราะเพิ่งแถลงจะประกาศโครงการวันที่ 7 ต.ค.2553 แต่แล้วแถลงยกเลิก 26 ต.ค.ปีเดียวกัน
...ทุเรศมาก!!

ทีแรกผมนึกว่าโครงการนี้ จะไม่มีการดำเนินการต่อไปแล้ว แต่ที่ไหนได้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีข่าวว่า
จะมีโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ โดยจะมีการจ้างอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมาจากต่างประเทศ งบประมาณอยู่ราย 500-600 ล้านบาท ผมเลยมานั่งนึกว่า
“เอ๊ะ! นี่มันโครงการที่ประกาศยกเลิกไป แล้วเอามาแต่งหน้าทาแป้งใหม่ ใช่หรือเปล่า!!?”
ไม่รู้จักเข็ดกันหรือไง?....
เดี๋ยวก็โดน สนธิ ลิ้มทองกุล ตวาดเข้าให้อีกหรอก!

เรื่องการหาเรื่องใช้งบประมาณนี่ พรรคประชาธิเปรตเขาเก่งจริงๆ หาเรื่องมันได้ตลอดเวลา สำหรับโครงการสอนภาษาอังกฤษ ไม่น่าจะใช้เงินมากมายขนาดนั้น ที่พูดอย่างนี้เพราะผมเคยสอนภาษาอังกฤษมาก่อน รัฐมนตรีชินวรณ์ฯกับทีมงาน จะมาถกเรื่องนี้กับผมและคณะก็ได้ ว่า
“กระทรวงศึกษาควรจะละเลงเงินงบประมาณก้นอย่างนี้ หรือจะใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?”
สำหรับอย่างคุณชินวรณ์ฯเอง ซึ่งแสดงท่าทีราวกับว่า เป็นรัฐมนตรีที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกลทางด้านภาษาศาสตร์ แต่ผมก็ขอให้ครูบาอาจารย์ในกระทรวง ช่วยแนะนำให้ท่านรัฐมนตรีพูดภาษาไทยให้ชัดเจนเสียก่อน เวลามีประชุมของกระทรวงศึกษาฯ ก็ขอให้ท่าน พูด ง.งู ให้เป็น “งอ งู”เอาให้ชัดเจน อย่าพูดเป็น
“ฮอ... ฮู”
“เงินงบประมาณ” ก็อย่าพูดเป็น
“เฮิน...ฮบประมาณ”
ท่านรัฐมนตรียังไม่ถึงต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษ ให้ผมฟังหรอกครับ ไม่อยากจับผิดท่าน เพราะผมจับผิดเก่งด้วย เดี๋ยวท่านจะอายเสียเปล่าๆ เอาภาษาไทยง่ายๆนี่แหละ ขอให้ท่านฝึกพูดให้ชัดๆหน่อย พวกครูบาอาจารย์เขาจะได้ชมว่า ท่านพูดภาษาไทยได้ชัดเจนดีกว่าเถ้าแก่ ชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีมหาดไทย...
...พยายามหน่อยนะ...ท่านรัฐมนตรีศึกษา!!!

เรื่องการใช้เงินของพรรคประชาธิเปรต ยังไม่หมดแล้ว หันกลับไปดูทาง กทม. ซึ่งคนของพรรคนี้เขาควบคุมอยู่เช่นกัน ก็มีการประกาศโครงการมหานครแห่งการเรียนรู้ พร้อมสนองนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศให้ ‘การอ่าน’ เป็นวาระแห่งชาติ และเตรียมเสนอชื่อกรุงเทพมหานครเข้าแข่งขันเพื่อคัดเลือกเป็นเมืองหนังสือโลกในปี 2556 (World Book Capital 2013) พร้อมจัดตั้งคณะกรรมการภาคีขับเคลื่อนให้ กทม.หรือกรุงเทพมหานครของเรา เป็น
"มหานครแห่งการอ่าน"
ผมตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อได้ยินโครงการนี้ เพราะรู้ว่าคนไทยเราไม่ชอบอ่านหนังสือ เพราะเมื่อปี 2548 ก็มีรายงานว่า คนไทยอ่านหนังสือปีละ 7 บรรทัด ต่อมาเมื่อเร็วๆนี้ ก็มีรายงานว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ 2 เล่ม ขณะที่คนญี่ปุ่นอ่านปีละ 300 เล่ม
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ฯ จะเอาโครงการมหัศจรรย์อะไร มาเสกเป่าเพี้ยงเดียว ทำให้กทม.กลายเป็นมหานครแห่งการอ่าน ได้อย่างไรกัน?
กทม.เองก็น่าจะรู้ว่า แม้แต่ห้องสมุดของกรุงเทพมหานครเอง ก็มีเพียง 30 กว่าเขต
ยังไม่ครบทุกเขต (52 เขต) ด้วยซ้ำไป!



อยากจะเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า มีเมืองที่ได้รับการคัดเลือกเป็น World Book Capital มีมาแล้ว 9 เมืองคือ Madrid (2001), Alexandria (2002), New Delhi (2003), Antwerp (2004), Montreal (2005), Turin (2006), Bogotá (2007) and Amsterdam (2008) และ ปี 2009 ได้แก่ นครเบรุต (Beirut)
พลเมืองของเบรุตเขารักการอ่านจริงๆ แม้ประเทศนี้จะมีสงครามกลางเมืองมาเป็นเวลายาวนาน แต่เวลาที่ประชาชนหลบไปอยู่ภายในหลุมหลบภัยขนาดใหญ่นั้น พวกเขาไม่ต้องนั่งกอดเข่าเจ่าจุก ฟังเสียงปืนและระเบิดให้ประสาทเสีย เพราะทางผู้บริหารนครเบรุต จัดหนังสือมากมายเอาไว้ในหลุม สำหรับผู้คนที่เขาไปอาศัยหลบภัย ได้ใช้อ่านหนังสือกัน จนอาจกล่าวได้ว่า...
...ข้างบนดินเอ็งจะรบก็รบกันไป พวกข้าที่หลบอยู่ในหลุมใต้ดินก็อ่านหนังสือกันไป...น่าทึ่งจริงๆ!
อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นสาเหตุสำคัญ นครเบรุตจึงเอาชนะใจกรรมการ และกลายเป็น World Book Capital 2009 ในที่สุด

ผมได้ยินคุณ มกุฎ อรดี แห่งสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ กทม.ในเรื่องนี้ ผ่านวิทยุ FM 96.5 MHz รายการ “เช้าทันโลก” กับคุณสังกมา สารวัตร และ คุณกรรณิการ์ กิจติเวชกุล เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า
ประเทศที่เขาเข้าร่วมโครงการของยูเนสโก ก็มีการเตรียมการล่วงหน้ากันทั้งนั้น อย่างเมืองออกซฟอร์ดของอังกฤษ ที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขัน World Book Capital ในปีนี้ ก็มีการเตรียมการล่วงหน้า 2-3 ปี ทีเดียว
ทีแรกผมก็แปลกใจ ทำไม ทางผู้บริหาร กทม.จึงหาญกล้า จะนำให้กรุงเทพของเรา เข้าแข่งขันกับเขาด้วย ทั้งๆที่การอ่านหนังสือของคนไทยเป็นอย่างไรนั้น ท่านผู้ว่าฯสุขุมพันธ์และผู้บริหาร กทม.ทั้งหลาย น่าจะทราบดี แต่...
พอผมเห็นโครงการนี้ มีงบประมาณตั้งไว้ในการทำให้ กทม.เป็นมหานครแห่งการอ่าน สูงถึง 280,000,000.00 บาท (สองร้อยแปดสิบล้านบาทถ้วน) นี่สำหรับ ปีงบประมาณ 2254-2556 เท่านั้น จึงพอจะเข้าใจได้ว่า
ทำไม กทม. จึงตัดสินใจ เข้าร่วมโครงการเมืองหนังสือโลก!

โครงการต่างๆ ของพรรคประชาธิเปรต ที่เป็นขี้ปากของชาวบ้านอย่างหนักในตอนนี้ ก็คือ“โครงการประชาวิวัฒน” ที่ไปจ้างบริษัทแมคเคนซี่ ตอนแรกก็บอกว่า เป็นการมาทำงานด้านประชาสัมพันธ์ให้โครงการของรัฐบาลเท่านั้น แต่ต่อมาภายหลัง รัฐมนตรีคลัง คือนายกรณ์ จาติกวณิชย์ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า
จ้างมาร่วมวางยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีทาง เลือกที่หลากหลาย
ฟังดูดีจังแฮะ...แต่
บริษัทนี้เองที่คิดโครงการ ‘ไข่ชั่งกิโล’ ออกมา จนชาวบ้านและสื่อใหญ่ของประชาชนอย่าง “ไทยรัฐ” ก็ด่ายับเยิน
ยิ่งด่าหนักเข้าไปอีก เมื่อรู้ว่าค่าจ้างในการคิดโครงการตะหวักตะบวยบริษัทนี้ สูงถึง 69,000,000.00 บาท (หกสิบเก้าล้านบาท) จนผู้คนเขาพูดกันอื้ออึงว่า
“มันจะแดกบ้าน...ผลาญเมือง กันไปถึงไหน (วะ)!?”

ผมเห็นการจ้างบริษัทและบุคคลภายนอก มาช่วยคิดโครงการแทนรัฐบาล ซึ่งต้องจ่ายค่าจ้างด้วยภาษีอากรของพวกเรา เป็นเงินจำนวนมหาศาล แถมโครงการที่จ้างเขาคิดออกมานั้น ก็ไม่เห็นจะดีเด่ หรือโดนใจประชาชนแต่อย่างใดเลย
นายมาร์ค มุกควาย พลเมืองของประเทศอังกฤษ ที่ได้รับรัฐสวัสดิการจากประเทศดังกล่าว ตั้งแต่ยังเป็นทารก และต่อมาก็จบการศึกษา ทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัย จากอังกฤษแผ่นดินเกิด เช่นเดียวกับ นายกรณ์ จาติกวณิช ซึ่งเกิดที่ Princess Beatrice Hospital กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และจบการศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับ นายมาร์ค มุกควาย ด้วย คือ
University of Oxford
แต่...ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
กะอีแค่โครงการแสนจะธรรมดาอย่างนี้ ยังคิดเองไม่ได้ ต้องเสียเงินเสียทองของชาติ ไปจ้างบริษัทต่างประเทศอย่างแมคเคนซี่ มาช่วยคิดให้ ทำราวกับว่า ทั้งสองเกลอนี้...
...ไม่มี ‘กึ๋น’ เอาซะเลย

