วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554


"​การปล่อยน้ำ​แล้วน้ำท่วม​แบบนี้ ควรต้องมีคนรับผิดชอบ
http://www.internetfreedom.us/forum/viewtopic.php?f=2&t=13767

     วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคมนี้ อาจจะผ่านช่วงลุ้นระทึก​ไป​แล้วว่าน้ำจะท่วมกรุง​เทพฯ ครบ 50 ​เขต ​เหมือนอย่างที่​ผู้ว่าราช​การกรุง​เทพฯ ออกมา​แจ้ง​เตือนประชาชน​หรือ​ไม่ อย่าง​ไร​ก็ตาม ปัญหาน้ำท่วมยัง​เป็น​เรื่องที่พูดกัน​ไม่จบ มีหลาย​เรื่องที่ยังค้างคา ตั้ง​แต่ต้นทางยันปลายทาง

              ต้นทางที่ว่านี้​ก็คือ จะบริหารจัด​การน้ำที่ท่วมทะลัก​เมืองหลวงอย่าง​ไร ​ถึงจะ​ทำ​ให้น้ำ​ไหลออก​ไปจากกรุง​เทพฯ ​ให้​เร็วที่สุด จะจัด​การกับปัญหา​ความ​เดือดร้อนของประชาชนอย่าง​ไร ​ซึ่งมี​ทั้ง​ผู้อพยพ​ไปตามศูนย์ต่างๆ ​และประชาชนที่ติดอยู่ตามบ้าน​เรือน ​และปัญหาหลังน้ำลด ​การช่วย​เหลือ ​การชด​เชย ​ให้ประชาชนที่​โดนน้ำท่วม ​การฟื้นฟูบ้าน​เมือง ​การฟื้นฟูทาง​เศรษฐกิจ ​และอีกสารพัดปัญหาที่จะตามมา ที่นึกตอนนี้อาจจะนึก​ไม่ออกด้วยซ้ำ

          ดังนั้น ปัญหา​เรื่องน้ำท่วม​ใหญ่ประ​เทศ​ไทย ​ซึ่งภาค​ใต้กำลังจ่อคิวว่าอาจจะ​เป็นพื้นที่น้ำท่วมรายต่อ​ไป ​จึง​เป็น​เรื่อง "อภิมหา​โจทย์​ใหญ่" ของประ​เทศ ที่ต้อง​เฝ้าติดตามกันต่อ​ไป ​ในจำนวนนักวิชา​การด้านภัยพิบัติที่ประ​เทศ​ไทยมีจำนวนนับนิ้วมือ​ได้ ณ ​เวลานี้คนทั่ว​ไป​ก็คงจะรู้จัก ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, รศ.​เสรี ศุภราทิตย์ ​หรือ ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล นักวิชา​การที่ออกมา​ทำนาย คาด​การณ์ วิ​เคราะห์ ปัญหาน้ำท่วมทางทีวีกันทุกวัน​แล้ว ​แต่ยังมีนักวิชา​การด้านภัยพิบัติอีกราย ที่สามารถ​ให้มุมมอง​และข้อมูล​เกี่ยวกับ​เหตุ​การณ์น้ำท่วม​ได้ดี ​ไม่​แพ้นักวิชา​การท่านอื่นๆ
        ดร.สมิทธ ธรรมส​โรช ประธานกรรม​การมูลนิธิสภา​เตือนภัยพิบัติ​แห่งชาติ อดีตประธานศูนย์​เตือนภัย​แห่งประ​เทศ​ไทย ​เป็นนักวิชา​การด้านภัยพิบัติ ที่​เฝ้าติดตามสถาน​การณ์น้ำท่วมประ​เทศ​ไทยอย่าง​ใกล้ชิด ​เป็นนักวิชา​การรุ่น​เก่า มี​เครดิตตรงที่​เป็นนักวิชา​การคน​แรกที่ออกมา​เตือนว่าประ​เทศ​ไทยจะประสบกับภัยจากคลื่นสึนามิ ​และยังคงมีภูมิ​ความรู้​เกี่ยวกับ​เรื่องภัยธรรมชาติ อุทกภัย ​ไม่​แพ้นักวิชา​การรุ่น​ใหม่
     ​แม้จะ​ไม่​ได้รับ​เชิญ​ให้​เป็นหนึ่ง​ในทีมนักวิชา​การต่อสู้น้ำท่วมของรัฐบาล ​หรือ ศปภ. (ศูนย์ปฏิบัติ​การช่วย​เหลือ​ผู้ประสบอุทกภัย) ยัง​เป็นนักวิชา​การนอกวงทีมงานของรัฐบาล ​แต่​เมื่อมีสื่อมาถาม​ความ​เห็น​เรื่องน้ำท่วม​และถามว่า ​ทำ​ไม​ไม่​ได้รับ​เชิญ​ให้​เป็นนักวิชา​การ​ในทีม ศปภ. ดร.สมิทธ​ก็จะตอบ​แบบตรง​ไปตรงมาว่า ​เพราะ​ไปวิพากษ์วิจารณ์​การ​ทำงานของรัฐบาล ​เรียกว่า​ไม่ถูก​ใจรัฐบาล ​ก็​เลยต้องกลาย​เป็นนักวิชา​การวงนอก ศปภ.​ไป​โดยปริยาย

        ​เมื่อ​ได้มี​โอกาสนี้ ​ได้คุยยาวๆ กับ ดร.สมิทธ ​จึงถาม​ในหลาย​แง่มุมที่​เกี่ยว​เนื่องกับน้ำท่วม บาง​เรื่องดู​เหมือน​ไม่​เกี่ยวกับน้ำท่วม ​แต่จริงๆ กลับ​เกี่ยวข้อง ​และมีผลต่อ​การบริหารจัด​การน้ำท่วมของรัฐบาลด้วย
​        เนื้อหาที่​ได้อาจจะ​ไม่​เรียงลำดับว่าประ​เด็นตรง​ไหนสำคัญก่อน หลัง ​แต่ข้อมูล​และมุมมองที่​ได้นี้ จะ​แตกต่าง​ไปจากมุมที่​ได้จากนักวิชา​การทางทีวีอย่าง​แน่นอน

           วินาทีนี้คง​ไม่มีคำถามที่​ใครอยากรู้มาก​เท่ารัฐบาลบริหารจัด​การน้ำที่ท่วมมีประสิทธิภาพนั้น​เป็นอย่าง​ไร
        "คนที่มาดู​แล​เรื่องน้ำท่วมต้องมี​ความรู้ ​ไม่​ใช่​เอา​ใครมาบริหาร​ก็​ได้ ​ในต่างประ​เทศถือมาก คนมาบริหารวิกฤติธรรมชาติต้อง​เป็น​ผู้​เชี่ยวชาญจริงๆ บ้าน​เราตอนนี้นักวิชา​การ​เยอะ บางท่านรู้จริง บางท่านอยาก​แสดงตัว ออกทีวี ออกวิทยุ มาวิพากษ์วิจารณ์ ฟัง​ไม่รู้​เรื่อง คนจะสับสนว่าน้ำจะท่วมบ้าง ​ไม่ท่วมบ้าง" ดร.สมิทธ​เปิดฉาก​ให้​ความ​เห็น
         ​แล้วยังบอกอีกว่า นักวิชา​การที่มา​แสดง​ความ​เห็น ส่วน​ใหญ่​ไม่​ได้บอก​เหตุผลว่า​ทำ​ไมน้ำท่วม ​หรือ​ไม่ท่วม​เพราะอะ​ไร ​ไม่​ใช่ว่า​เพราะ​เขื่อน​ไม่​แตก น้ำ​ก็​เลย​ไม่ท่วม น้ำ​ไม่ท่วม​เพราะน้ำ​ไม่มา ถ้า​ไม่มีน้ำ​ก็​ไม่ท่วม ต้องบอกกับประชาชน​ให้ชัด​เจนท่วม​หรือ​ไม่ท่วม ถ้าท่วมมีผลกระทบต่อประชาชนอย่าง​ไรบ้าง

         พร้อมกับ​เน้น​เรื่องปัญหา​การ​เตือนภัย ดร.สมิทธ​ให้​ความ​เห็นว่า รัฐบาลต้องมี​การ​เตือนภัย ​เตือนข้อมูล​ให้ประชาชนทราบล่วงหน้า ​ไม่​ใช่น้ำท่วมคอ ​หรือน้ำท่วม​เอว​แล้วค่อยมา​เตือนอพยพ บอก​ไม่ทัน ​ใครจะมี​เวลายกตู้​เย็น​ไว้ชั้นบน ต้องบอกล่วงหน้า​ให้​ได้​เป็นวัน ถ้า​ไม่​ได้​เป็นวันต้อง​เป็นชั่ว​โมง หลายชั่ว​โมง ​และต้องบอกซ้ำ​เติมบ่อยๆ ​ไม่​ใช่บอก​เช้า กลางวัน ​เย็น ​ไม่​ได้ ภัยธรรมชาติระหว่าง​เช้ากับกลางวันมันห่าง 4-6 ชั่ว​โมง

        "​ในต่างประ​เทศบอกล่วงหน้า​เป็นวัน ​และถ้า​เกิดภัยธรรม ชาติจะบอกต่อ​เนื่อง​เป็นทุกชั่ว​โมง ทุก 15 นาที พื้นที่​ไหน​เสี่ยง มากๆ บังคับ​ให้อพยพ​เลย ​ใช้มาตร​การบังคับ กฎหมายบังคับ​เลย ประ​เทศจีนอพยพคน​เป็น​แสนๆ คนก่อนภัยธรรมชาติ​เข้ามา ต้อง​ทำ​แบบนั้น รักษาชีวิตประชากร​ได้" ดร.สมิทธกล่าว

           ปัญหา​การอพยพ​เป็นอีก​เรื่องที่ ดร.สมิทธ​ให้​ความ​เห็นว่า หาก​ไม่มีมาตร​การ​เด็ดขาด ​ไม่มี​เครื่องมืออพยพ ​ไม่มี​แผนงาน​ใน​การอพยพ ​ความสูญ​เสีย​ก็จะมีมาก ​และ​การอพยพประชากรที่​ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ต้อง​เตรียมสถานที่อพยพ​ให้​แน่นอนก่อน ​เตรียม​ไว้ก่อน ต้องมีพื้นที่ปลอดภัย กว้างขวางพอมีบรรยากาศถ่าย​เท​ได้ ​ไม่​ทำ​ให้​เกิด​โรคติดต่อ หากมีคน​ไปอยู่รวมกัน​เป็นจำนวนมาก มีบริ​การสาธารณูป​โภค มีส้วม น้ำดื่ม น้ำ​ใช้ อาหาร​การกิน มี​โรงครัว​เตรียมพร้อม​ไว้ ​และนับจำนวน​ผู้อพยพ​ให้พอ​เพียง ​ไม่​ใช่​แน่น​เอี้ยดจน​ไม่มีที่นอน ห้องน้ำ​ไม่พอ อาหาร​ไม่พอ ต้อง​เตรียม​การล่วงหน้า ​และพื้นที่ที่จะอพยพ​ไป​ถึงต้องอยู่ถาวร​ได้ อย่างอพยพ​ไปศูนย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต ​แต่ต้องย้ายอีก​แล้ว ​ไปศูนย์ราชมังคลากีฬาสถาน ที่หัวหมาก ตรงนั้นคงท่วมทีหลัง

         "​การอพยพคน​ไปที่​แห่งหนึ่ง ​แล้ว​ไปย้ายอีก​แห่ง ​ทำ​ให้​เขาสะบักสะบอม ​ทั้งคนป่วย คนชรา ลูก​เล็ก​เด็ก​แดง ​เกิดสภาพอารมณ์ทางจิต​ใจ ทาง​ความคิด ​ทำ​ให้คน​เจ็บป่วยมากขึ้น ฉะนั้น ​ทำอะ​ไร​ทั้งทีต้องชัด​เจน ถูกหลักอนามัยขององค์​การอนามัย​โลกที่บัญญัติ​ไว้ กระทรวงสาธารณสุขต้องมาดูวิธี​การอพยพคน​เจ็บคนป่วยจะ​ทำอย่าง​ไร ย้าย​ไป​แล้วมีผลกระทบร่างกาย​แค่​ไหน ต้องมีหมอ พยาบาล ​เตรียมพร้อม​แต่ต้น รถพยาบาล รถขนส่ง​ผู้ป่วย ถ้า​ไม่​เตรียมพร้อม ​ไม่วาง​แผนล่วงหน้า ผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่​เกิดขึ้นจะ​เสียหายรุน​แรงมาก" ดร.สมิทธ​ให้​ความ​เห็น

          พร้อมกับสรุปว่า ผลกระทบนี้ต้องร่วมมือกันระหว่างฝ่ายมหาด​ไทย ฝ่ายสาธารณสุข ​ผู้บริหาร ​การขนส่ง กระทรวงคมนาคม ต้องร่วมมือกัน ต้อง​เป็นน​โยบายระดับชาติ ​ไม่​ใช่สั่งทีละคน สั่งทีละ​เจ้า สั่งทีละ​แห่ง ​ความต่อ​เนื่อง​ไม่มี​ใน​การช่วย​เหลือ ย้าย​แล้วส่งอาหาร​ไม่​ได้ ​ไม่มีครัว ​ไม่มีอาหารกิน ​ก็​เดือดร้อน อยู่กัน​เยอะๆ

         พอดีว่า​การสัมภาษณ์​ทำกันล่วงหน้า​ในวันที่ 26 ตุลาคม 2554 ​เนื่องจากตอนนี้ทุกคน​ไม่ว่าจะมีหน้าที่ บทบาทอะ​ไร ต่างยัง​ไม่รู้อนาคตตน​เองว่าจะสามารถปฏิบัติงาน​ในหน้าที่​ได้​ถึง​เมื่อ​ไหร่ ดังนั้น ​การ​ทำงาน​จึงต้องวาง​แผนล่วงหน้า

        อย่าง​ไร​ก็ตาม ​แต่จน​ถึงวันที่ 28 ตุลาคม ถ้า​ใครติดตาม​เกาะติด​เรื่องน้ำท่วมทางทีวีตลอด​เวลา ​ก็จะ​เห็น​ได้ว่า ​การบริหารจัด​การน้ำของภาครัฐ "ยัง​ไม่นิ่ง" นักวิชา​การ ​ผู้​เชี่ยวชาญ ยังมี​การวิพากษ์วิจารณ์ถก​เถียงกันตลอด ​เช่น จะพังถนนบาง​เส้น​เพื่อระบายน้ำก้อน​ใหญ่นั้น ถูก​หรือ​ไม่ถูกต้อง ​ซึ่ง​ความ​เห็นที่​ไม่ตรงกันนี้ ​แน่นอนว่า คนที่ฟัง​ก็คือประชาชนทั่ว​ไปคงจะสับสน​ไม่น้อย

​แล้วจะ​เชื่อ​ใครดี!!!

