วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554


ปริศนา...ชาติกำเนิด..สนธิ ลิ้มทองกุล??!!
โดยคุณ SpecialForce on Sat Oct 11, 2008
เวปบอร์ด http://nonlaw.7forum.net





นายสนธิ เค้ามีใบแบบนี้รึเปล่า อยากรู้จังเลย

..... ประเทศไทยในขณะนี้หากกล่าวถึงชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ใครที่ไม่รู้จักเป็นไม่มี

แน่นอน...เขานี่แหละที่ทำให้คนหลายล้านคนเคลิบเคลิ้ม ประดุจอยู่ในความฝัน สยบยอมรับสถานะภาพของสนธิ ลิ้มทองกุล เสมือน "อัศวิน" ที่ขี่ม้าขาวมากลางอากาศ ช่วยชำระสะสางความโป้ปดมดเท็จ ความฉ้อฉลของนักการเมืองที่เลวทรามต่ำช้า...เขาก้าวเข้ามากำจัดคนทุจริตคอรัปชั่น และเป็นแกนนำในการ "กู้ชาติ "

....ใช่ คนส่วนใหญ่ที่ได้รับชมASTV ที่ถ่ายทอดตลอดมาเป็นเวลา 3 เดือน ไม่มีวันหยุด ก็คิดเช่นนั้น...และเข้าร่วมการชุมนุมบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดล้อมรัฐสภา ตามคำสั่งของ สนธิ ลิ้มทองกุล

..... ไม่เพียงเท่านั้น สนธิ ยังมี กองกำลังพร้อมอาวุูธ อีกหลายร้อยคน พร้อมยอมตาย พลีชีพเพื่อสนธิ ลิ้มทองกุล หากมีการจับกุมคุมขัง ในกรณี "กบฏ"

สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ไทย ที่ไม่ยอมรับอำนาจกฏหมาย ปฏิเสธหมายจับ แถมประกาศท้าทายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุม

ยิ่งไปกว่านั้น... สนธิ ลิ้มทองกุล กล้าประกาศกร้าวต่อคนไทยทั้งในประเทศ และ ชาวต่างประเทศทั่วโลก ให้รับรู้ผ่านทางโทรทัศน์ดาวเทียมASTV ว่า .....





ที่สำคัญ...คือ สนธิ ลิ้มทองกุล สามารถใช้วาทะที่ปลุกเร้าความรักชาติผ่านเสียงทุ้มหล่อ พร้อมท่วงทำนองที่โดนใจ ผู้เก็บกด จึงทำให้ปลุกระดมคนไทยทั้งในประเทศที่มี "ความรักชาติ" ออกมาชุมนุม ยึดสถานที่ราชการ ยึดทำเนียบปิดล้อมรัฐสภา เข่นฆ่าผู้ไม่เห็นด้วย ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ตัดไฟรัฐสภาขณะที่รัฐบาลประชุมสภาแถลงนโยบาย ปิดล้อมสนามบิน และหยุดงานทั่วประเทศ ....ซึ่งเขาเรียกว่า "นี่คือสงครามครั้งสุดท้าย....เพื่อ...กู้ชาติ"

ฉะนั้น... ความหมายของคำว่า "ชาติ" มีความหมายที่ลึกลงไปในจิตวิญญาณของคนไทยทุกคน ที่มีความรักชาติรักแผ่นดินที่มีชื่อว่าประเทศไทย และนี่คือธรรมชาติของความเป็นคนไทย

แต่ความหมายของคำว่า "ชาติ" ของ สนธิ ลิ้มทองกุล คืออะไร
หมายถึง "ประเทศไทย" ใช่หรือไม่ ?

ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นคำตอบ....