...สงสัยเหลือเกินว่า ที่ ‘อ๊อซฟอร์ด’ น่ะ เขาสอนให้ใช้ ‘หัวคิด’ ตัวเองบ้างไหม!?

...ใครก็ได้ ช่วยไปถามสองเกลอแทนผมทีเถอะครับ!!!

................

ท้ายบท ตอนนี้ใครอยากฟังการด่ารัฐบาลโลซก ของนายมาร์ค
มุกควาย ลองไปฟังที่สะพานมัฆวานดู จะได้ข้อมูลเรื่องการทุจริตและความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลนี้ แบบเต็มสองรูหู
นอกจากนั้น ท่านยังจะได้รับฟังเพลง “ไอ้หน้าหล่อ” ที่มิสเตอร์มุกควาย น่าจะชวนบิดามารดาญาติพี่น้อง รวมทั้งสมาชิกพรรคประชาธิเปรต ซึ่งเคยร่วมหัวจมท้ายกับฝั่งพันธมารที่สะพานแห่งนี้ ไปร่วมฟังด้วยกัน
ขำขนาด ‘เยี่ยวแตก-เยี่ยวแตน’ เลยนะ จะบอกให้!!!

(คอลัมน์ ‘อ๊อกซฟอร์ด’ สอนให้ใช้ ‘หัวคิด’ บ้างไหม!? ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554)
เด็กที่ศรีเกษถาม พธม.ผ่านข่าวสามมิติ ว่า
ดูกัน นาทีที่ 2 วินาทีที่ 38
http://www.internetfreedom.us/thread-12429.html



กูอาย

รวบการุณทำคดีก่อการร้ายยึดสนามบินเหลือค่าแค่ปาหี่การเมือง ส่วนทนายณฐพรถูกแฉเป็น18มงกุฎ


คู่แสบ-การุณ ใสงาม ถูกจับที่สนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้กลายเป็นฮีโร่ในสายตาพันธมิตร และทำให้คดีอาชญากรรมก่อการร้ายยึดสนามบินเหลือค่าแค่เกมการเมือง อย่างที่พันธมิตรเคยยกมาเป็นประเด็นต่อสู้ ส่วนณฐพร โตประยูร(อยู่หลังการุณ)ถูกกล่าวหาว่า อาจจะมีพฤติการณ์ทำนอง 18 มงกุฎหลายเรื่อง รวมทั้งหลอกต้มสถาบันพระปกเกล้าเข้าเรียนหลักสูตรระดับสูง เพื่อหาคอนเน็คชั่นแวดวงผู้ใหญ่ฟรีๆไม่ต้องจ่ายค่าเทอม


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
3 กุมภาพันธ์ 2554

รัฐบาลชุดนี้ได้ทำให้คดีอาชญากรรมร้ายแรง คือคดีก่อการร้ายยึดสนามบิน กลายเป็นเพียงคดีการเมืองอย่างแท้จริง เมื่อจับกุมนายการุณ ใสงาม แกนนำกันธมิตรรายหนึ่ง ภายหลังเดินทางกลับจากกัมพูชาเมื่อคืนนี้

ก่อนหน้านี้ก็มีการจับกุมนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กับนายสมบูรณ์ ทองบุราณ โดยอ้างข้อหาก่อการร้ายยึดสนามบินแล้วไม่เข้ารายงานตัว

ดูมันทำ!-การุณ ใสงาม หันมา"เนียน"ใส่เสื้อแดงขึ้นเวทีพันธมิตรล่าสุด เช่นเดียวกับนายจิตตินาถ ลิ้มทองกุล ลูกชายสนธิลิ้ม หัวโจกผู้ก่อการร้ายยึดสนามบิน(ภาพล่าง) เพื่อแอบอ้างว่าเสื้อแดงร่วมมือกับเสื้อเหลืองที่เหลืออยู่โหรงเหรงจะโค่นล้มรัฐบาล

พันธมิตรยึดสนามบินเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2551 กระทั่งบัดนี้ผ่านไป 2 ปีเศษ ไม่มีการจับกุมดำเนินคดี ได้แต่เลื่อนไปเรื่อยๆ ขณะที่พันธมิตรฯต่อสู้ว่ากรณีนี้ไม่ใช่คดีอาชญากรรม แต่เป็นการกลั่นแกล้งมทางการเมืองเท่านั้น ดังนั้นก่ารที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เลือกจับกุมเฉพาะนายการุณ นายไชยวัฒน์ นายสมบูรณ์ ที่เคลื่อนไหวกรณีกัมพูชาในทิศทางตรงกันข้ามกับรัฐบาล ก็ทำให้คดีก่อการร้ายยึดสนามบินได้กลายเป็นเพียงคดีการเมือง เหมือนที้พันธมิตรฯพยายามต่อสู้มาโดยตลอด