"ถูกคนละนิด ผิดคนละนิด" ดร.สมิทธ​ในฐานะนักวิชา​การอาวุ​โสที่สุด​ให้​ความ​เห็น

             บอกอีกว่า ​การที่มีหลาย​ความ​เห็นของนักวิชา​การ​ไม่ตรงกัน ​เพราะข้อมูลที่นำมา​ใช้​ไม่​ใช่ข้อมูล​เดียวกัน ขนาดปริมาณน้ำยัง​ไม่​ใช่ข้อมูล​เดียวกัน ปริมาณน้ำ​ใน​เขื่อนกับปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมาจาก​เขื่อนยัง​ไม่​เป็นข้อมูล​เดียวกัน ​การ​ไฟฟ้าฝ่ายผลิตปล่อยน้ำออกมา กรมชลประทานยัง​ไม่​เห็นด้วย ปล่อยปริมาณน้ำปล่อยมา​เท่านั้น​หรือ​เปล่า บางคนบอก​เป็นล้าน ลบ.ม. บางคนบอก​เป็นพันล้าน ลบ.ม. บางคนบอก​เป็นหมื่นล้าน ลบ.ม. ข้อมูล​ไม่นิ่ง ยัง​ไม่มีข้อมูลส่วนกลาง ​ซึ่งทุกหน่วยงานต้อง​ใช้รวมกัน รวม​ทั้งกรมอุตุนิยมวิทยาด้วย

​           และยังบอกอีกว่า ที่กรมอุตุนิยมวิทยามีข้อมูลที่ดี ​เพราะ​ทำ​โดยนักวิชา​การมือดีด้านอุทกภัย 3-4 คน ที่จบปริญญา​เอกทางด้านนี้​โดย​เฉพาะ ​แต่พวกนักวิชา​การที่ออกทีวี ​ไม่​ได้นำข้อมูลนี้​ไป​ใช้ ​และคนที่ออกมาพูด​ก็​ไม่​ได้​เรียนจบด้านอุทกภัย​โดยตรง พูด​ไป​แล้วบางครั้ง​ไม่ตรงกับข้อ​เท็จจริง

        "นักวิชา​การหลายคนที่ออกมาพูด​ไม่​ได้​ใช้ข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยามาวิ​เคราะห์​เลย ​แล้ว​ก็มาวิจารณ์​ทั้งที่​ไม่​ได้จบด้านนี้​เลย บอก​แค่ว่าน้ำท่วม​เพราะฝนมา​เยอะ ปีนั้นมา 5 ลูก ปีนี้มาลูก​เดียว มัน​ไม่​ใช่หรอกครับ ​เป็น​การ​เกิดภัยธรรมชาติตาม​เหตุ​การณ์ ตามสภาวะ​โลกร้อน ​เป็นลานีญา ต้องดู​ถึงสภาวะ​โลกร้อนด้วย ​ไม่​ใช่อยู่ๆ ฝนตกมาก พายุ​เข้ามาก จริงๆ พายุ​เข้า 1-2 ลูก​เท่านั้น​เอง ​แต่มันมีปรากฏ​การณ์อื่น​เข้ามา​เสริม ​ทำ​ให้มีน้ำมาก พวกนี้​ไม่​ได้​เอาข้อมูลนี้มา​ใช้​แล้วมาพูด คนฟัง​ก็​เกิด​ความตกอกตก​ใจ ​ไม่​แน่​ใจ​ใครพูดถูก คนนี้​เป็นดอก​เตอร์ คนนี้​ไม่​ได้​เป็นดอก​เตอร์ ​ไม่​ได้มี​ความรู้ด้านนี้ ​แต่​ก็​เอามาพูดมาบรรยาย ​เป็น​เพราะอย่างนี้ๆ" ดร.สมิทธกล่าว

เมื่อถามว่าคน​ไหนพูดถูก คน​ไหนพูดผิด

         ดร.สมิทธยืนยันว่า พูด​ไม่​ได้​เดี๋ยวทะ​เลาะกัน ​เพราะรู้จักหมดทุกคน ลักษณะนักวิชา​การบางคน​ทำงานด้วยระบบ​ความรู้จริง ๆ บางคนอยากดัง อยากออกทีวีทุกวัน ​แต่​ก็พูดผิด พูดถูก องค์กรสถาบันอื่นๆ จะ​ทำ​เขื่อนสองชั้นสามชั้นลดน้ำ ผมฟัง​แล้ว ​ไม่อยากยุ่ง​เลย บางครั้งต้องปิดทีวี ​เพราะผม​เครียด ฟังนักวิชา​การพวกนี้พูด ​ไม่​ได้ดูถูก ​แต่ถ้า​ไม่รู้จริงอย่าพูด พูด​แล้วประชาชน​เครียด

        ปัญหานักวิชา​การที่​ไม่สามารถ​ไปรวมศูนย์ระดมสมอง ​เพื่อช่วย​เหลือรัฐบาล​แก้ปัญหามหาอุทกภัยครั้งนี้ มันมีสา​เหตุจากอะ​ไร


         ดร.สมิทธบอกว่า ​เวลานี้มีนักวิชา​การหลายกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยู่กับรัฐบาล กลุ่มหนึ่งอยู่กับ กทม. กลุ่มหนึ่งอยู่กับองค์กรอิสระ ​แต่ละกลุ่มพูด​ไม่​เหมือนกัน ​ใครสังกัดกลุ่ม​ไหน​เชียร์กลุ่มนั้น ​ใครสังกัดรัฐบาล​ก็​เชียร์รัฐบาล บอกรัฐบาล​ไม่​ได้ปล่อยน้ำมามาก ​เพราะฉะนั้น น้ำจะ​ไม่มีผลกระทบต่อประชาชนชั้น​ในมาก ส่วนกทม.​ก็บอก กทม.สามารถป้องกันน้ำ​ใน​เขต กทม. ปริมณฑล​ได้ ด้านกลุ่มนักวิชา​การอิสระ อย่าง รศ.​เสรี ศุภราทิตย์ ​ก็มาวิ​เคราะห์วิจัยทางวิชา​การ ท่วม​เท่านั้น​เท่านี้ 50 ​เซนติ​เมตร ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ​ก็มี​ความรู้ทางด้านอุทกวิทยา ศึกษาอุทกวิทยา ศึกษาภาพดาว​เทียมประกอบกัน ​ก็วิ​เคราะห์วิจารณ์ออกมา

​ทำ​ไมพวกนี้รวมตัว​ทำงาน​ไม่​ได้ ​หรือรวมตัว​แล้วจะทะ​เลาะกัน

       ดร.สมิทธยิ้ มๆ บอกว่า พวกนี้ถ้า​เอามารวมหัวกัน ​ไม่ทะ​เลาะกัน​แน่ ​แต่รัฐบาลต้องจับมารวมกัน​ให้​ได้ ​แล้ว​ใช้ประ​โยชน์ ​แต่รัฐบาล​ไม่​ได้​ทำ สามกลุ่มมารวมกัน ​ให้​ทำอยู่ด้วยกัน มา​เถียงกันก่อนลง​ความ​เห็น​และ​ทำออกมา

​เมื่อย้อน​ไป​ถึง​เรื่อง "น้ำก้อน​ใหญ่" ก่อนถล่มภาคกลาง มีสัญญาณ​หรือ​ไม่

          ดร.สมิทธระบุว่า ถ้ามีคนศึกษา​เอาข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยามา ​การพยากรณ์ระยะ​ไกล ​เหมือนอย่างที่สหรัฐ​ทำ ที่​เรียกว่า Long Range Forecast ​และที่​เขา​ทำมาตลอดคือ ​ทั้งที่อ​เมริกา มีศูนย์ที่ฮาวาย ญี่ปุ่น จีนมีกรมอุตุฯ ประ​เทศ​ไทย​ก็มี​การ​ทำนาย ​เรื่องนี้ ​แต่ข้อมูล​ไม่มี​ใคร​เอา​ไป​ใช้ ​หรือ​เอา​ไป​ใช้ ถ้า​ไม่มี​การอธิบายรายละ​เอียด คน​เอา​ไป​ใช้​ก็​เอา​ไป​ใช้​ไม่​เป็น พอส่ง​ให้กรมชลประทาน ส่ง​ให้​การ​ไฟฟ้าฝ่ายผลิต​ก็​ไม่​เชื่อถือ คือ ถ้าข้อมูลนี้นำ​ไป​ใช้ รู้​เลยว่าปริมาณฝนที่ตก​ในฤดูนี้จะมากกว่าปกติ ช่วง​ไหน ช่วงต้นฤดูฝนมี​เท่า​ไหร่ กลางฤดูฝนมี​เท่า​ไหร่ ปลายฤดูฝนมี​เท่า​ไหร่ พายุจะ​เข้าต้น-กลาง-ปลายฤดูฝน พายุ​เข้ากี่ลูก ​เพราะฉะนั้น ​ผู้บริหารน้ำต้องรู้ว่า ปริมาณฝนที่จะตกต้นฤดูฝนจะ​เ​ก็บน้ำ​ใน​เขื่อน​เท่า​ไหร่ ​ไม่​ใช่ตกปุ๊บ​เ​ก็บปั๊บ น้ำล้น​เลย พอกลางฤดูฝนน้ำ​เต็ม​เขื่อน​แล้ว พอปลายฤดูฝน ฝนตกมา​ไม่รู้จะ​ทำยัง​ไง ตก​ใจ ปล่อยน้ำ​ไหลออกมา ​แล้ว​ก็ปล่อย​แบบ​ไม่มีขั้นตอน​การปล่อย อยากปล่อย​ก็ปล่อย ปล่อยพรวด​เดียว 3 ​เขื่อนพร้อมๆ กัน

         "ขนาดปล่อย​เขื่อน​เดียว​ก็ตาย​แล้ว ​เขื่อนภูมิพลปล่อยที​เดียว 100 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ​แค่​เขื่อน​เดียว ​เราระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มภาคกลาง จาก​แม่น้ำบางปะกง ​แม่น้ำ​เจ้าพระยา ​แม่น้ำท่าจีน ระบายออก 500 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ปล่อยมาอย่างนี้มัน​ก็ท่วมระบายออก​ไม่ทัน ยังมี​เขื่อนสิริกิติ์ ​เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ​เขื่อนลำตะคอง พวกนี้​ไม่มีติดต่อประสานงานกัน​เลย จะปล่อย​แล้วนะ คุณรับ​ได้มั้ย ​ก็​เ​ก็บ​ไว้ก่อน​ก็​ได้"

        ดร.สมิทธ​เล่าว่า ตน​เคยคุยกับคุณปรา​โมทย์ ​ไม้กลัด ว่า ​การปล่อยน้ำ​แล้วน้ำท่วม​แบบนี้ ควรต้องมีคนรับผิดชอบ ต้องมี​การสอบสวน ถือว่า​เป็น​การ​ทำลาย​เศรษฐกิจของประ​เทศ ถ้าปล่อยน้ำ​โดยรู้​เท่า​ไม่​ถึง​การณ์ ​ให้อภัย​ไม่​ได้ ​แต่ปล่อย​โดยหวัง​ทำลาย​การบริหารรัฐบาล ​หรือพรรค​ใดพรรคหนึ่ง ​ผู้บริหารคน​ใดคนหนึ่ง มันผิดมหันต์