เจียง ไค เชค และ เหมา เจ๋อ ตุง

ในปี พ.ศ.2492 ขณะนั้นประเทศจีนได้เกิดการ แบ่งฝ่ายออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งเป็นรัฐบาลจีนขณะนั้น ภายใต้การนำของ นายพลเจียงไคเช็ค พรรค ก๊กมินตั๋ง และ อีกฝ่ายหนึ่งก็คือ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของ เหมาเจ๋อตุง ทั้งสองฝ่ายต่างมีกำลังทหารของตนเองและสู้รบกันเพื่อแย่งชิงประชาชนและอำนาจ การปกครองประเทศจีน ฝ่ายของ นายพลเจียงไคเช็ค มีกำลังทหารส่วนหนึ่งเรียกว่า กองพลหน่วยที่ 93 ได้ปฏิบัติการอยู่แถบคุนหมิง มณฑลยูนาน ทั้งสองฝ่ายต่างรบสู้กันอย่างดุเดือดและในที่สุดฝ่ายคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของเหมาก็เป็นผู้ชนะ พรรคก๊กมินตั๋ง จึงได้ถอยหนีไปอยู่เกาะไต้หวัน และนายพลเจียงไคเช็คก็ได้เป็นประธานาธิบดีของไต้หวันในเวลาต่อมา

กองพลที่ 93 อพยพติดตามไปไต้หวันไม่ทัน หรือโดนเจียงไคเช็คทิ้งก็ไม่อาจทราบได้ จึงตั้งกองกำลังอยู่ที่ ยูนาน จากนั้นก็ถูกกองทัพจีนคอมมิวนิสต์คุกคามอย่างหนักจึงต้องสู้ไปพลางถอยไปพลาง สุดท้ายก็ถอยไปเข้าเขตของ พม่า
ตอนบนพม่าก็ไม่ยอมเพราะถือว่าเป็นการรุกล้ำ อธิปไตยจึงส่งกำลังมาต่อสู้เพื่อพลักดันให้ออกจากพม่าสู้หลายครั้ง แม้ว่าพม่าจะเป็นฝ่ายรุก กองพล 93 เป็นฝ่ายถอย แต่สุดท้ายก็พลักดันออกจากพม่าไม่สำเร็จ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ ไทย ด้วย
เพราะมีกองกำลังบางส่วนที่ถอยเข้ามาในเขตรอยต่อของไทยกับพม่าเช่นบริเวณ ดอยตุง ดอยแม่สลอง เป็นต้น

ในที่สุดพม่า ก็เรียกร้องให้สหประชาชาติ เข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว สหประชาชาติได้เปิดประชุมและได้กำหนดตัวแทน 4 ฝ่าย เพื่อทำการอพยพ ทหารกองพล 93 และครอบครัวไปที่ประเทศ ไต้หวัน สำหรับตัวแทนทั้ง 4 ฝ่าย ได้แก่
สหรัฐอเมริกา ไทย พม่า และ รัฐบาลจีนคณะชาติ ( ไต้หวัน ) สหประชาชาติ ได้ให้ทำการอพยบ กองพล 93 ไปไต้หวัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 ถึง พฤษภาคม ค.ศ.2497 รวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง โดยจำนวนผู้อพยพมี ประมาณ 12,000 คนซึ่งการอพยพดังกล่าว รัฐบาลไต้หวันได้ส่งเครื่องบินมารับที่ อำเภอท่าฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นรัฐาลไต้หวันก็ไม่รับผู้อพยพเพิ่มอีก



สำหรับการอพยพของกองกำลังที่ 93 มาจากจีนนั้น ในเวลาเดียวกันก็มีชาวบ้านที่ไม่ได้เป็นกองทหารอพยบตามมาด้วย ทั้งนี้เพราะชาวบ้านเหล่านั้นไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของ จีนคอมมิวนิสต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำทางทหารของ กองพลที่ 93 คือ นายพลหลี่มี่ เป็นที่นับถือของชาวบ้านในเป็นอย่างมาก ดังนั้นกองพล 93 จึงประกอบไปด้วยทหารของกองพลเอง ชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนา และกองกำลังต่าง ๆ ที่กระจัด กระจายกันไปเพราะถูกคอมมิวนิสต์ คุกคาม เข้ามารวมตัวอยู่ด้วยกัน เช่น นายพลหลี่เหวินฝาน ได้นำ กองกำลังอาสาสมัครป้องกันหมู่บ้าน เข้ามาร่วมกับ นายพลหลี่มี่ ด้วยการอพยพเข้ามาสู่ดินแดน ประเทศไทยนั้น กระจายอยู่ตามแนวชายแดนต่างๆคือ อำเภอแม่อาย อำเภอแม่จันอำเภอแม่สรวย อำเภอพาน(จังหวัดเชียงราย) อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และเทือกเขาบางส่วนในเขตจังหวัดน่าน