ทั้งนี้เวลาประมาณเที่ยงคืนที่ผ่านมา สำนักข่าวไทยอสมท.รายงานว่า ตำรวจได้ควบคุมตัวนายการุณ จากสนามบินสุวรรณภูมิมาที่กองปราบปราม เพื่อดำเนินคดีข้อหา 4ข้อจากกรณียึดสนามบิน ขณะที่มีสมาชิกพันธมิตรฯราว 100 คน เดินทางมาให้กำลังใจโดยร้องเพลงปลุกระดมราวกับนายกาณเป็นวีรบุรุษ

นายการุณเพิ่งเดินทางกลับจากกัมพูชา เพื่อไปช่วยเหลือคดีนายวีระ สมความคิด ถูกจับกุมและตัดสินจำคุก 8 ปี โดยไปพร้อมกับนายณฐพร โตประยูร ทนายความอีกราย

ทนายหรือ18มงกุฎ?-มีคนกล่าวหาว่าทนายณฐพรเป็น18มงกุฎ ขณะที่สถาบันพระปกเกล้าเผยว่าเขาเข้าเรียนหลักสูตรหนึ่งโดยไม่ยอมจ่ายค่าเรียน เลยไม่อนุมัติให้จบการศึกษา แต่ณฐพรก็คุ้มค่าเพราะมาได้คอนเน็คชั่นแวดวงผู้ใหญ่ไปเพียบแล้ว

สำหรับนายณฐพรนั้น แม้จะเป็นทนายพันธมิตร แต่มีคนเขียนกระทู้กล่าวหาเขาไว้ใน กระดานสนทนาตำรวจภูธรภาค4 ว่า

18 มงกุฎ ณฐพร โตประยูร

ไม่กี่วันก่อนอ่านข่าวเจอเกี่ยวกับ นายณฐพร โตประยูร ทนายความที่ยื่นอุธรณ์ถอนหมายจับ9แกนนำพันธมิตร, นายคนนี้แต่ก่อนเป็นสิบแปดมงกุฎเที่ยวหลอกสาวแก่แม่ม่าย ปอกลอกกันจนหมดตัวมาหลายคน, วันดีคืนดีก้อแต่งตัวติดยศเป็นพันตำรวจตรีเที่ยวรีดไถเบ่งไปทัว. มีทั้งเรื่องฉ้อโกง ทำร้ายร่างกาย หลอกลวงต้มตุ๋น และโจรกรรม. พยายามทำตัวให้ได้ใกล้ชิดนักการเมื่องแล้วแสวงหาประโยชน์ สมัยก่อนก้อนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์. และนายตำรวจใหญ่ ชลอ เกิดเทศ..อยากจะหัวร่อ ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดปาฎิหาร์ยอะไรกลายไปเป็นทนายให้กับกลุ่ม 9 แกนนำพันธมิตรไปได้ นายคนนี้แต่ก่อนใช้ชื่อ นายสมโภชณ์ โตประยูร ผู้ใดเกี่ยวข้องอ่านเจอกระทู้นี้ไปตรวจประวัติกันให้ดีๆเถิด


ขณะที่เจ้าหน้าที่ของสถาบันพระปกเกล้า เปิดเผยว่า นายณฐพรเคยเข้าศึกษาในระดับประกาศนียบัตรสำหรับผู้บริหารระดับสูง หลักสูตรการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชนที่สถาบัน ซึ่งรุ่นที่นายณฐพรเข้าศึกษามีนักศึกษาราว 120 คน คนเด่นๆเช่น นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตสว. พลเอกศิรินทร์ ธูปกล่ำ อดีตสว. และนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่การท่าอากาศยาน

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อนายณฐพรเป็นนักศึกษาเพียงรายเดียวในรุ่นนี้ที่เพิกเฉย และบ่ายเบี่ยงไม่ยินยอมจ่ายค่าเล่าเรียนที่สถาบันพระปกเกล้าจัดเก็บราว1แสนบาท ทางสถาบันจึงไม่อนุมัติให้จบการศึกษา ไม่ได้เข้ารับพระราชทานประกาศนียัตรฯพร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน แต่นายณฐพรก็คงคุ้มค่ากับการเข้ามาเรียนฟรีๆเพราะได้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ได้คอนเน็คชั่นจากการเข้ามาเรียนไปเรียบร้อยแล้ว แม้จะได้ไม่รับใบประกาศนียบัตร

คำแปลฉบับเต็ม โทรเลขวิกิลีกส์ 25 มกราคม 2553 (ทูตอเมริกันพบ เปรม, สิทธิ, อานันท์) ใน ฟ้าเดียวกัน ฉบับใหม่