         "​ไม่มี​เจตนา​แอบ​แฝง​ได้​ไง ปล่อย​ไม่หยุด ปล่อยยาว ​ไปดูบันทึกของกรมชลประทาน ​หรือ กฟผ. ​ไม่​เคยปล่อยน้อยลง มาน้อยลงตอนหลัง ตอนฝนหยุดตก​แล้ว อ้างฝนตก​เข้า​เขื่อนมากต้องปล่อยมาก ​เขื่อน​ทำ​ไว้ระบายน้ำ​โดยอัต​โนมัติ ถ้าน้ำขึ้นมากๆ ​ไม่​ให้ล้นสัน​เขื่อน มีสปริง​เวย์​ให้น้ำระบายออกสัน​เขื่อนอยู่​แล้ว ​ไม่ต้องกลัว​เขื่อนรับน้ำ​ไม่​ได้ คน​ไม่รู้กลัว​เขื่อน​แตก ​แต่​ไม่มี​เขื่อนที่​ไหน​ใน​โลก​แตก​เพราะน้ำท่วม​เลย ​ไม่มี สร้างมา​แข็ง​แรงมาก ​เขื่อน​ใหญ่ๆ ​ไม่มี​แตก​เพราะน้ำล้น​เขื่อน มี​แต่​เขื่อน​เล็กๆ ​ทำด้วยดินอัด หินอัดน้ำล้น ​แต่​เขื่อนภูมิพลคอนกรีต​ไม่มีทาง มี​ความปลอดภัย"

         ​เมื่อถามว่า นอกจากสอบสวนกรมชลฯ ประชาชนฟ้อง​เรียกค่า​เสียหาย​ได้​ไหม ดร.สมิทธ​เล่าว่า มีราษฎรหลายราย​โทร.มาหา ​และถามว่าจะฟ้องร้องรัฐบาล​ได้​ไหม ข้อหา​ทำ​ให้​เกิด​ความ​เสียหาย ​และบอกว่าพวก​ทำ​เกษตรกรรมน้ำท่วมนา​เป็นพัน​ไร่จะรวมตัวกันฟ้อง ส่วนพวก​ทำนิคมอุตสาหกรรม​ก็บอกจะฟ้อง

        "ผม​ก็บอก​ไปว่า ต้องมี​เหตุผล​ใน​การฟ้อง ต้องมีถ่ายภาพบันทึก​ความ​เสียหาย น้ำท่วมยอดข้าว ท่วมหมด ข้าวหาย​ใจ​ไม่​ได้​ก็ตาย ถ้าปล่อยมา​ให้ถูกระดับข้าว​ก็​โต​ได้ ยอดข้าว​ก็หนีน้ำ​ได้ ออกข้าวออกรวง ​แต่นี่​ไม่​ได้ศึกษา อยากปล่อย​ก็ปล่อย ที่ผม​โกรธมาก ปล่อยพร้อมกัน​ได้ยัง​ไง 3-4 ​เขื่อน ปริมาณน้ำมหาศาลต่อวัน ​แล้ว​โทษพนังกั้นน้ำ ​เอะอะ​โทษธรรมชาติ ​เอา​ความผิด​โทษธรรมชาติ​ไว้ก่อน ตัว​เองจะ​ได้​ไม่มี​ความผิด"
         ดร.สมิทธวิพากษ์​ถึงวิธี​การของภาครัฐ​ใน​การ​แก้ปัญหาน้ำท่วมอีกว่า อย่าง​ให้น้ำผ่าน กทม. ​เถียงกันอยู่นั่น ป่านนี้​ก็ยัง​เถียงอยู่ ​ใครจะปล่อยน้ำ ​เ​ก็บน้ำยัง​ไง คนที่ปล่อยที​แรกนึกว่า กทม.​เป็น​ผู้บริหารประตูน้ำ ​ไปๆ มาๆ ​เป็นกรมชลประทานอีก​แล้ว ตอนนี้​เลย​ไม่รู้​ใคร รองอธิบดีกรมชลฯ ถือกุญ​แจ ​การปล่อยน้ำกับ​การระบายน้ำต้องประสานกัน มีวิทยุติดต่อกัน ต้องบริหารจัด​การน้ำ​ให้คงที่ขณะที่ปล่อยน้ำมา ​การสูบออกต้องประสานกัน ประสิทธิภาพ​การระบายน้ำ กทม.มีอยู่สูงสุดระบาย​ได้​เท่า​ไหร่
        น้ำที่​เป็นปัญหา ประตูน้ำ​แถวปทุมธานี ถ้าปล่อย​ให้ลงมา ​แล้วระบายออกคลองสำ​โรงพวกนี้มี​เครื่องสูบน้ำ​ใหญ่ๆ สูบออก​ได้ ​แต่ต้องปล่อย​ให้ปริ่มๆ อย่าปล่อยมาก​เดี๋ยวท่วม ค่อยๆ ระบาย ​แต่ตอนนี้ตกลงกรมชลประทานจะผันน้ำ​ให้อยู่ทางทิศตะวันออก ออก​แม่น้ำบางปะกง ทัน ​แต่มันยาว อีกอันลง​แม่น้ำท่าจีน มันยาว จะ​แห้งช้า

​       ไหนๆ น้ำ​ก็ท่วม​แล้ว ​การ​แก้ปัญหา​เฉพาะหน้าคง​ไม่มี​ใครฝาก​ความหวังอะ​ไรมากนัก ​เพราะตอนนี้ทุกคนคงอยาก​ให้น้ำท่วมกรุง​เทพฯ จะ​ได้ผ่าน​ไป​ให้​เร็วที่สุด ​แต่อนาคตนี่สิ มีข้อ​แนะนำ​หรือ​ไม่
          ดร.สมิทธ​แนะนำว่า ต้อง​ทำวิธี​การระบายน้ำ​ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ฝนตก​เท่า​ไหร่​ให้ออกซัก 80% ของปริมาณฝนที่ตก ​ก็​ไม่มีน้ำท่วม ​แต่ต้อง​เ​ก็บน้ำ​ไว้นะ ​ไม่​ใช่ปล่อยหมด ​เดี๋ยวหน้า​แล้งคราวนี้ปล่อยหมด ตาย​เลย ​ไม่มีข้าวจะกิน​แล้ว นา​แล้งจะ​ทำนาปรัง ​ไม่มีน้ำ​ทำนา ​ไปซื้อข้าว​เวียดนามกิน ​ไม่มีข้าว ​ไม่มีน้ำ​ไล่น้ำทะ​เล หน้า​แล้งน้ำทะ​เลหนุนตาม​แม่น้ำ​เจ้าพระยา ​เกิด​เข้า​ไป​ในคลองประปา ​ไม่มีน้ำประปากิน ถ้า​ไม่มีน้ำ​เขื่อนภูมิพล-​เขื่อน สิริกิติ์มา​ไล่น้ำ​เค็ม น้ำจะขึ้น​แถวนนทบุรี สวนทุ​เรียนนับพันๆ ​ไร่​เสียหาย ก้านยาวลูกละ 2-3 พัน ต้องคิดหลายอย่าง ถ้านักวิชา​การมารวมหัวกัน นี่กำลังจะ​ทำ กลัว​เขา​เรียก หัว​แข็งก่อ​การปฏิวัติ ภาค​เอกชน​โทร.มา​ให้นักวิชา​การรวมตัวกัน คงต้องรอน้ำลด
      ​และนับจากนี้​ไป BOI ต้องดูพื้นที่ตั้งนิคมที่​เหมาะสม ​และมีระบบป้องกันตัว​เอง มี​เขื่อนป้องกันน้ำท่วม สร้างนิคม​แล้ว​ใกล้​การขนส่งสินค้า​ทั้ง​เข้า-ออก ​ใกล้ท่า​เรือ พื้นที่ก่อสร้างมีสาธารณูป​โภคพอ​เพียง​หรือ​ไม่ มีที่อยู่คนงาน อย่างสนามบินสุวรรณภูมิ 2.2 หมื่น​ไร่ ต้องสร้าง​เขื่อนสูง​และมีระบบระบายน้ำ ​เครื่องดูดน้ำจากรัน​เวย์สนามบิน​ได้ทัน มีสัน​เขื่อน​และปลูกต้น​ไม้บนสัน​เขื่อน​ให้รากยึดดิน​ไม่​ให้พัง ฉะนั้นสนามบินสุวรรณภูมิปลอดภัย

      "สนามบิน​ไม่ควรสร้างตรงนี้ ​เพราะปิดกั้นทางระบายน้ำ ​แต่ก่อน​เป็นหนองงู​เห่า ​เป็น​แก้มลิง​โดยธรรมชาติ ​ในหลวง​เคยรับสั่ง 'ฉัน​ไม่​เข้า​ใจว่า​ทำ​ไมสร้างสนามบิน​ในนี้' ​เป็นที่​เ​ก็บน้ำ ​เป็น​แก้มลิงธรรมชาติ น้ำ กทม.ระบายมาที่นี่ หน้า​แล้งมา​ทำนา ​แล้วระบายออก พอปิด 2 หมื่นกว่า​ไร่ น้ำ​ก็ท่วม"

​        เมื่อพูด​ถึง​แก้มลิงรับน้ำ ดร.สมิทธ​เสนอรัฐบาลว่า บึงบอระ​เพ็ดควรจะ​เป็นพื้นที่รับน้ำที่ดี ​เพราะพื้นที่​ใหญ่กว่าสนามบินสุวรรณภูมิ สามารถ​ทำ​แก้มลิง​เ​ก็บน้ำ​ไม่​ให้​ไหลลงมาท่วมที่ กทม.​ได้ ​แต่​ไม่​ได้รับ​ความร่วมมือ ​เพราะบึงนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ​และสิ่ง​แวดล้อมดู​แล ​แล้ว​ก็​เป็นที่​เพาะพันธุ์ปลา กรมประมง​ก็​เกี่ยวข้องด้วย ​ทั้งที่จริง​แล้ว กระทรวง​เกษตรต้อง​การขุดลอกบึง​เ​ก็บน้ำ ​แต่กรมชลประทานต้อง​การ​ใช้​เป็น​แก้มลิง ​เพราะสามารถ​เ​ก็บน้ำ​ได้ล้านล้าน ลบ.ม. น้ำ​ไหลจากชัยนาท ลพบุรี ​เ​ก็บที่บึง​ได้ ​เวลานี้หน้า​แล้งตื้น​เขิน รถขนดินลงวิ่ง​ได้ ​แต่​ทำ​ไม่​ได้ ต้อง​เป็นน​โยบาย​แห่งชาติ มานั่งคุยกัน

ที่ว่าท่วม 1 ​เดือนจริง​หรือ​ไม่
       "ตอนนี้น้ำตั้ง​แต่นครสวรรค์ ลพบุรี ชัยนาท อยุธยา 12,000 ล้าน ลบ.ม. คุณลอง​เอา 500 ที่​เป็นอัตรา​การระบายน้ำที่​เราจะ​ทำ​ได้มาหารดูซิว่ากี่วัน คำตอบที่​ได้คือ 24 วัน"

         สุดท้าย นักวิชา​การด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติสรุปว่า ปัญหาน้ำท่วมประ​เทศ​ไทยครั้งนี้ ​ไม่​ได้อยู่ที่ภัยธรรมชาติ!!!

      "ผมว่าภัยธรรมชาติที่รุน​แรงที่สุดคือ นัก​การ​เมือง ​เป็นบาปจริงๆ นะคน​ไทย ชาติก่อนอาจจะ​ทำบาป​ไว้"!!!!


          "​การปล่อยน้ำ​แล้วน้ำท่วม​แบบนี้ ควรต้องมีคนรับผิดชอบ ต้องมี​การสอบสวน ถือว่า​เป็น​การ​ทำลาย​เศรษฐกิจของประ​เทศ ถ้าปล่อยน้ำ​โดยรู้​เท่า​ไม่​ถึง​การณ์ ​ให้อภัย​ไม่​ได้ ​แต่ปล่อย​โดยหวัง​ทำลาย​การบริหารรัฐบาล ​หรือพรรค​ใดพรรคหนึ่ง​ผู้บริหารคน​ใดคนหนึ่ง มันผิดมหันต์"
http://redusala.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554


เปิดหลักฐานชัดกุเรื่้องในหลวง-พระเทพตรวจน้ำท่วม
สุดท้ายตัวการปิดเพจหนีหลังปล่อยข่าวว่อนเน็ต

เมื่อคืนเวลาประมาณเกือบๆห้าทุ่ม ณ สะพานที่หนึ่งในเขตทวีวัฒนา มีรถคันนึงจอดอยู่บนสะพาน ชาวบ้านแถวนั้นเห็นจึงเข้าไปเคาะกระจกรถเพื่อที่จะบอกว่าเค้ามีคำสั่งให้อพยพแล้ว

เมื่อชาวบ้านพยายามมองเข้าไปในรถ ภาพที่เห็น กลับทำให้ชาวบ้านคนนั้นถึงกับเข่าทรุด เพราะคนที่นั่งอยู่ในรถ คือ พระเจ้าอยู่หัวของเรา กับสมเด็จพระเทพที่เสด็จมาดูปัญหาน้ำท่วมด้วยพระองค์เอง"


ฟังไปก็ขนลุกไป ตื้นตันมาก ขอพระองค์ทั้งสองทรงพระเจริญ

รู้รึยังว่าใครที่ห่วงใยเราตลอดเวลา ใครที่เป็นผู้นำ ใครที่แม้ไม่สบายแต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งพวกเรา

ยังจำกันได้ไหม ตอนที่พระองค์พูดว่า ถ้าหากพวกท่านไม่ละทิ้งข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะละทิ้งพวกท่านได้อย่างไร พระองค์ทรงทำตามคำพูดคำสัญญาตลอด ({}) ทรงพระเจริญ !