ในช่วงที่ไต้หวัน ทำการอพยพชาวกองพลที่ 93 ไปสู่ประเทศไต้หวันนั้นได้มีชาวไร่ชาวนาบางส่วนที่มากับพวกทหารของกองพลที่ 93 ไม่ได้อพยพไปด้วยกลับตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองไทย ทั้งนี้เพราะหลายคนมีครอบครัวที่นี่หลายคนเกิดที่นี่
และคิดว่าตนเองแท้จริงไม่ได้เป็นทหารของ กองพลที่ 93 การไปไต้หวัน เหมือนกับเป็นส่วนเกิน และต้องไปเริ่มต้นใหม่ และหลายคนรักที่จะอยู่ประเทศไทย

ช่วงนั้นได้มีขบวนการผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามาในประเทศไทยและชาวบ้านเหล่านี้ก็ไม่ชอบคอมมิวนิสต์ ประกอบกับได้รับการฝึกอบรมแบบทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกตามแบบของโรงเรียนนายร้อยหวังผู่ จึงมีความพร้อม
ที่จะทำการรบและป้องกันตนเอง รัฐบาลจอมพลถนอม ในขณะนั้นได้ทำการติดต่อชาวบ้านเหล่านี้ให้อยู่ที่เมืองไทยเพื่อร่วมกันต่อต้านผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นด้วย จึงปักหลักอยู่ต่อที่ประเทศไทย






รัฐบาลไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจากับไต้หวัน เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับชาวจีนอพยพ ที่ยังเหลืออยู่ในเมืองไทย รัฐบาลไต้หวันได้สรุปว่ากลุ่มชาวจีนดังกล่าวให้อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลไทย รัฐบาลไทยจึงได้สั่งให้กลุ่มชาวจีนที่อพยพ อาศัยอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ และ เชียงราย

เพื่อความสะดวกในการควบคุมผู้อพยพ รัฐบาลไทยจึงตั้งให้ กองบัญชาการ ที่ ดอยแม่สลอง กองบัญชาการทหารสูงสุด นำโดย พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เสธฯ บ.ก.ทหารสูงสุด และ พล.ท. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รองเสธฯ เป็นผู้ดูแล โดยประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด

มีผู้นำที่มีชื่ออยู่สองคน คือ นายพลหลี่เหวินฝาน และ พันเอกเฉินโหม่วซิว ได้เป็นผู้นำของชาวจีนที่เหลืออยู่ในเมืองไทย ขณะนั้นมีการแทรกซึมของ คอมมิวนิสต์ เป็นอย่างมาก และเนื่องจากคอมมิวนิสต์ไม่ถูกกับชาวจีนที่อพยพ จึงมักสร้างสถานการณ์ต่างๆนาๆเพื่อโยนความผิดให้กับชาวจีนกลุ่มนี้ เช่น ปล้นสะดม ฆ่าผู้นำชนกลุ่มน้อยเผ่าม้ง ที่จงรักภักดีต่อรัฐบาลไทยโดยคนทั่วไปในขณะนั้นรู้จักชาวจีนกลุ่มนี้ในนามของกองพลที่ 93 แต่แล้วคนไทยก็รู้ว่าหลงกล พวกคอมมิวนิสต์เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือ





หน่วยงานของจังหวัดได้รับการติดต่อขอเข้ามอบตัวจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่บ้านห้วยกว้าง ตำบลแซว อำเภอเชียงแสน ทำให้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2512 นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย
พ.ต.อ. ศรีเดช ภูมิประหมัน ผู้กำกับตำรวจภูธรเชียงราย นายทหารจาก กองทัพภาคที่3 และคณะ รวมทั้งสิ้น 8 นายได้เดินทางเพื่อเข้าไปต้อนรับการกลับตัวกลับใจของกลุ่มผู้ก่อการร้ายดังกล่าว การเดินทางไปครั้งนี้ผู้นำชาวจีนอพยพได้ทำการทักท้วงมิให้คณะของผู้ว่าเข้า ไปในเขตของคอมมิวนิสต์ เพราะรู้ว่าเป็นกลลวงแต่ทางคณะไม่ฟังคำทักท้วงจึงได้เดินทางเข้าไปในบริเวณ พื้นที่ที่ ผกค. ตกลงจะทำการมอบตัวแต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ทั้งคณะถูก ผกค. สังหารเกือบหมดเหลือรอดมาได้แต่เพียงนายอำเภอเมืองเชียงรายเพียงคนเดียว เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รัฐบาลไทย รู้ว่า คอมมิวนิสต์ ร้ายแรงเพียงใด

เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นทางกองบัญชาการทหารสูงสุดได้มีคำสั่งให้ชาวจีนอพยพที่เคย ได้รับการฝึกแบบทหาร ออกช่วยปราบปรามโดยเข้าร่วมกับกองกำลังทหารและตำรวจ ซึงการปราบปรามผู้ก่อการร้ายใช้เวลายืดเยื้อ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ไปจนถึง พ.ศ.2516 เหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายจึงได้สงบลง

เมื่อสิ้นสุดการปราบปรามผู้ก่อการร้ายสงบลงแล้ว รัฐบาลไทยก็ได้ให้ กองกำลังจีนอพยพ(กองพล93) จัดตั้งเป็นหมู่บ้านยุทธการได้แก่ หมู่บ้านผาตั้ง หมู่บ้านแม่แอบ สำหรับ หมู่บ้านแม่สลอง เดิมที่เรียกว่า หมู่บ้านหินแตก จึงให้เปลี่ยนชื่อเป็น หมู่บ้านสันติคีรี โดย พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เป็นผู้กำหนดชื่อหมู่บ้าน





ปี พ.ศ.2524 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ให้ชาวจีนอพยพจัดตั้งเป็นกองกำลังอาสาสมัครไทย จำนวน4กองร้อย ร่วมกับกองกำลัง กองทัพภาคที่ 3 เพื่อออกกวาดล้างผู้ก่อการร้ายที่เขาค้อ และที่เขาหญ้าจังหวัดเพชรบูรณ์ ผลการกวาดล้างได้รับชัยชนะตามเป้าหมายที่รัฐบาลไทยกำหนด

ทางรัฐบาลไทยมองเห็นความสำคัญและผลงานที่ได้กระทำต่อบ้านเมืองของกลุ่มชาวจีนอพยพ หรือที่รู้จักในนามของกองพล 93 กองบัญชาการทหารสูงสุดจึงตั้งคณะกรรมการเพื่อแปลงสัญชาติให้เป็นคนไทย ในพ.ศ. 2514, 2518, 2520 สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2521 โดยทางราชการจะออกบัตรประจำตัวชั่วคราวให้กับ นายทหารจีน(กองพล93) ใช้ในการออกจากเขตกำหนด(ดอยแม่สลอง) โดยใช้บัตร(ตามภาพ)แสดงแทนบัตรประชาชนไทย




หลังจากนั้นอีก8ปี จึงได้อนุมัติให้ทำบัตรประชาชนไทยถาวรแก่ชาวจีนอพยพ(กองพล93)เป็นครั้งแรกในปีพ.ศ.2529 โดยออกให้กับครอบครัวของนายทหารก่อน จากนั้นจึงออกให้ประชาชนจีนที่ติดตามกองทัพมานั้นเป็นลำดับไป

สำหรับบัตรประจำตัวนายทหารจีน(กองพล93) ที่ทางราชการออกให้ก่อนหน้านั้น(ตามภาพ) ทางราชการได้เรียกกลับคืน โดยเปลี่ยนกับบัตรประชาชนไทยถาวร ในเวลาเดียวกันนั้น




เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ กองทัพภาคที่ 3 จึงได้มอบอำนาจการปกครอง หมู่บ้านอดีตทหารจีน(กองพล93) บางหมู่บ้านให้กับกระทรวงมหาดไทย ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น หมู่บ้านสันติคีรี (ดอยแม่สลอง) เป็นหมู่ที่ 18 ตำบลป่าซาง อำเภอ
แม่จัน จังหวัดเชียงราย

ตามข้อมูลที่กล่าว มาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ชาวจีนอพยพ(กองพล 93) เพิ่งจะได้รับอนุญาตให้มีบัตรประชาชนไทยถาวรได้
ในปี พ.ศ.2529 (2514-2521 begin_of_the_skype_highlighting            2514-2521      end_of_the_skype_highlighting เป็นช่วงของการอนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทย)




โรงเรียนนายร้อยหว่างฟู่ ไม่ใช่มีแต่นักเรียนที่เป็น ชาวจีนเท่านั้น แต่มีคนไทยเข้ารับการศึกษาด้วย(ตามภาพ เป็นคนไทยแท้ๆ บ้านอยู่บางกอกน้อย ธนบุรี)

จึงเป็นการสะดวกในสืบค้นข้อมูลกรณีของ บิดานายสนธิ ลิ้มทองกุล

ปริศนา...ชาติกำเนิด..สนธิ ลิ้มทองกุล??!!

ดังนั้น เราสามารถที่จะพิจารณา วิเคราะห์จากหลักฐาน ข้างต้น จึงสามารถสรุปได้ดังนี้ ว่า


1. กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่อ้างว่าบิดาเป็นนายทหารกองร้อยหว่างฟู่ สังกัด กองพล93 จากรายงานพบว่า บิดาของนายสนธิ ได้ " หลบหนีจากกองพล93(หนีทหาร)" ก่อน พ.ศ.2514 ซึ่งเป็นระยะก่อนที่รัฐบาลไทย จะมีคำสั่งอนุญาตให้กองพล93 แปลงสัญชาติเป็นไทยได้ นั่นหมายถึง ซึ่งบิดาของนายสนธิ จึงเป็นเพียงคนจีนหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย จึงไม่ได้รับสิทธิในการแปลงสัญชาติเป็นไทย เช่นบุคคลที่อยู่ในกองพล93 ตามคำสั่งของกองบัญชาการทหารสูงสุด (เพราะหนีทหารไปก่อนหน้านั้น จึงไม่ปรากฏหลักฐานการได้สัญชาติ เช่นผู้อื่นที่สังกัดกองพล93 ในระยะเวลาดังกล่าวโดยสิ้นเชิง) ดังนั้น

2. เมื่อบิดาของนายสนธิ ไม่ได้สัญชาติไทย มีฐานะทางกฏหมายเป็นผู้กระทำความผิด ฐานเป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง แต่ เหตุใดนายสนธิ ซึ่งเป็นบุตร จึงมีสัญชาติไทยได้ ?




3. ตาม บัตรประชาชน ซึ่งหลักฐานปรากฏตามหมายจับ(ดูภาพในวงกลมสีแดง) ระบุว่า นายสนธิ "เชื้อชาติไทย" คำว่า "เชื้อชาติ" หมายถึง "ผู้ที่เกิดในประเทศ" แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่า "นายสนธิ เกิดปี พ.ศ.2490" ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนที่กองพล 93 จะรบกับกองทัพปลดแอกของเหมาเจอตุง และก่อนที่ กองพล93 จะพ่ายแพ้ และหลบหนีเข้ามายัง เมืองเชียงตุงของพม่า และก่อนเวลาที่ รัฐบาลไทย จะรับ กองพล93 เข้ามาตั้งหมู่บ้านเป็นกันชนคอมมิวนิสต์

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า "นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ใช่เชื้อชาติไทย" แน่นอน