ผมก็รู้สึกมาตลอดว่า โทรเลขฉบับนี้ เป็นฉบับที่มีเนื้อหาสำคัญที่สุด และยากที่สุด ที่จะนำมาอภิปรายในที่สาธารณะ อย่าว่าแต่แปลออกมาทั้งฉบับ ..ซึ่งเป็นเรื่องการพบปะระหว่างทูตสหรัฐกับ เปรม, สิทธิ และ อานันท์ ที่บัดนี้คงรู้กันดีแล้วว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชและการสืบราชสันตติวงศ์


โดย ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา เฟซบุ๊คสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

เมื่อเช้าตอนผมโพสต์เรื่อง "ฟ้าเดียวกัน" เล่มล่าสุด ว่ามีเรื่องน่าสนใจมาก ตอนต้นเล่ม และท้ายเล่ม

ผมจงใจพูดถึงเฉพาะท้ายเล่ม ที่ตีพิมพ์เอกสารการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ปี 2485 ซึ่งเป็นเอกสารชั้นต้นชิ้นสำคัญมากๆที่ไม่เคยมีการเผยแพร่มาก่อน ซึ่งสำหรับผู้สนใจประวัติศาสตร์ขบวนการฝ่ายซ้ายไทย ต้องถือเป็นการค้นพบ/เผยแพร่ ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในรอบสิบๆปี (เป็นผลงานของ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ แห่งคณะอักษรศาสตร์ จุฬา)

อย่างไรก็ตาม ผมจงใจไม่พูดถึง ตอนต้นเล่ม เพราะบอกตรงๆว่า ผม "สะดุ้ง" เหมือนกัน ที่เห็น "ฟ้าเดียวกัน" ตีพิมพ์คำแปลฉบับเต็ม โทรเลขวิกิลีกส์ ฉบับวันที่ 25 มกราคม 2553 ซึ่งเป็นเรื่องการพบปะระหว่างทูตสหรัฐกับ เปรม, สิทธิ และ อานันท์ ที่บัดนี้คงรู้กันดีแล้วว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชและการสืบราชสันตติวงศ์

ตั้งแต่โทรเลขวิกิลีกส์ 4 ฉบับที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทยได้รับการเผยแพร่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผมก็รู้สึกมาตลอดว่า โทรเลขฉบับ 25 มกราคม 2553 นี้ เป็นฉบับที่มีเนื้อหาสำคัญที่สุด และยากที่สุด ที่จะนำมาอภิปรายในที่สาธารณะ อย่าว่าแต่แปลออกมาทั้งฉบับ (โทรเลขวิกิลีกส์อีกฉบับหนึ่ง ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ที่สมัคร พูดกับทูตสหรัฐเกี่ยวกับพระราชินี, พันธมิตร และการรัฐประหาร 19 กันยา แม้จะสำคัญ และยากในการอภิปรายและแปล ก็ยังไม่เท่าฉบับวันที่ 25 มกราคม นี้)

นอกจาก "สะดุ้ง" แล้ว ก็ "ทึ่ง" ในความ "ใจถึง" ของคนทำ "ฟ้าเดียวกัน" แน่นอน ผมสนับสนุนการอภิปรายเรื่องสถาบันกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมาและอย่างเต็มที่ เพียงแต่ก็ไม่แน่ใจว่า ตราบเท่าที่กฎหมายจำกัดเสรีภาพในเรื่องนี้ยังคงอยู่ เราสามารถทำได้แค่ไหนเพียงใดเมื่อไร ด้วยความไม่แน่ใจว่า คนทำ "ฟ้าเดียวกัน" ต้องการจะให้เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่นำมาโฆษณาป่าวประกาศหรือไม่ หรือต้องการเพียงให้ผู้สนใจ เมื่อเลือกซื้ออ่าน "ฟ้าเดียวกัน" เล่มนี้แล้ว ไปค้นพบด้วยตัวเองว่า มีคำแปลฉบับเต็มของโทรเลขดังกล่าวอยู่ ผมจึงรอ ไม่พูดไปเมื่อเช้านี้ และเขียนไปถามคนทำ "หลังไมค์" ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า ยินดีให้อภิปราย

โพสต์นี้ ผมก็เพียงต้องการจะบอกให้ทุกคนที่สนใจ โทรเลขวิกิลีกส์ ฉบับนี้ และอาจจะอ่านภาษาอังกฤษได้ไม่แข็งแรง ไปหาอ่านเอาจาก "ฟ้าเดียวกัน" ฉบับใหม่ได้