เรื่องเล่าที่มีการแชร์ตามfacebook และรีทวีตทางtwitterมากที่สุดในยามนี้ (ที่มา:facebookของ Tammy Musikadilok )แต่ล่าสุดมีการลบหน้านี้ไปแล้ว ขณะที่มีหลักฐานหนักแน่นว่ากรณีนี้เป็นการกุเรื่องเท็จขึ้นมาอีกเรื่องในโลกอินเตอร์เน็ต

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
29 ตุลาคม 2554



ผู้เผยแพร่เรื่องนี้ทางอินเตอร์เน็ตคือ Tammy Musikadilok โดยเริ่มโพสต์เมื่อวันพุธที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ผ่านไปเพียง 2วัน มีผู้ที่แชร์ข้อความนี้ต่อๆกันไป 8.500 ครั้ง

อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้มีผู้เข้าไปแสดงความเห็นแย้งจำนวนมากพอสมควรว่าหากเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องจริง หรือสร้างข่าวขึ้นอาจเสี่ยงจะเป็๋นการทำผิดกฎหมายทั้งพรบ.คอมพิวเตอร์ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาตรา112ทำให้เมื่อเย็นวานนี้หน้าเพจดังกล่าวถูกลบหายไป

หากเข้าไปดูสไตล์การโพสต์ของ Tammy Musikadilokก็จะพบว่าเต็มไปด้วยอคติ คือการโจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยนำภาพรีทัชตัดต่อ ขณะเดียวกันก็นำภาพข่าวในหลวงกับพระราชวงศ์ออกเผยแพร่เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ

สำนักพระราชวังยังไม่ได้มีถ้อยแถลงใดต่อเรื่องดังกล่าว หลังจากก่อนหน้านี้เคยออกมาปฏิเสธกระแสข่าวที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตในทำนองเดียวกันมาแล้ว
อย่างไรก็ตามน่าเชื่้อว่ากรณีล่าสุดนี้เป็นกา่รกุข่าวเท็จขึ้นแล้วแพร่กระจายข่าวหลอกลวงนี้ออกไปทางโลกอินเตอร์เน็ต เนื่องจากหากดูวันที่มีการโพสต์เรื่องนี้ในวันพุึธที่ 26 ตุลาคม โดยอ้างว่า

เมื่อคืนเวลาประมาณเกือบๆห้าทุ่ม
ก็ต้องแสดงว่าหากเรื่องนี้เกิดขึ้่นจริงก็ต้องเป็นเวลาห้าทุ่มของคืนวันอังคารที่ 25 ตุลาคม
โดยในการเผยแพร่ดังกล่าวอ้างว่า นอกจากพระเจ้าอยู่หัวของเรา ก็มีสมเด็จพระเทพร่วมเสด็จด้วย

ซึ่งเรื่องนี้ขัดต่อข้อเท็จจริงที่ว่า ในวันที่ 25 ตุลาคมนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เ้สด็จไปขึ้่นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลา 7 นาฬิกา 35 นาที และพระองค์ท่านก็ไม่น่าจะไปปรากฎพระองค์ในสถานที่ที่มีการเผยแพร่ทางเฟซบุ๊คในเวลาห้าทุ่มคืนนั้นได้แน่ เนื่องจากมีหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม
ดูรายละเอียดข่าวประจำพระราชสำนัก ดังต่อไปนี้

ด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ 25 ถึงวันที่ 29 ตุลาคม พุทธศักราช 2554

ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาหญ้าแฝกนานาชาติ ครั้งที่ 5 ในหัวข้อ "หญ้าแฝกกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ซึ่งสถาบันสมุนไพรและพืชหอมแห่งสาธารณรัฐอินเดียจัดขึ้น ณ เมืองลัคเนา เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการรณรงค์การใช้หญ้าแฝก ระหว่างนักวิชาการและผู้ปฏิบัติงานด้านหญ้าแฝกจากทั่วโลก โอกาสนี้ จะพระราชทานรางวัล "The King of Thailand Vetiver" แก่ผู้ชนะเลิศผลงานวิจัยด้านหญ้าแฝกด้วย

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะประทับเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน เที่ยวบินที่ ทีจี 323 เสด็จพระราชดำเนินจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในวันอังคารที่ 25 ตุลาคม พุทธศักราช 2554 เวลา 7 นาฬิกา 35 นาที และจะประทับเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน เที่ยวบินที่ ทีจี 316 เสด็จพระราชดำเนินกลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พุทธศักราช 2554 เวลา 5 นาฬิกา 25 นาที

จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 25 ตุลาคม พุทธศักราช 2554

ที่มา:ประกาศสำนักพระราชวัง เผยแพร่ทางโทรทัศน์ช่อง 7 ดูลิ้งค์และภาพข่าวที่ http://www.ch7.com/news/news_royal_detail.aspx?c=1&p=1&d=162774

ข่าวลวงที่่มีการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตก่อนหน้านี้

ข้อความที่มีการแชร์กันผ่านทางfacebookอย่างแพร่้หลายในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งสำนักพระราชวังชี้ว่า คือ การตีข่าว ดึงเอาเจ้านายลงมา

สำนักพระราชวังปฏิเสธในหลวงรับสั่งฯให้ผ่านวังสวนจิตร

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ รายงานว่า นายรัตนาวุธ วัชโรทัย ในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ สำนักพระราชวัง ให้สัมภาษณ์ต่อกรณีที่มีการแชร์ข้อความในเฟซบุค ว่า ในหลวงทรงรับสั่ง "ถ้าน้ำเข้าพระนคร ให้น้ำผ่านวังสวนจิตรไปเลย อย่ากั้นให้ผ่านไปเลย" ว่า เป็นการพูดไปเรื่อย ไม่น่าเป็นไปได้ และโดยส่วนตัวไม่เคยรู้เรื่องนี้ น้ำไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระนครอยู่แล้ว และถ้าน้ำเข้ามาถึงเขตวังได้ จนท่วม ก็แสดงว่า กทม.ไม่สามารถเอาน้ำไว้อยู่ ซึ่งมันไม่สามารถเป็นไปได้อยู่แล้ว

และจากการติดตามสถานการณ์ข่าวในขณะนี้ ทั้ง กทม. และรัฐบาลต่างร่วมมือกันอย่างแข็งขันไม่ให้น้ำเข้าท่วมได้ ตั้งแต่กทม.รอบนอก และ ตอนนี้พื้นที่รอบวังสวนจิตรลดาในรัศมี 1 ตร.กม. ก็ยังไม่มีกระสอบทรายซักใบ เพราะเราเชื่อว่ากทม. จะสามารถกั้นน้ำไว้ได้ ในส่วนของวังหลวงและวัดพระแก้ว ก็เป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว ว่า น้ำที่ท่าราชวรดิษฐ์สูงกว่าเขตวัง แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงเชื่อมั่นว่ากำแพงวังสามารถเอาอยู่

ส่วนข้อความที่มีการแชร์ในเฟซบุคนั้น คือ การตีข่าว ดึงเอาเจ้านายลงมา เพราะน้ำที่ท่วมทุกวันนี้มาไม่ถึงสวนจิตรลดา เพราะน้ำที่ท่วมทุกวันนี้ไม่ได้เกิดจากน้ำทะเลหนุน แต่เกิดจากคันดินพัง และ ไม่มีทางที่ถนนราชวิถีจะท่วม เพราะถ้า ถ.ราชวิถีท่วมวังสวนจิตรก็ต้องท่วมแน่นอน

ผู้ใช้ชื่อNina Thongprasert ซึ่งเป็นคนแรกๆที่ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ค ได้ประกาศบนสถานะของตนว่า

เรียนให้ทราบโดยทั่วกัน ตามที่ได้ Retweet และ shared ข้อความบนหน้า wall เรื่องในหลวงตรัสเมื่อตอนสายวันนี้ ได้ตรวจสอบกลับไปแล้วไม่พบข้อมูลที่มาอย่างชัดเจน แต่ในช่วงที่ตรวจสอบอยู่นั้น พบว่ามีการเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว และได้แจ้งให้ทราบเมื่อเวลา 11.09 โดยได้ขอให้ช่วยกัน remove post ออก... ฝากบอกทุกท่านที่ได้ทำการส่งต่อข้อความด้วยค่ะ และขออภัยมา ณ ที่นี้

ต่อมาในภายหลังเมื่อมีข่าวสำนักพระราชวังปฏิเสธข่าวนี้ Nina Thongprasert ได้โพสต์เพิ่มเติมว่า

ดิฉันได้แจ้งให้ทราบบนหน้าเฟสและได้ลบออกตั้งแต่ตอน 11.09 หลังจากตรวจสอบถึงแหล่งที่มานั้นไม่น่าเชื่อถือ ตามที่ได้ตอบข้อความที่ถามมาแล้ว ค่ะ..อาจเป็นการผิดพลาดบกพร่องที่ไม่ได้ทำการตรวจสอบก่อนโพส..ซึ่งขออภัยด้วยค่ะ

อย่างไรก็ตาม การแชร์สิ่งที่อ้างกันว่าเป็นพระราชดำรัสนี้ยังกระจายต่อไปมากกวา 2,600 ราย และมีผู้เข้ามากด"ถูกใจ"และแสดงความเห็นซึ่งส่วนใหญ่จะเขียนว่า"ทรงพระเจริญ"มากถึงเกือบ 5,000 ราย(ดูที่เฟซบุ๊คนี้)

ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้เขียนตั้งข้อสังเกตในเฟซบุ๊ค สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลว่า ผมดู ที่เพจ ที่ผมให้ link ในกระทู้ข้างล่าง เรื่องทวิตเตอร์ พรด.ในหลวง แล้ว ยอมรับว่า สะทกสะท้อน อเน็จอนาถใจไม่น้อย ณ นาทีนี้ มีคนมาแสดงความเห็น ซึ่งส่วนใหญ่ที่สุด ก็ "ทรงพระเจริญ" ๆๆๆ "น้ำตาจะร่วงๆๆๆ" อะไรแบบนั้น ถึง 2100 ความเห็น และมี share ถึง 2600 แล้ว
ดูแล้ว อดไม่ได้ เลยไปเขียนอะไรหน่อย ข้างล่างนี้ copy มาให้ดู เผื่อโดนลบ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=264779103560922&set=a.228571743848325.53576.217645294940970&type=1&ref=nf

ทำไมจึงเกิดปรากฏการณ์ คนจงรักภักดี เชื่ออะไรแบบหัวอ่อน ไร้เหตุผล

ความจริง ถ้าใครศึกษา พรด. ข้อเขียนต่างๆของในหลวงจริงๆ ก็บอกได้เลยว่า ข้อความดังกล่าว ต้องไมใช่แน่ (เช่นเดียวกับบอกได้ทันทีว่า ข้อความอย่าง "36 ขั้นบันได" ไมใช่ หรือ "จากพ่อ" (ถึงพระเทพ) ไมใช่

แต่ปรากฏว่า เรากลับเห็นบรรดาคนจงรักภักดี (แต่จริงๆ ไม่เคยศึกษา เรื่องของสถาบันฯจริงๆจังๆ) พากัน "ซาบซึ้ง" น้ำหูน้ำตาไหล นอนดิ้นกัน

คำตอบคือเพราะ ความจงรักภักดี ในประเทศเรา เกิดมาจากพื้นฐานของการรับข้อมูลข่าวสารเกียวกบสถาบันฯ ที่ไม่อนุญาตให้ ตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัย ประเมิน ตรวจสอบ วิพากษ์ กระทั่ง โจมตี ได้

นี่จึงสร้าง "นิสัย" แบบหนึ่ง วิธีคิดแบบหนึงขึ้นมา คือ ในเมื่อโดยตัวความจงรักภักดีนั้น เกิดจากลักษณะ รับข้อมูลข่าวสาร ที่ตรวจสอบไม่ได้ ตังข้อสงสัยไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ อยู่แล้ว ดังนั้น ไมว่า ข้อมูล ข้อความ อะไรที่ ไม่ว่า จะไม่มีเหตุผลขนาดนั้น ก็เชือ่ได้หมด

ก่อนหน้านั้นดร.สมศักดิ์ได้โพสต์ เรื่องขำ (มีประเด็นชวนคิดอยู่ตอนท้าย)

ผมเข้าไปที่เว็บไซต์ ม.รังสิต นึกว่า จะไปหา "แบบจำลองทางคณิตศาสตร์" 23 จุดในกรุงเทพ ที่ว่าเสี่ยงน้ำท่วม (ตามข่าว มติชน) แต่หาไม่เจอ แต่ไปเจอในหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วม มี login ในนามมหาวิทยาลัยนี่แหละ เขียนข้อความนี้ (ดูภาพประกอบ ด้านขวาล่างๆลงมา)

"จากทวิตเตอร์: "ในหลวงทรงรับสั่ง..
"ถ้าน้ำเข้าพระนคร ให้น้ำผ่านวังสวนจิตรไปเลย อย่ากั้นให้ผ่านไปเลย"
......ทรงพระเจริญ"