นอกจากนี้ ผมมีบางประเด็นเกี่ยวกับคำแปลฉบับเต็ม ของ "ฟ้าเดียวกัน" ที่คิดว่า น่าจะถือโอกาสบอกผู้ไปหาอ่านล่วงหน้า เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านภาษาไทย เฉพาะที่ต้องการจะศึกษา เนื้อหาของโทรเลขนี้ ชนิดละเอียดละออมากๆ กล่าวคือ ผมได้อ่านเทียบคำแปลของ "ฟ้าเดียวกัน" เฉพาะในส่วนที่โทรเลขพูดถึงสถาบันกษัตริย์ (ผมไม่มีเวลาพอจะทำกับส่วนอื่น ทั้งฉบับ) กับต้นฉบับภาษาอังกฤษ ชนิด คำต่อคำ ประโยคต่อประโยคแล้ว พบว่า โดยรวม เป็นคำแปลที่ตรงกับต้นฉบับ ชนิดที่่พอจะใช้อ้างอิงได้ อย่างไรก็ตาม มีบางคำ หรือบางประโยค ที่ผมเห็นว่า แปลผิด หรือ คลาดเคลื่อน และบังเอิญทำให้ความหมายที่มีความสำคัญพอควร ผิดเพี้ยน คลาดเคลื่อนไปได้ ดังนี้ (ผมต้องขอรบกวนให้ผู้อ่านที่สนใจ หาต้นฉบับภาษาอังกฤษกันเองนะครับ)

ในบรรทัดแรกสุด คำว่า call ไม่ใช่หมายถึง ทูตสหรัฐ "โทรศัพท์" ไปหา เปรม, สิทธิ, อานันท์ นะครับ แต่หมายถึง ไปหา (visit) เลยน่ะครับ เนื้อหาของโทรเลข ก็คือการไปพบคนเหล่านี้ด้วยตัวเองของทูต

ข้อ (7) คำว่า regain weight แปลว่า "เพิ่มน้ำหนัก" แม้จะไม่ถึงกับผิด แต่ก็ไม่ตรงเสียทีเดียว คือ ตามรูปประโยค หมายความว่า ในหลวงทรงน้ำหนักลดลงไป (เกินกว่าพระพลานามัยปกติ) และหมอกำลังพยายามให้ regain weight คือ ให้น้ำหนักกลับมาอยู่ ในระดับปกติ หรือระดับเดิม

ข้อ (8) คำว่า probably ที่แปลว่า "อาจ" ผมคิดว่าความหมาย "อ่อน" กว่าต้นฉบับ ถ้าให้ตรง คงต้องเป็นคำว่า "น่าจะ"

ข้อ (8) เช่นเดียวกัน แต่ตรงนี้ แปลผิดอย่างสำคัญมากเหมือนกัน (ในบริบทของเนื้อหา) ประโยคที่ว่า "he does not enjoy that sort of relationship" คำว่า he หมายถึง ทักษิณ ครับ ไมใช่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช คือเปรมกำลังบอกว่า ทักษิณ "หลงตัวเอง" ที่คิดว่าความสัมพันธ์เป็นอย่างนั้น แต่จริงๆแล้ว ทักษิณหาได้มี หรือ หาได้รับ (enjoy ไม่ใช่ "ชอบ" หรือ "ยินดี" ตามที่แปล นะครับ ในบริบทของประโยคนี้ แต่หมายถึง ได้มี-ได้รับ [แบบค่อนข้างพิเศษ] หรือในสำนวนฝรังอีกอย่างคือ have the privilege of) ความสัมพันธ์ในลักษณะนั้นแต่อย่างใดไม่

ข้อ (8) ในประโยคถัดมา ตรงนี้แปล "ตก"อย่างสำคัญเหมือนกัน (ในบริบทของเนื้อหา) คือ คำว่า how he is ไปแปลรวมกับอนุประโยคก่อนหน้านั้น ความจริง อันนี้ เป็นการพูดในอีกเรื่องหนึ่ง ที่มีลักษณะทั่วไป มากกว่า เรื่อง social life ครับ ไมใช่เรื่องเดียวกัน

ข้อ (9) ประโยคสุดท้าย แม้จะแปลไม่ผิด แต่ในความเห็นผม การเรียบเรียงประโยคในภาษาไทย ทำให้ไม่ชัดเจนเด็ดขาดลงไป (เหมือนภาษาอังกฤษ) ว่า กำลังหมายถึงทักษิณที่แสดงทัศนะเหล่านั้น ไมใช่ สิทธิ

ข้อ (11) คำว่า assessment of dynamics in play ไม่ได้หมายถึงเฉพาะ "ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว" ตามที่แปลนะครับ ผมว่าเขาหมายถึงกว้างกว่านั้น ในแง่ ความเป็นไปต่างๆ หรือ ความเคลื่อนไหวต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ

ข้อ (11) ตอนท้าย ที่เป็น "note" ของทูตนั้น ในความเห็นผม คำแปลของ "ฟ้าเดียวกัน" น้ำหนักยังไม่เท่ากับเนื้อหาในภาษาอังกฤษ (พูดแบบฝรังคือ ประโยคดั้งเดิมมีความหมายที่ strong กว่า คำแปล) คือ "ฟ้าเดียวกัน" แปลในความหมายของ "เป็นทางเลือกนอกจาก" แต่ผมเห็นว่าในรูปประโยคภาษาอังกฤษ น่าจะหมายถึง "แทน" (alternative ในที่นั้นคือ replacement) มากกว่า