ผมอยากจะพนันร้อยบาทเอาปาท่องโก๋ตัวเดียวว่า นี่เป็น "พระราชดำรัส" ประเภทปลอมๆ หรือหาที่มาอ้างอิงไม่ได้ (แต่คนไม่น้อยจะซาบซึ้งจนลงไปนอนดิ้น) เหมือน "36 ขั้นบันไดชีวิต" เหมือน "บันทึกจากพ่อ (ถึงพระเทพ)" เหมือนอีเมล์ เรื่อง 14 ตุลา ที่อ้างว่า ในหลวงมีรับสั่ง "คนไทยต้องหยุดฆ่ากันเอง" เหมือนเรื่องพายุนากิส, เหมือน (ทีเพิ่งเอามาโพสต์กันอีกไม่นานนี้) "พ่อนั่งเหม่อลอย" (เฉพาะอันหลังนี่ ถ้าถามผม ในฐานะคนศึกษา พรด. ศึกษา "สไตล์" การรับสั่ง การเขียน ของในหลวงมาหลายสิบปี .. อันนี อาจจะมีส่วนมี "มูล" "นิดหน่อย" ในแง่ "เนื้อหา" ไม่ใช่ในแง่คำ ทำไม .. ผมไม่มีเวลาอธิบายจะยาว) แต่อันอื่นทุกอัน ผมว่าปลอมแน่ ตั้งแต่เห็นแรกๆ (อย่าง "36 ขั้นบันได" ผมเห็นบ้ากันอยู่นาน ผมดูแล้ว ก็รู้ว่า ปลอมแน่) รวมทั้งอันน่าสุด "จากทวิตเตอร์" นี้ด้วย

ผมลอง search ดู ปรากฎว่า มีการแพร่ให้ซาบซึ้งกันไปแล้ว ดู

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=264779103560922&set=a.228571743848325.53576.217645294940970&type=1&ref=nf
และอันนี้ http://www.oknation.net/blog/sonyaUSA/2011/10/19/entry-1

แต่ก็ยังดีว่า ดูเหมือนมีคนจงรักภักดี ทีอาจจะยังมีสตินิดหน่อย (หรือไม่ก็จำเรื่อง "บันทึกจากพ่อ" หรือเรื่อง "บันไดชีวิต" ได้) เตือนกัน ให้หยุดเผยแพร่ ดูที่นี่ - มีการเล่า "ที่มา" ของ "ทวิตเตอร์" อันนี้ด้วย ดูเหมือนมีคนชื่อ Nina Thongprasert เริ่มก่อน แล้วต่อๆกันไป ตอนนี้ เจ้าตัว คือคุณ "Nina" (ตามที่คนเขียนบล็อกนี้บอก) ได้ขอเองให้หยุด และถอนออกจาก wall ตัวเองแล้ว
http://www.oknation.net/blog/snowy/2011/10/19/entry-1
..................

โอเค ทั้งหมดที่โพสต์มาข้างต้น ถือเป็นเรื่องขำๆ แก้เซ็งน้ำท่วม
แต่ที่บอกว่า มี "ประเด็นชวนคิดอยู่" คืออย่างนี้ครับ
ผมเคยเขียนไว้มาสักพักแล้วว่า ปรากฏการณ์ "จงรักภักดี" อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ เป็นอะไรบางอย่างที่ "ใหม่" (โดยสัมพัทธ์กับประวัติศาสตร์) มีลักษณะหลายอย่าง ที แม้แต่เมื่อสมัยผมโตขึ้นมา (ตอนมีขบวนการนักศึกษา) ก็จะไม่มีลักษณะนี้

ลักษณะที่ว่า เช่น (ก) เน้น ในหลวง ในฐานะ "ตัวบุคคล" (เวลาพูดถึง "สถาบันฯ" จะ "หลุด/ลื่น" ไปเป็นพูด "พระองค์ท่าน" เป็นต้น)

(ข) ลักษณะที่ "แต่งเรื่องเอง (อย่างทีอภิปรายข้างบน) แม้แต่เรื่อง ที ไม่น่าจะ "แต่ง" ได้เลย เช่น พรด. 14 ตุลา ("วันมหาวิปโยค") นั้น มีตัวบท text แบบคำต่อคำ ให้อ่านกันได้อยู่ แค่ลองหาดู ก็น่าจะเห็นว่า ไม่มีแบบทีอีเมล์ลูกโซ่ส่งต่อๆกัน ("ทรงรับสัง คนไทยต้องหยุดฆ่ากันเดี๋ยวนี้" อะไรประมาณนั้น - โทษที ผมเขียนจากความจำไม่มีเวลาไปค้นเมล์ที่ว่า)

ลักษณะ "สร้าง" หรือ "แต่ง" เรื่องเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นคำพูด อย่างทียกมาทั้งหมด บางที ก็เป็น "เรื่องเล่า" (ทรงทำอะไรที่ไหน ยังไง อะไรประเภทนั้น แบบชนิด "คาดไม่ถึง" ทำให้ ซาบซึ้งมาก เช่นเรื่อง "นากิส" อะไรประมาณนั้น)

สมัยก่อน สถาบันฯ จะมีลักษณะ "ศักดิ์สิทธิ์" หรือ "เป็นทางการ" มากกว่านี้ แม้แต่พวก จงรักภักดี ก็ไม่มีใครคิดจะกล้า "ล่วงเกิน" แตะต้อง (อันที่จริง แม้แต่คำว่า "รัก" ก็ไม่มีใครคิดจะกล้าใช้)

ลักษณะรวมๆนี้ ที่ผมเคยพยายาม theorize ออกมาใน "คอนเซ็ปต์" Mass Monarchy ...

ประเด็นทีเกียวเนื่องสำคัญอันหนึ่งกับเรื่องนี้คือ ผมเสนอว่า ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยก่อน (ทศวรรษ 1970-1980) "ฐานทางชนชั้น" หรือ "ฐานมวลชน" สำคัญ ของสถาบันกษัตริย์ ได้ "เคลื่อนย้าย" หรือ "เปลี่ยน" จาก "ชนชั้นชาวนา" "ชนชั้นเกษตรกร" ในชนบท (นึกถึงลูกเสือชาวบ้าน)

มาที่ "ชนชั้นกระฏุมพี" "ชนชั้นกระฏุมพีน้อย" ในเมือง (นึกถึงพวก "สลิ่ม")

******
-ตรวจสอบรูปข่าวลือง่ายๆ ด้วยGoogle Image Search
-จาก“FWD Mail”สู่“กดแชร์”และ“รีทวีต” เทคโนโลยีเปลี่ยนไป แต่การใช้งานไม่เคยเปลี่ยนแปลง
-ชั่วซ้ำซาก! "ปั้นคำสนทนาในหลวง-นายกฯ"
-เปิดโฉมแก๊งสลิ่มมือไม่พายเอาปากราน้ำ ปล่อยข่าวทำลายนายกฯไม่ใส่แก้น้ำท่วมหนีัเที่ยวดูคอนเสิร์ต
http://redusala.blogspot.com

แฉกลับ  เหตุ'THAIFLOOD' ถอนตัว

แฉกลับเหตุ'THAIFLOOD'ถอนตัว
เผยเบื้องหลัง 'THAIFLOOD.COM' แจ้นถอนตัว เหตุไม่พอใจ
ขอเข้าร่วมประชุม แต่ ศปภ.ไม่ยินยอม รัฐหวั่น 28-30 ต.ค. น้ำเหนือ+น้ำหนุน ถึง กทม.

             ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบ กรณีที่กลุ่ม เว็บไซต์ www.thaiflood.com ซึ่งนำโดย นายปรเมศวร์ มันศิริ ได้ถอนตัวออกจากการทำงาน ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) และเก็บของออกจากดอนเมือง พบว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นนั้น มาจากก่อนหน้านี้ กลุ่มของนายปรเมศวร์ มาขอมาทำงานร่วมกับ ศปภ. ซึ่งรัฐบาลก็ยินดี และอนุญาตให้มาทำงานร่วมกัน เพื่อเผยแพร่ข้อมูล

         ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ทาง ศปภ. ก็ให้ข้อมูลอย่างดี และลึกที่สุดเท่าที่จะให้ได้ แต่ต่อมาทางกลุ่มไทยฟลัด เริ่มเรียกร้องข้อมูลที่มากขึ้น และล่าสุด ถึงขนาดที่จะขอเข้าไปร่วมประชุมกับ ศปภ. โดยให้เหตุผลว่า ต้องการรับฟังข้อมูลทั้งหมด แต่ ศปภ. ไม่อนุญาตให้เข้าร่วมประชุมด้วย เพราะกลุ่มไทยฟลัดไม่ได้มีหน้าที่ จึงทำให้นายปรเมศวร์ไม่พอใจ และถอนตัวในที่สุด

ศปภ. หวั่น 28-30 ต.ค. น้ำเหนือ+น้ำหนุน ถึง กทม.
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ ศปภ. ได้ประเมินว่า สถานการณ์น้ำที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ยังไม่น่าห่วงมากนัก หากเทียบกับ ช่วงวันที่ 28-30 ต.ค. ที่จะถึง เพราะนอกจากจะเป็นช่วงที่น้ำทะเลจะหนุนสูงสุด จะมีน้ำเหนือที่เคยท่วมที่นครสวรรค์ซึ่งขณะนี้ได้ลดระดับไหลลงมา และจะมาสมทบกับน้ำที่อยู่ใน กทม. ปัจจุบัน ในช่วงเวลาดังกล่าวพอดี จึงเป็นเหมือนน้ำสองแรงบวกเข้ามาด้วยกันและยากที่จะป้องกัน
http://redusala.blogspot.com

โหวตปลดบอร์ดMCOTเด้งบิ๊ก”สุรพล”พ้นเก้าอี้:
คลังสั่งปรับองค์กรเรียกความเชื่อมั่นคืน




            คลังใช้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นใหญ่ 65.80% โหวตปลดบอร์ด อสมท เลือกใหม่ยกชุด รุกฆาต “สุรพล” ออกจากตำแหน่ง หลังถูกร้องเรียนการทำงานไม่โปร่งใส พร้อมปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร และนโยบายของ อสมท เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน

           นายมนัส แจ่มเวหา รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านทรัพย์สิน กล่าวว่า ได้ทำหนังสือชี้แจงนายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานกรรมการ บริษัท อสมท ไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าตนเองมีอำนาจในการทำหนังสือเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น บมจ.อสมท หรือ MCOT ในฐานะที่ดูแลสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และยังได้รับมอบหมายจากนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลังในการดำเนินการในครั้งนี้ หลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนมาก

             “บอร์ดจะต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้นภายใน 30 วันหลังจากที่ได้รับหนังสือจากกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2554 เพื่อการปรับเปลี่ยนตัวกรรมการและประธานบอร์ดคนใหม่” นายมนัส กล่าว

               สำหรับการประชุมวิสามัญในครั้งนี้ จะมีการเสนอรายชื่อกรรมการชุดใหม่เข้าไปแทนชุดเก่า โดยกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.อสมท กว่า 65.80% จะใช้สิทธิโหวตรับรองหรือไม่รับรองกรรมการในครั้งนี้

               อย่างไรก็ตามที่ผ่านมากระทรวงการคลังยืนยันว่าไม่ได้มีการแทรกแซงสื่ออย่างที่ถูกกล่าวหา แต่เนื่องจากมีข้อร้องเรียนจากผู้ถือหุ้นรายย่อยมาเป็นจำนวนมาก เพื่อให้คลังเข้าไปดูแลในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งเรื่องของการจ่ายเงินชดเชยกว่า 2 ล้านบาทให้แก่นายธนวัฒน์ วันสม ในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ว่าเหมาะสมหรือไม่

                รวมทั้งการบริหารกิจการของบอร์ด บมจ.อสมท ที่ไม่โปร่งใสและไม่เป็นธรรม และกรณีการต่อสัญญาและรับค่าตอบแทนจากบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ การจัดทำโครงสร้างองค์กรใหม่และการแต่งตั้งโยกย้ายและเลื่อนตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายอันส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชื่อเสียงและ ภาพลักษณ์ของ บมจ.อสมท อีกทั้งกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นตลอดจนผู้ลงทุนทั่วไป

                นายมนัส กล่าวว่า จะมีการหารือกันอีกครั้งหลังจากที่ได้กรรมการชุดใหม่ ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร และนโยบายของ อสมท ต่อไปอย่างไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและโปร่งใส และให้องค์กรมีประสิทธิภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้น

               โดยที่ผ่านมาเรื่องดังกล่าวถูกฝ่ายค้านนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง เพื่อขอยื่นถอดถอนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกจากตำแหน่ง กรณีที่ถูกกล่าวว่าเข้าไปแทรกแซงสื่อ
http://redusala.blogspot.com

ลองวีคเอ็นด์หรูที่มัลดีฟของอภิสิทธิ์ในวิกฤตน้ำท่วม


http://thaienews.blogspot.com/2011/10/blog-post_5527.html



เป็นเรื่อง-ในสถานการณ์น้ำท่วม แม้แต่ผู้นำฝ่ายค้านก็ตกเป็นเป้าหมายการวิพากษ์ฺวิจารณ์ได้ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์โสมชบาจ๊ะจ๋า ฉบับวันที่ 24 ตุลาคมรายงาน ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์พาครอบครัวไปพักผ่อนช่วงลองวีคเอ็นด์สุดหรูที่มัลดีฟ ดังที่ลงให้ดูข้างต้น จนตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า ขณะที่ประเทศวิกฤตหนักอย่างนี้ยังมีแก่ใจหนีไปเที่ยว ส่วนกองเชียร์แก้ต่างให้ว่า โหมงานมาหนักก็ให้ได้พักผ่อนบ้าง