ข้อ (12) คำว่า enduring ผมเข้าใจว่า ผู้แปลใช้คำว่า "เดือดร้อน" เพื่อแปลคำนี้ แต่จริงๆในปริบทของประโยค ไม่ได้หมายถึง to endure (ทน - เดือดร้อน) แต่หมายถึง "ไม่เลิก" "ไม่หยุดหย่อน"

******

ก่อนหน้านี้ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เขียนลงในเฟซบุ๊คเขาด้วยว่า โทรเลขล่าสุด ที่หนังสือพิมพ์ The Guardian เอามาอภิปรายนี้ เป็นโทรเลขเมื่อเดือนมกราคมปีนี้เอง ทูตสหรัฐได้รายงานการสนทนากับ เปรม, สิทธิ เศวตศิลา และ อานันท์ ปันยารชุน เกี่ยวกับปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์

เรื่อง "ตลก" ที่ไม่ตลก เกี่ยวกับเนื้อหาที่ เปรม อานันท์ สิทธิ พูดกับทูตสหรัฐอยู่ นั่นคือ ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป พูดเรื่องแบบนี้ แม้ในที่ "ไพรเวท" ก็ยังเสี่ยง่ต่อการโดนเล่นงานด้วย ม.112 ได้ ผมพูดนี่ ไม่ได้เสนอเลยว่าให้เล่นงาน เปรม อานันท์ สิทธิ ด้วย ม.112 นะครับ ต้องย้ำ ผมไม่เคยยุให้ใช้กฎหมายนี้กับใครเลยทั้งสิ้น แม้แต่...กับกรณีสนธิ ลิ้มทองกุล หรือพวกพันธมิตร พวกจงรักภักดีทั้งหลาย


*****
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

หมายเหตุไทยอีนิวส์:ผู้อ่านพึงใช้วิจารณญาณในการติดตามข้อมูลข่าวสาร ไทยอีนิวส์ไม่จำเป็นต้องมีความเห็นหรือทัศนะสอดคล้องกับรายงานต่างๆเหล่านี้แต่อย่างใด และควรอย่างยิ่งที่จะต้องรับฟังข้อมูลข่าวสารการชี้แจงใดๆจากทางราชการประกอบการพิจารณาด้วย

-ข่าวภาษาอังกฤษฉบับเต็มเรื่องนี้ในTHE GUARDIAN:US embassy cables: Thai officials express concerns over crown prince

-ใจ อึ๊งภากรณ์:รายงานลับ WikiLeaks เปรม สิทธิ และ อานันท์ คิดยังไงกับราชวงศ์

-คำแปลฉบับเต็มโทรเลขวิกิลีกส์ ฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551: พระราชินีกับพันธมิตร, ในหลวงกับอนุพงษ์, พระอาการปวดหลัง

-ข่าวคึกโครมระดับโลกที่เงียบเชียบในสื่อไทย วิกิลีกส์ตีแผ่อีกเปรม-อานันท์ปูดข้อมูลลับระดับสูงสู่ทูตสหรัฐฯ

-กรณีตัวอย่างที่สถาบันกษัตริย์ สามารถปฏิเสธรัฐประหาร และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐประหารพ่ายแพ้ได้ : "กบฏยังเติร์ก" 2524 [มี pdf]

-"แดง"จุดพลุ"2 มาตรฐาน" ชุมนุมหน้าศาลอาญา และหลักฐานใหม่"วิกีลีกส์""ทูตสหรัฐรู้ล่วงหน้า 1 เดือน ยุบ"พลังประชาชน"

-อภิสิทธิ์:"ในหลวงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมฯสืบต่อพระราชบัลลังก์" 

-ติดต่อสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ทางเฟซบุ๊ค,ทางอีเมล์ sameskybooks@gmail.com

UNจี้ยุติสงคราม ชุมนุมสันติภาพค่ำนี้อนุสาวรีย์ชัยฯ

http://thaienews.blogspot.com/


เต็มอัตราศึก-ทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธเต็มอัตราศึกในสภาพร้อมรบใกล้เขตชายแดนไทย ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาประท้วงต่อUNกล่าวหาว่าไทยก้าวร้าวรุกราน(ภาพข่าว: AFP )


เหยื่อสงคราม



ชาวบ้านลูกเด็กเล็กแดงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาพากันอพยพจากบ้านเกิดที่เสียหายจากการปะทะไปยังเต๊นท์ค่ายพักแรมฉุกเฉินในสถานที่ปลอดภัย(ภาพข่าว: AP )


ผู้จุดชนวนสงคราม

กระหายสงคราม- พันธมิตรฯ กลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองขวาจัดราชาชาติยนิยมกางเต๊นต์นอนหน้าทำเนียบฯ พร้อมเขียนป้ายด่าเขมรเป็น"หมาบ้า" เพื่อรอเคลื่อนพลใหญ่11กุมภาพันธ์นี้ คาดว่าน่าจะไปหน้าสภาเพื่อคัดค้านการแก้ไขรธน.ฉบับเผด็จการปี2550 โดยพันธมิตรได้ปฏิเสธคำท้าทายของผบ.ทบ.ที่ว่าหากอยากรบก็ให้มาที่ชายแดนเขาพระวิหาร หลังจากที่พันธมิตรเป็นผู้จุดชนวนสงครามครั้งนี้