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
24 ตุลาคม 2554

ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์ข่าวสด รายงานไปอีกทางว่า นายอภิสิทธิ์กับครอบครัวเดินทางไปอังกฤษ โดยรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมครอบครัว เดินทางไปประเทศอังกฤษตั้งแต่คืนวันที่ 20 ต.ค. โดยคาดว่าจะเดินทางกลับก่อนวันที่ 25 ต.ค. เนื่องจากในวันที่ 25 ต.ค.มีนัดนำทีมพรรคประชาธิปัตย์ไปแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษกับทีมรวมดาราช่อง 3 เพื่อหาเงินช่วยน้ำท่วมที่สนามติณสูลานนท์ จ.สงขลา

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 22 ต.ค. นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวนายอภิสิทธิ์เดินทางไปประเทศอังกฤษว่า "ไม่ได้ไปไหน ตอนนี้หัวหน้าอยู่กับครอบครัว พรุ่งนี้ก็มาแล้ว" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบทราบว่านายอภิสิทธิ์ใช้พาสปอร์ตแดงในการเดินทางไปอังกฤษในครั้งนี้

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.เพื่อไทย เขียนลง เฟซบุ๊ค ว่า

ขณะที่ลูกพรรคปชป.และกองเชียร์กระหน่ำโจมตีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่าไม่พูดความจริง ขาดความจริงใจในการแก้ปัญหา นายอภิสิทธิ์ กลับพาครอบครัวไปพักผ่อนที่มัลดีฟส่์โดยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ ไป 20 ต.ค. PG711 กลับ 23 ต.ค.PG712 ถึงกรุงเทพฯ 23.40 น. ในฐานะหัวหน้าครอบครัว OK. แต่ในฐานะอดีตนายกฯ ปัจจุบันผู้นำฝ่ายค้านที่ลูกพรรคเหน็บแหนมเขาอยู่ทุกวัน ก็...จบข่าว

แฟนเพจในเฟซบุ๊คของนายอภิสิทธิ์รายหนึ่งเขียนลงในเฟซบุ๊คนายอภิสิทธิ์ว่า


Anne Charoensuk เมื่อวานเห็นนายกอภิสิทธิ์ที่สุวรรณภูมิด้วย ดีใจสุดๆเลย
นี่อาจเป็นการยืนยันที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โพสต์ลงเฟซบุ๊คว่านายอภิสิทธิ์เดินทางกลัีบกรุงเทพฯในเวลา23.40


เฟซบุ๊คของ Abhisit Vejjajiva นำเสนอภาพในช่วงเช้าวันที่ 24 ตุลาคม โดยโพสต์ว่า

เมื่อเช้านี้ คุณอภิสิทธิ์ กำลังปรึกษาหารือมาตรการช่วยเหลือน้ำท่วมกับคุณกรณ์ ที่ทำการพรรค
ซึ่งหากเป็นไปตามที่นายณัฐวุฒิเปิดเผยแสดงว่านายอภิสิทธิ์เดินทางกลับเมื่อ23.40น.เมื่อคืน พอเช้าวันนี้ก็มาที่พรรค
statusในเฟซบุ๊คของ Abhisit Vejjajiva เมื่อเวลาราว 13.00 น.ของวันนี้ ลงภาพข่าวนายอภิสิทธิ์ว่า
รับฟังสถานการณ์จากตัวแทนกทม.ที่สถานีสูบน้ำพระโขนง

แฟนเพจของนายอภิสิทธิ์หลายรายโพสต์แก้ต่างให้ว่า นายอภิสิทธิ์โหมงานมาหนักก็ให้ได้พักผ่อนบ้าง ขณะที่ฝ่ายกองเชียร์นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์เข้ามาวิจารณ์ว่า ทีนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่เคยหนีไปเที่ยวดูคอนเสิร์ตกลับถูกโจมตีว่าร้่าย ทั้งที่ทำงานแก้น้ำท่วมวันละ20ชั่วโมง แต่พอนายอภิสิทธิ์หนีเที่ยวจริงๆ กลุ่มกองเชียร์นายอภิสิทธิ์กลับเห็นอกเห็นใจว่าให้ไปพักผ่อนมั่ง

ขณะที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.ประชาธิปัตย์ เงาของนายอภิสิทธิ์กล่าวปฏิเสธว่านายอภิสิทธิ์ไม่ได้เดินทางไปอังกฤษตามข่าว โดยให้สัมภาษณ์ไทยรัฐออนไลน์ ในวันนี้ ยังอยู่ที่เมืองไทย กำลังประชุมพรรคแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยเมื่อประชุมพรรคเสร็จก็จะลงพื้นที่ช่วยเหลืิอประชาชนต่อไป

อย่างไรก็ตามนายศิริโชคไม่ได้กล่าวถึงข่าวเรื่องนายอภิสิทธิ์ไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่มัลดีฟอต่อย่างใด
*********

เรื่องเกี่ยวเนื่อง:
-วอลล์เปเปอร์ลงรูปมาร์คกับปธน.มัลดีฟทางทวีตเตอร์ แต่สื่อฝรั่งยังกังขาคาใจ
-แฉหลักฐานชัดมาร์คลวงโลกไปมัลดีฟหารือน้ำท่วม

เชื่อเขาเลยแถได้โล่มาร์คไปมัลดีฟเพื่อหารือน้ำท่วม

http://redusala.blogspot.com

เมื่อน้ำมา...ไม่ว่า(สัตว์)กี่ขา ก็ต้องหนี!!!!
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1318412197&grpid=01&catid=&subcatid
ขอขอบคุณภาพประกอบทั้งหมด ที่รวบรวมจาก อินเตอร์เน็ต  กับสภาวการณ์น้ำท่วมทั่วไทยที่กำลังเผชิญวิกฤตขณะนี้   ด้วยอยากให้คนไทยได้มีรอยยิ้ม ห่างไกลจากความตึงเครียด อย่างไม่สิ้นหวัง...นะจ๊ะ



เจ้าที่ไม่อยู่ขอหนูสิงสถิตย์ก่อนนะคะ

หมดกัน บ้านป๋ม!!

อาศัยไปด้วยนะฮับ!! พี่คางคก

บางระกำ  มิอาจอยู่ถึงวันเพ็ญเดือน 12

หายใจม่ายออก....

ฮึบ! ฮึบ! เราจะไม่ยอมเป็นหมูจมน้ำ


มัวแต่ถ่ายรูปพวกชั้นอยู่ด้าย มาช่วยกันขนของสิยะ เมี๊ยว!!

แล้วเราจะไปไหน เอาอะไรกินเนี่ย หงิงๆ

ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่แคล้วต้องร่วมชะตาด้วยกัน

แล้วจะไปไหนได้ฟระเนี่ย!!

อู๊ด อู๊ด ฝั่งอยู่ข้างหน้า รีบเข้า!!

เค้าขอโทษ ที่ต้องให้มนุษย์มาขนพาเค้าไป

หมาข้างถนน กำลังจะกลายเป็นหมาจมน้ำแล้วเพ่!!

งวงจมน้ำแล้วจ้า...


แล้วเค้าจะอยู่ยังไงง่ะ

เปลี่ยนจากเล็มหญ้า มาสูบน้ำดีซะมั้ยเนี่ย

มามา พี่ขึ้นมานั่งเรือด้วยกันมั้ย...

เจ้านายลุยโลด!!

เมื่อไหร่น้ำจะลดสักทีวะ


ช่วยด้วย!!! บาบีกอน กำลังจะจมน้ำ อ๊ากส์!!

ลุยน้ำทุกครั้งต้องไม่พลาดใส่รองเท้าบู๊ทนะก๊าบบบ
http://redusala.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554


สุนัขรับใช้อำหมาด ตัวใหม่


เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา น.ส.กัลยกร นาคสมภพ หรือ เอิน กัลยกร อดีตนักร้องและนักแสดงชื่อดัง ได้เขียนบทความลงในเฟซบุ๊ก วิจารณ์บทบาทและการทำงานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยบทความดังกล่าวมีชื่อว่า “จากผู้หญิง (ธรรมดา) ถึงผู้หญิง (ที่เป็นนายก)”


………………………………………………………………………………………..


จากผู้หญิง (ธรรมดา) ถึงผู้หญิง (ที่เป็นนายก)

โดย Kalyakorn Earn Naksompop เมื่อ 26 ตุลาคม 2011 เวลา 22:01 น.


ตอนแรกก็ว่าจะเก็บไว้เขียนหลังน้ำท่วม ..แต่ก็นะ เราก็ไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะถึงเมื่อไหร่ ที่สำคัญคือ หลังจากที่ได้ดู นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ออกแถลงการณ์ทางทีวีเมื่อคืนี้ …บอกตรงๆ ละเหี่ยใจ และอดใจไม่ให้เขียนบทความนี้ไม่ได้แล้ว


คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย


จริงๆ ตอนที่คุณยิ่งลักษณ์ได้ตำแหน่ง ผู้หญิงทั้งในและต่างประเทศ ก็รู้สึกยินดีที่ประเทศไทยได้มีนายกหญิงคนแรก เราเองได้เขียนลงเฟซบุ๊คว่า ส่วนตัวไม่ถือว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกหญิงคนแรก เหตุเพราะคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้รับการเลือกตั้งเพราะความสามารถของเธอเอง แต่เป็นเพราะคนต้องการผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังเธอต่างหาก ประชาชนที่เลือกเธอ ไม่ใช่เพราะชื่อ “ยิ่งลักษณ์” แต่เป็นเพราะนามสกุล “ชินวัตร” ที่เป็นสิ่งการันตีว่าเธอคนนี้คือ “สายตรง” ดังนั้นเราจะนับว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกไม่ได้


เราจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกจริงๆก็ต่อเมื่อ เธอคนนั้นต่อสู้ฟันฝ่ามาด้วยตัวเอง และพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า “ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศได้” เท่านั้น


แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ สรุปว่า ประเทศไทยได้มีนายกรัฐมนตรีหญิงประดับประวัติศาสตร์กับเขาเสียที และจากวันที่เธอรับตำแหน่ง เราก็ควรจะดูแต่ผลงานของรัฐบาลภายใต้การนำของเธอคนนี้ ซึ่งแรกๆ นั้นเป็นไปได้ด้วยดีค่ะ คุณยิ่งลักษณ์ แม้จะดูไม่แข็งแรงห้าวหาญ แต่เธอมีความละมุนในบุคลิกที่ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลซึ่งเต็มไปด้วยบุคคลที่เป็นที่กังขาของสังคมดูดีขึ้น แม้นโยบายของเธอจะเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง แต่ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อยู่ที่ว่าใครมองมุมไหน แต่เวลาเธอไปเยี่ยมประเทศเพื่อนบ้านแล้วถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์นี่สิคะ แม๊… ดูดี


สรุปว่าภาพลักษณ์ดูดีขึ้น เพราะเรามีนายกหญิงที่ดูดี ดูสง่า เป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศไทย


จำได้ว่าตอนหาเสียง ผู้สนับสนุนเธอชอบบอกว่าเธอนี่แหล่ะ ที่จะเป็น “สตรีขี่ม้าขาว” ที่จะเข้ามากอบกู้ประเทศไทย ตามคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ


แม้ไม่ได้สนับสนุนพรรคเธอ ก็แอบหวังลึกๆ ว่า “เป็นจริงก็ดี” ถึงตอนนี้ ถ้ามีคนที่สามารถพาประเทศไทยฝ่าวิกฤติทางการเมืองไปได้ จะเป็นใครมาจากฝั่งไหนก็สนับสนุนทั้งนั้น ยิ่งเธอปะยี่ห้อว่าเป็นผู้หญิงคนแรก ที่ได้รับหน้าที่สำคัญที่สุดในประเทศ คือการรับผิดชอบดูแลคนกว่า 70 ล้านคน งานใหญ่นะคะ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงทำงานด้วยกัน ก็แอบเชียร์อยู่ อยากให้เธอเป็นนารีขี่ม้าขาวจริงๆ ประเทศเราจะได้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงเสียที


แต่แล้วอุทกภัยก็มาถึง มวลน้ำมหาศาลที่เข้ามาท้าทายความสามารถในการเป็นผู้นำของคุณยิ่งลักษณ์ ผลเป็นอย่างไร …ไม่ต้องอธิบายให้มากความ


ไม่ใช่แค่คุณยิ่งลักษณ์สอบตกทุกด้าน ในฐานะที่เป็นผู้นำของประเทศ เธอยังทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงนั้นเสียหาย


ผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจ แต่การเป็นผู้หญิงทำงาน เพื่อจะพิสูจน์ว่าตัวเองมีความสามารถ เหมาะสมกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หลายคนต้องทำงานหนักกว่าผู้ชาย หลายคนต้องใช้เวลามากกว่าผู้ชาย เพื่อจะลบอคติที่ว่า “ผู้หญิงอ่อนแอ” หรือ “ผู้หญิงมีดีได้แค่สวย” เป็นผู้หญิง ต้องทนคนที่เข้ามาหวังหาเศษหาเลย ต้องปกป้องตัวเองโดยต้องไม่ให้กระทบกับงาน ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเราเก่งพอ เพราะเราไม่สามารถไปนั่งกินเหล้า ”เที่ยวผู้หญิง”กับเจ้านายเหมือนผู้ชายคนอื่นได้ เพราะเราไม่สามารถเล่นมุกฮาแบบลามกเต็มที่เหมือนผู้ชายคนอื่นได้ เราไม่สามารถมีช่วงเวลาส่วนตัวขนาดนั้นกับเจ้านายหรือผู้มีอำนาจซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายได้ เราจึงต้องใช้ความสามารถเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์


หลายคนอาจจะบอกว่านี่มันยุคนี้แล้ว ไม่มีแล้วเรื่องความไม่เท่าเทียม …มีค่ะ ยังมีอยู่ เป็นผู้หญิงค่ะ ทำงานค่ะ และยังเจอทุกสิ่งอย่างที่พูดมากับตัวเองค่ะ และไม่ใช่ผู้เขียนคนเดียวที่เจอ จึงได้เข้าใจและพูดได้


คุณยิ่งลักษณ์ ในฐานะที่เป็นผู้หญิง นอกจากจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นนายกที่ดีได้ ยังต้องพิสูจน์ด้วยว่า “ความสามารถไม่เกี่ยวกับเพศ” คุณเป็นนายกหญิงคนแรกนะคะ คุณแบกรับภาพลักษณ์ตรงนี้เอาไว้อยู่ค่ะ คุณต้องลุย (ลุยจริงๆ ไม่ใช่แค่ลุยออกสื่อ) คุณต้องแข็งแรง และคุณต้องเก๋า …ต้องเอาให้อยู่


…แต่คุณยิ่งลักษณ์ทำไม่ได้ค่ะ


การที่สื่อที่เป็นผู้ชายไม่กล้าว่าหนักๆเหมือนที่ว่านักการเมืองคนอื่น หรือนักวิชาการไม่กล้าวิจารณ์แรงๆเหมือนที่วิจารณ์นักการเมืองผู้ชาย เพราะเกรงว่าจะเป็นการ “รังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ” หรือพราะ “สงสาร” ก็ตาม คือหลักฐานว่ามันมีเส้นหนาๆกั้นอยู่ระหว่างเพศชายและหญิง ส่วนตัวนายกเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเธอออกมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยแข็งแรง ด้วยคำพูดที่ไม่เคยเข้มแข็ง และด้วยข้อความที่ไม่เคยชัดเจน นอกจากนั้นเธอยังไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการคิดเองได้เลย


เธอทำให้เห็นเลยว่า ความละมุนของเธอนั้น จริงๆแล้วมาจากความอ่อนแอ


คุณยิ่งลักษณ์ตอกย้ำทุกวัน ว่าผู้หญิงอ่อนแอ ว่าผู้หญิงพูดจาเป็นงานเป็นการไม่รู้เรื่อง ว่าผู้หญิงคุมลูกน้องไม่ได้ ว่าผู้หญิงตัดสินใจไม่เป็น ว่าผู้หญิงเป็นผู้นำไม่ได้ สิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ทำ หรือทำไม่ได้ ตอกย้ำว่าผู้หญิงทำงานใหญ่ไม่ได้ ว่าผู้หญิงสุดท้ายก็เป็นได้แค่ผู้หญิงวันยังค่ำ ที่ได้แต่แต่งตัวสวยไปวันๆโดยที่ทำอะไรไม่เป็น …เสียค่ะ เสียหายอย่างยิ่ง


ลองนึกดูนะคะ แม้ในอนาคตจะมีผู้หญิงที่มีความสามารถ แต่ใครจะอยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย มันขยาดนะคะ ประมาณว่าทดลองแล้ว ไม่สำเร็จ ก็จบแล้ว ยิ่งถ้าคนที่ไม่มีแบ๊คใหญ่ขนาดแบ๊คของคุณยิ่งลักษณ์ ยิ่งไม่ต้องหวัง


แล้วก็พาลสงสัย ว่าประวัติที่ผ่านมาของคุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ระดับประเทศทั้งนั้น แล้วบริษัทเหล่านั้นรอดมาได้อย่างไร สงสัยแม้กระทั่งว่าคุณยิ่งลักษณ์เคยทำงานเองจริงๆหรือไม่ หรือได้แค่ใช้วุฒิการศึกษาที่ดูดี แต่งตัวดีๆ แต่งหน้าดีๆ ไปนั่งเฉยๆ ให้บริษัทนั้นดูภาพลักษณ์ทันสมัยขึ้น แค่นั้น? …ถามจริงๆเถอะ ความสามารถในการสื่อสารและการทำงานระดับนี้ ถ้าไม่มี “พี่ชาย” คอยผลักคอยดันอยู่ข้างหลัง ป่านนี้คุณยิ่งลักษณ์จะทำอะไรอยู่ที่ไหน? ให้เดานะคะ …แต่งตัวสวยๆ กลางวันไปช๊อปปิ๊ง ไปสปา กลับมานั่งสวยรอให้สามีชื่นชม


สรุปคือผิดหวังค่ะ เสียใจ และรู้สึกแย่ที่ผู้หญิงซึ่งได้รับตำแหน่งใหญ่ขนาดนี้คนแรก กลับทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงด้วยกันตกต่ำลงกว่าเดิม แต่งตัวสวยๆ หน้าผมเป๊ะนั้นไม่ผิดหรอกค่ะ ที่ผิดคือทำได้แค่นั้นจริงๆ


ยอมรับค่ะ ว่าการที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาก็กลัวเหมือนกันว่าจะมีผลกระทบกับชีวิต ว่าอาจจะมีผู้สนับสนุนนายกออกมาล่าหัว โทษฐาน “วิจารณ์ผู้นำอันเป็นที่รักยิ่ง” แต่ต้องพูดค่ะ พูดอย่างเป็นกลางโดยไม่ฝักฝ่ายทางการเมือง พูดในฐานะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยที่สามารถวิจารณ์ฝ่ายการเมืองได้ …พูดในฐานะที่เป็นผู้หญิง


ย้ำนะคะ ไม่ว่าคุณยิ่งลักษณ์จะมาจากพรรคไหนก็ตาม หากได้เป็นนายกแล้วทำงานอย่างนี้ ก็จะออกมาพูดแบบนี้เหมือนกัน


เพราะคุณยิ่งลักษณ์ได้พิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ได้ขี่ม้าขาว และเธอไม่ใช่สตรีในตำนาน (ก็อย่างที่คนข้างตัวเคยพูดไว้) สุดท้าย คุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นได้แค่ “สตรีขี่ม้าน้ำ” เท่านั้น


กัลยกร นาคสมภพ

26 ต.ค. 2554
http://redusala.blogspot.com

***********************************

อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้มีผู้ใช้นามว่าว่า "ปฐม พยัคฆ์ร้ายเเห่งคลองบางหลวง" เขียน "จดหมาย" เพื่อโต้ตอบ "เอิน กัลยกร" ผ่านทางเฟซบุ๊กเช่นกัน โดยใช้ชื่อบทความว่า "จดหมายจากคลองกระจง ถึง คุณเอิน กัลยากร นาคสมภพ" ซึ่งมีข้อความดังนี้



จดหมายจากคลองกระจง ถึง คุณเอิน กัลยากร นาคสมภพ

ถ้าใครยังไม่รู้เรื่องราวของ  คุณเอิน กัลยากร  นาคสมภพ   และสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น  ลองไปอ่านก่อนนะครับ

มีคนเอาลิงค์มาแปะในคอมเมนต์  ไปแวะอ่านกันก่อนแล้วค่อยอ่านของผมทีหลังหรือจะอ่านของผมก่อนแล้วไปอ่านของเอิน  ก็แล้วแต่ท่านเหอะ

ในโลกนี้มีผู้หญิงที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำมากมายนะครับเอิน...  อินทิรา คานธี  ,  มาร์กาเร็ต แธตเชอร์  ชื่อเหล่านี้คงคุ้นหูเอินบ้างไม่มากก็น้อย   แต่วันนี้ผู้หญิงที่ดูมีบทบาทมากที่สุดในโลกก็คงจะปฏิเสธ  ฮิลลารี่  คลินตั้น กับ อองซานซูจี  ไม่ได้เลย   หลายคนคงพอเดาได้นะครับว่าข้าพเจ้ากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร  ประเด็นไหน...   ประเด็นแรกที่ข้าพเจ้าอยากบอกเอินคือ   ผู้หญิงที่เป็นระดับผู้นำในโลกนี้หลายคนที่เอ่ยชื่อมาล้วนไม่ต่างกับ  ยิ่งลักษณ์  เท่าไหร่   เพราะเขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยอาศัยบารมีเก่าของคนในครอบครัว   เพราะคุณเอินได้เขียนในบันทึกของคุณว่า  ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกเพียงเพราะเป็นคนนามสกุล  "ชินวัตร"  ไม่ได้ต่อสู้มาด้วยตัวเอง  ดังนั้นจึงไม่นับว่า  ยิ่งลักษณ์  เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก   ข้าพเจ้าเลยจะบอกคุณเอินว่ารายนามข้างต้นนั้นก็ไม่ควรจะยกให้เป็นระดับผู้นำ   อินทิรา คานธี  ก็อาศัยบารมีของคุณพ่อคือ  ศรีเนห์รู  

อินทิรา คานธี  ตอนขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำใหม่ ๆ เธอก็เป็นดั่งหุ่นเชิดจนมีคนตั้งฉายาว่าเธออย่างเจ็บแสบว่า  ตุ๊กตาหน้าโง่  (ข้าพเจ้าขออภัยที่จำฉายานั้นเป็นภาษาฮินดีไม่ได้)   แต่จากนั้นห้าปีเธอได้สะสมประสบการณ์และก้าวขึ้นการเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่ใครไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย  เธอสะสมประสบการณ์ทางการเมืองและในทางเดียวกันเธอก็เข้าถึงใจคนจนที่นักปกครองทุกรุ่นหลงลืม จนสุดท้ายชื่อของเธอโดดเด่นเป็นตัวของตัวเอง  เธอลบคำสบประมาทว่าก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำได้เพราะพ่ออย่างหมดสิ้นและสิ้นเชิง   คุณเอินว่า  การเริ่มต้นของอินทิรากับยิ่งลักษณ์พอ ๆ กันไหมครับ   เพราะเธอเข้าสู่ตำแหน่งวันแรก ๆ ผู้ชายก็รุมด่าเธอตั้งฉายาให้เธอว่า  "ตุ๊กตาบาร์บี้"   ไม่ต่างจาก อินทิรา เท่าไหร่ว่าไหม...

มาร์กาเร็ต  แธตเชอร์  ล่ะ...   คนนี้หญิงเหล็กของโลกเลยนะครับคุณเอิน  แต่คุณเอินรู้ไหมว่ากว่าเธอจะก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำเธอต้องได้รับการสนับสนุนจากใครบ้าง   ไม่เพียงแต่ต้องการเสียงในสภาเสียงประชาชนเท่านั้น   เพราะ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์  ที่เธอมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะว่าเธออาศัยรากฐานของครอบครัวเธอเป็นสำคัญ  

อองซานซูจี  ล่ะ...  มิใช่ว่าเพราะพ่อของเธอหรอกเหรอ  เธอถึงก้าวเป็นสัญลักษณ์ของพม่าในเวลาอันรวดเร็ว   เธอเป็นแกนนำมวลชนเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่าได้นั้นส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า  เพราะเธอเป็นลูกของ  นายพลอองซาน   อองซานซูจีโดดเด่นในเวทีพม่าเพราะอาศัยรากฐานจากพ่อและเป็นที่สนใจของชาวโลกเพราะการสนับสนุนของอเมริกา

ฮิลลารี่ คลินตั้น ก็เช่นกัน  จริง ๆ คนนี้เป็นผู้หญิงที่เก่งมากครับ   เธอเก่งมาแต่เดิม  แต่เธอทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนสามีเป็นหลังบ้านที่ดีเพื่อให้  บิลล์  เป็นหมายเลขหนึ่งของโลก   แต่เราจะปฏิเสธได้หรือไม่ว่าวันนี้ที่เธอโดดเด่นและมีบทบาท   เพราะอาศัยรากฐานจากสามีเช่นกัน

ทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าพเจ้าไล่มานั้นเพียงเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ผู้นำที่โดดเด่นเหล่านี้จริงๆ แล้วถ้ามองในมุมคุณเอินจะเห็นว่าไม่มีใครต่อสู้ขึ้นมาด้วยตัวเองเลยแม้แต่คนเดียวเพราะเกือบทั้งหมดถ้าไม่อาศัยพ่อก็ต้องอาศัยผัวไม่อาศัยผัวก็ต้องพึ่งพานามสกุล ซึ่งนั่นเป็นความจริงครับคุณเอิน เพราะมันเป็นรากเป็นฐาน   อย่างคุณเอินและพี่สาว (หรือน้องสาว)  ของคุณเนี่ย  ถ้าไม่ได้นามสกุล  "นาคสมภพ"  จะได้เข้าสู่วงการบันเทิงหรือไม่...   จะมีฐานะเป็นที่รู้จักของคนเป็นเบื้องต้นหรือไม่...  คุณเอินลองถามและตอบตัวเอง