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
7 กุมภาพันธ์ 2554

นายบัน คี มูน เลขาธิการใหญ่ สหประชาชาติ (UN)กล่าวเรียกร้องให้หยุดการทำสงครามปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาจนเป็นเหตุให้ทหารและพลเรือนทั้งสองประเทศสูญเสียชีวิต และแทนที่ด้วยการเจรจากัน ทั้งนี้จากรายงานของ สำนักข่าวUPI

รวมพลคนไม่เอาสงคราม ชุมนุมเพื่อสันติภาพ

ขณะที่กลุ่มไม่เอาสงคราม ต้องการสันติภาพ ประกาศเชิญชวนทางเฟซบุ๊คขอเชิญชวนผู้คัดค้านสงครามไทยกับกัมพูชา และต้องการสันติภาพพบกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูม เพื่อชุมนุมแสดงออกถึงความไม่ต้องการ "สงคราม" และต้องการสันติภาพ ในเวลา17.00- 19:00 สถานที่ หน้าอนุสาวรีย์ชัยฯ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.facebook.com/event.php?eid=161779230538218


ขณะเดียวกันในเฟซบุ๊คได้มีการเปิด กลุ่มประชาชนไทยและเขมรต้องการสันติภาพ Thai & Khmer People who Want Peace และมีการรณรงค์ให้คนไทยเฟซบุ๊คที่ไม่ต้องการสงครามเข้าร่วมกลุ่มด้วย

นักวิชาการแถลงยุตินำข้อพิพาทเขมรแสวงประโยชน์การเมือง

นักวิชาการในนาม"สันติประชาธรรม"นำโดยดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีธรรมศาสตร์ ได้ออกแถลงการณ์ลงนามในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2554 เกี่ยวกับข้อพิพาทไทย-กัมพูชา โดยมีเนื้อหาสำคัญตอนหนึ่งเรียกร้องให้ ทุกฝ่ายยึดมั่นในหลักการแห่งอหิงสา ยุติการนำประเด็นความขัดแย้งเรื่องเขตแดนมาแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง ไม่ว่าการเมืองภายในประเทศ หรือการเมืองระหว่างประเทศ อันจะทำให้ปัญหาบานปลายกลายเป็นชนวนสงครามที่ยากจะหาทางยุติลงได้ ( ดูรายละเอียดแถลงการณ์ )


ขณะเดียวกันดร.ชาญวิทย์ ได้เชิญชวนร่วมสัมมนาวิชาการอุษาคเนย์ ครั้งที่ 8 “สยาม-ขะแมร์ คู่รัก คู่ชัง คู่กรรม คู่เวร” ในวันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ ณ หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์มีกำหนดการดังนี้
> 08.30-09.00น. ลงทะเบียน
> 09.00-09.10น. กล่าวต้อนรับและกล่าวรายงานโดยคณบดีคณะศิลปศาสตร์
> 09.10-09.20น. กล่าวเปิดงานโดย อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
> 09.20-09.30น. กล่าวให้การสนับสนุน โดย HEYou Ay เอกอัครราชทูกัมพูชาประจำประเทศไทย *
> 09.30-10.20น. ปาฐกถานำโดย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
> 10.20-10.30น. พักรับประทานอาหารว่าง
> 10.30-12.00น. อภิปรายหัวข้อ “ชำแหละประวัติศาสตร์ แบบเรียน สื่อ และวาทกรรม สยาม-ขะแมร์ สู่มิตรและศัตรู” โดย
> ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์
> ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
> ดร.ศานติ ภักดีคำ
> สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
> ดุลยภาค ปรีชารัชช ดำเนินรายการ

> 12.00-13.00น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
> 13.00-14.20น. อภิปรายหัวข้อ “ปราสาทพระวิหาร: แผนที่ พรมแดน สู่ปมมรดกโลก” โดย
> รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข
> อ.มรกต เจวจินดา ไมยเออร์
> อ.พนัส ทัศนียานนท์
> สมฤทธิ์ ลือชัย ผู้ดำเนินรายการ
> 14.20-14.30น. พัก 10 นาที
> 14.30-15.50น. อภิปรายหัวข้อ “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าสู่ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยในกัมพูชา” โดย
> อลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
> คุณสมศักดิ์ รินเรืองสิน นายกสมาคมนักธุรกิจไทยในกัมพูชา
> คุณราตรี แสงรุ่งเรือง ประธานชมรมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดสระแก้ว
> รศ.ดร.พิภพ อุดร ดำเนินรายการ
15.50-16.30น. การแสดง เพื่อความสมานฉันท์ สยาม-ขะแมร์ โดยนักศึกษาอุษาคเนย์
> 16.30-17.30น. ปัจฉิมกถา และปิดการสัมมนาโดย ฯพณฯ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ


> * อยู่ระหว่างการติดต่อ

ติดต่อและสำรองที่นั่งฟรีได้ที่ seminarseas9@gmail.com**