แต่ผู้หญิงเหล่านั้นต่างจากคุณเอินครับ   เพราะเมื่อเขามีรากฐานมาเขาได้โอกาสและพวกหล่อนคว้ามันไว้และทำโอกาสให้เป็นสิ่งดีงาม   พวกเธอก็อยู่ในใจของผู้คน   ซึ่งแตกต่างจากคุณเอินที่มีรากฐานได้โอกาส   แต่เชื่อไหมครับว่าวันนี้ใครหลาย ๆ คนยังต้องระลึกชาติเลยว่า  "คุณเป็นใคร"   นั่นคือความต่างของ  รากฐาน  ที่คุณว่าไว้   ถ้าจะถามว่ายิ่งลักษณ์ได้ต่อสู้มาไหมในการเลือกตั้งที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าต้องเรียนคุณเอินว่า  คุณยิ่งลักษณ์ได้ต่อสู้มาตลอดด้วยตัวของเธอเองแม้จะมีคนสนับสนุนแต่เธอก็ฝ่าฟันมาได้เอง  ถ้าคุณเอินย้อนไปคิดดูตอนช่วงรณรงค์เลือกตั้ง คุณจำได้ไหมครับว่า   คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ  และ  คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  อีกทั้งลูกหาบทั้งหลาย  มั่นใจในคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์แค่ไหน  อย่างไร...  มั่นใจมากหรือไม่ให้ไปดูวาทกรรมว่า  "จะขุดรูอยู่"  ของ  คุณสุเทพ  เทือกสุบรรณ  ก็แล้วกัน

จากวาทกรรมฆ่าตัวเองของประชาธิปัตย์   มันชี้ให้เห็นว่าตอนแรกคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยคงไม่เท่าไหร่   แต่ยิ่งลักษณ์ก็หมั่นลงพื้นที่หมั่นเข้าหาประชาชน  ความอึดของเธอไม่ได้แพ้ผู้ชายอกสามศอกอย่างอภิสิทธิ์เลย   ในขณะที่อภิสิทธิ์เอาสายสิญจน์ล้อมหัวหนุนชะตา   ยิ่งลักษณ์ก็ยังลงพื้นที่โดยไม่มีเชือกใดมาพันกบาล   ความแตกต่างตรงนี้คุณเอินพอมองเห็นอะไรบ้างไหมครับ  

ยิ่งลักษณ์จริงอยู่ที่มีนามสกุล  "ชินวัตร"  เป็นพื้นฐาน  แต่ถ้าเธอไม่เอาไหนรักษาโอกาสไม่ได้อย่างคุณ  เธอก็คงถูกลืมเลือนและคงไม่ชนะเลือกตั้ง  แต่คุณยิ่งลักษณ์รู้จักบริหารโอกาสรู้จักเข้าไปในใจประชาชน  เธอจึงได้เป็นผู้นำ  

การทำงานของยิ่งลักษณ์ในวันนี้...   ข้าพเจ้าก็เห็นข้อผิดพลาดของเธอมากมายและหลายครั้งก็นึกเหมือนกันว่าถ้าข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร  ข้าพเจ้านึกได้เพียงสามนาทีแล้วก็ต้องเลิกคิดเพราะมันเป็นความสยดสยองที่ผุดขึ้นมาแทนที่ความฝันอันเรืองรอง  ข้าพเจ้าไม่ทราบจริงๆ ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร  นักวิชาการเรื่องน้ำของประเทศเราวันนี้มีเยอะครับแต่มันเยอะจนเกินไปจนไม่รู้จะเลือกเชื่อใครสักคน  ใครที่ว่าเก่งว่าเจ๋งก็คาดการณ์ผิดหน้าตาแหกกันเป็นแถวๆ  ถ้าข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีก็คงตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกเชื่อใครดี   แต่เธอก็กล้าหาญพอที่จะตัดสินใจและแก้ไขปัญหาอย่างเต็มความสามารถ   ในสายตาของข้าพเจ้าแล้วคิดว่าเธอทำงานได้ดีแม้ไม่สง่างาม    ภาวะวิกฤตน้ำแบบนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่ว่าใครมาทำงานตรงนี้คงไม่เหลือความสง่างามให้เห็น   แม้แต่ผู้ชายอย่าง  ประยุทธ์ จันทร์โอชา ,  สุขุมพันธ์  บริพัตร  สองคนนี้สภาพเหมือน...ตกน้ำซึ่งดูไปแล้วแย่ยิ่งกว่าสภาพปรัตยุบันของนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่งลักษณ์เสียอีก

การจะมองความสามารถการทำงานนั้นต้องเทียบกับความหนักหนาของงานเป็นสำคัญ  น้ำท่วมประเทศไทยหนนี้น่าจะจารึกในประวัติศาสตร์ชาติไทยได้เลยว่าเป็นปัญหาน้ำท่วมที่มีมวลน้ำหนักหนามากที่สุดและเป็นปัญหาที่รับช่วงต่อจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ   ในตอนที่  อภิสิทธิ์  รับมือกับน้ำท่วมที่ไม่หนักหนาเท่านี้ข้าพเจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาได้เลยว่า  ทำงานได้ไม่สมชาย  และแก้ปัญหาเพ้อเจ้อไม่สมกับเป็นเด็กอังกฤษ   ถ้าเทียบกับยิ่งลักษณ์ตอนนี้  ข้าพเจ้าพูดด้วยความสัตย์ว่า  ยิ่งลักษณ์ดูดีกว่ามากมายมหาศาล   เธอไม่ท้อแม้จะมากแค่ไหน  เธอตั้งใจ  ไม่โทษใคร  เธอต้องเดินฝ่าสงครามน้ำลายที่เพศชายโจมตีเธอ   เธอก้มหน้าทำงานไม่ฟ้องประชาชนว่า  "ผู้ชายไม่ได้ช่วยงานแถมเล่นสกปรกกับผู้หญิง"   เธอมีสิทธิที่จะพูดแต่เธอไม่ได้พูดเรื่องใด   แม้มีคนใส่ร้ายเธอมากมาย  เธอก็ไม่เคยโจมตีกลับอะไรซึ่งผิดกับผู้ชายอกสามศอกที่หลุดอาการออกบ่อย ๆ ด้วยซ้ำไป   ถ้านึกไม่ออกคุณเอินลองไปหาภาพอภิสิทธิ์ปรี่เข้าหานักข่าวหญิงได้นะครับ...  

การที่คุณจะมองว่า  ยิ่งลักษณ์  สอบตกทุกเรื่องนั้นก็เป็นสิทธิของคุณล่ะครับ   แต่ถ้าเรามองความจริงและเอายิ่งลักษณ์มาเทียบกับอภิสิทธิ์และผู้นำคนก่อน ๆ ของไทย  (เว้นไว้แต่  จอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์)   ยิ่งลักษณ์ทำงานได้ไม่แพ้กับผู้นำประเทศของเราที่ผ่านมา   เธอรับมือได้ดีและทำงานให้ผู้ชายเห็นว่า  ผู้หญิงทำงานได้ดีกว่าผู้ชาย  แม้เธอจะพูดไม่เก่งเหมือนอภิสิทธิ์แต่เธอก็ทดแทนด้วยการทำ...  และทำ...   และยอมรับความจริงจนดูเหมือนยอมพ่ายแพ้  แต่เธอก็ไม่ได้ทำผิดกับประชาชน  ไม่ได้ฆ่าประชาชนแล้วบอกว่าไม่ฆ่า   ไม่ได้ทำไม่ได้แล้วบอกว่าทำได้...

สำหรับคุณ ยิ่งลักษณ์อาจสอบตก  สำหรับข้าพเจ้าเธอ  "พอผ่าน"  เพราะข้าพเจ้ามีมาตรฐานผู้นำที่สูง   แต่สำหรับคนไทยทั่วไปที่ชินกับผู้นำแบบไทย ๆ โดยเฉพาะเทียบกับอภิสิทธิ์...  เธอผ่านฉลุย  

วันนี้สิ่งที่คุณเอินทำอยู่นั้นทำให้ข้าพเจ้านึกเรื่องหลาย ๆ เรื่องออก...  สิ่งที่คุณเอินทำนั้นทำให้ข้าพเจ้านึกถึง  โยนออฟอาร์ค  เธอก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อชาติและรับใช้พระเจ้าของเธอ   แต่เธอก็ถูกผู้ชายรุมทำร้าย  รุมใส่ความ  แม้ติดคุกก็เจอผู้ชายข่มขืนในยามโดนเผาก็มีคนส่วนหนึ่งสาปแช่ง   ในหมู่คนสาปแช่งโยนออฟอาร์คคงมีสักคนที่เป็นผู้หญิงและหมั่นไส้เธอแต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นอย่างไร คนที่สาปแช่งเธอนั้นไม่ได้มีความพอที่จะตัดสินมีแต่อารมณ์ขุ่นเคือง จึงสาปแช่งเพศเดียวกันที่กำลังทำทุกอย่างเพื่อความถูกต้องของเธอ   อีกเรื่อง  เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง  คุณเอินเคยได้ยินเรื่องการประหารด้วยการปาหินไหมครับ   ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งถูกผู้ชายตัดสินว่ามีความผิดไม่ว่าเธอจะทำจริงหรือไม่จริง   เธอต้องถูกประหารชีวิตด้วยการขว้างหิน   ซึ่งผู้หญิงในตะวันออกกลางที่ตายไปนั้นมีกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ที่เป็นผู้บริสุทธิ์  แต่ด้วยความเลวของชายจึงจับเธอมาประชาทัณฑ์   คุณเอินก็เป็นคนหนึ่งที่ขว้างหินใส่ผู้หญิงคนนั้น  คุณเอินฆ่าคนและสาปแช่งคนโดยผู้ชายบอกว่า...   สิ่งที่คุณด่าคุณยิ่งลักษณ์  ข้าพเจ้าอ่านสองรอบ  ข้าพเจ้าไม่พบข้อมูลใดที่เกี่ยวพันทางการเมืองการปกครอง   จะมีก็แต่อารมณ์ความรู้สึกและเรื่องราวที่เขาบอกมาเท่านั้น  แสดงว่าคุณเอินไม่มีข้อมูลในมือในการด่าคุณยิ่งลักษณ์นอกจากอารมณ์และสิ่งที่เขาบอกให้ด่า   แล้วคุณเอินจะต่างกับผู้หญิงที่สาปแช่งโยนออฟอาร์คหรือผู้หญิงที่ปาหินเพื่อประหารผู้หญิงด้วยกันโดยไม่รู้ความถูกผิดตรงไหนกันครับ...

แต่นั่นคือสิทธิของคุณเอินครับ แต่ข้าพเจ้าอยากฝากบอกไว้หน่อยว่า ถ้าคุณไม่ยอมรับว่า  คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ยี่สิบแปดของคนไทยเพราะเขาคือหนึ่งในตระกูลชินวัตร  ก็อยากเพิ่มตรรกะอีกอย่างให้คุณเอินได้ลองพิจารณา  ว่า  อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  นับว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ยี่สิบเจ็ดหรือไม่...   เพราะเขาคือคนที่ขึ้นสู่ตำแหน่งด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพมิใช่มาโดยครรลองของระบอบประชาธิปไตย  ลองพิจารณา

ก่อนจะจบจดหมายนี้อยากพูดกับคุณเอินเรื่องวิทยาศาสตร์นิดหนึ่งครับ... ข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ว่าอ่านเจอจากไหนแต่พอเจอกรณีจั๊ดจัดและกรณีคุณเอินแล้ว  ทำให้นึกถึงบทความนี้ที่เคยอ่านเจอ   นักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิ่งเร้นลับ   เขาได้เขียนบทความว่า   "คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมในภาพยนตร์ผี ๆ มักจะมีฉากไฟติด ๆ ดับ ๆ โทรศัพท์ปิด ๆ เปิด ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้ารวนเมื่อผีจะออกมา"  เขาได้ให้เหตุผลต่อว่า   "จากการศึกษาของผมเมื่อวิญญาณจะปรากฏตัวจะเกิดปรากฏการณ์อย่างนั้นจริง  เพราะวิญญาณนั้นถ้าจะปรากฏตัวจะดูดพลังงานจากสิ่งต่างๆ ถ้าใช้ไฟฉายเขาก็จะดูดพลังงานจากแบตตอรี่  ดูดพลังงานทั้งหมด   เพราะเขาจะปรากฏตัวให้เห็นไม่ได้ถ้าเขาไม่มีพลังงาน  และเขาก็ไม่สามารถสร้างพลังงานได้  ต้องดูดเอาจากสิ่งรอบตัว"

คุณเอินกับจั๊ดจัดก็คล้าย ๆ กันกับวิญญาณแหละครับ   เพราะปกติแทบไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว...  คุณต้องดูดพลังงานจากคนอื่นด้วยการด่าคนอื่น   เพราะยิ่งคุณด่าคนอื่นมากเท่าไหร่ตัวตนของคุณจะปรากฏออกมาต่อสาธารณชน...  

แต่จริง ๆ แล้ว  ถ้าคนเราอยากมีตัวตนในสายตาคนอื่น   เรามีวิธีอื่นนี่ครับ...  จริงไหม...  ไม่จำเป็นต้องทำร้ายใครเพื่อสร้างตัวตนของเราขึ้นมาเลย   เคยได้ยินคำว่า "ความรู้ทำให้คนสง่างามไหมครับ"   คุณจะมีตัวตนได้นะครับ   ถ้าใช้วิชาความรู้ให้ถูกที่ถูกทาง   หรือว่าคุณเอินกับจั๊ดจัดไม่ชินกับการสร้างตัวตนโดยวิธีปกติ   ชอบทางลัดด้วยการทำร้ายคนและเป็นช่างปั้นเรื่อง  เหรอครับ...