4. ในระยะช่วงเวลาดังกล่าว (พ.ศ.2514-2520) ผู้ที่อยู่ ฐานชายแดนแถบพม่า จะทราบดีว่าการเดินทางระหว่างเชียงราย มาลำปาง ก็กินเวลาเป็นวันๆ เพราะถนนไม่ดี (สายเอเซียยังไม่สร้าง... นั่งรถกันงี้ขี้เป็นเลือด..เรื่อง จริง เพราะไม่มีเบาะมีแต่กระดานไม้) ไม่ต้องกล่าวถึงจังหวัดสุโขทัย ซึ่งอยู่ห่างไกลกับพื้นที่ตั้งของจังหวัดเชียงรายซึ่ง กองพล93 อยู่ (คิดในด้านดีไว้ก่อน) จึงมีคำถามว่า

"นายวิเชียร บิดาของนายสนธิ มามีภรรยาที่สุโขทัยได้อย่างไร ?"

ฉะนั้น เมื่อเทียบตามระยะเวลาจากบัตรประชาชนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ วันเวลาที่ทางราชการ อนุมัติให้ผู้ที่อยู่ในปกครองของ กองพล93 แปลงสัญชาติได้นั้น(2514) นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะบรรลุนิติภาวะแล้ว และมีอายุ 24ปี

หากอนุมานว่าเป็นเช่นนั้น จุดที่เป็นสิ่งสังเกตุสำคัญคือ "จะเป็นได้เพียงแค่ สัญชาติไทย ไม่ใช่ เชื้อชาติไทย"

ข้อพิรุธ นายสนธิ เกิดก่อนที่ นายวิเชียร บิดาของตนซึ่งอยู่ที่เมืองจีน จะพบกับแม่ของตนซึ่งอยู่ที่ประเทศไทยจังหวัดสุโขทัย

(กรณีหากว่าแม่มีสัญชาติไทย) เพราะกองพล 93 เข้าประเทศไทยปี 2504 นั่นหมายถึงบิดาของนายสนธิ มาพบและแต่งงานกับมารดานายสนธิ จึงจะตั้งท้องและคลอดเป็นนายสนธิได้ ก็ต้องเป็นปี 2505 ตามหลักฐานปรากฏว่าปี 2504 นายสนธิอายุได้ 14 ปีแล้ว...จึงเป็นไปไม่ได้ว่า นายสนธิ จะเกิดก่อนพ่อแม่แต่งงานกัน ตกลง นายสนธิ เกิดจากใคร ... หรือ รูกระบอกไม้..???!!



ภาพ นายพลเจียงไคเชค เป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหว่างฟู่ (ไม่ใช่พ่อนายสนธิ)

เมื่อคำนวณนับจากปีเกิดนายสนธิ (พ.ศ.2490) ก็ยังเป็นระยะเวลาก่อนที่ เจียงไคเชค จะตั้ง กองพล93 รบกับกองทัพเหมาเจ๋อตุง ซึ่งเป็น พ.ศ.2492 นั่นหมายถึง นายสนธิมีอายุได้ 2 ขวบแล้ว

คำถาม ณ เวลานี้คือ

มารดาของนายสนธิ เป็นใคร ?

นายสนธิ เกิดที่ไหน ? เมื่อไร ? และได้ "เชื้อชาติไทย" และ "สัญชาติไทย" มาได้อย่างไร ? ในชั้นต้นสรุปได้ว่า เอกสารบัตรประจำตัวประชาชน เป็นของปลอมแน่นอน



ดังนั้น การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ปลุกระดมชาวไทยออกไปก่อการชุมนุม ยึด ทำลายทรัพย์สิน จนถึงขั้นใช้กำลังอาวุธปะทะกัน โดยอ้างว่า "กู้ชาติ" จึงเป็นไปไม่ได้

เพราะ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้มี สัญชาติไทย หรือ เชื้อชาติไทย โดยสถานะทางกฏหมาย ปรากฏตามหลักฐานหมายจับ(ซึ่งเป็นเอกสารทางราชการ รับรองแล้ว) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ณ เวลาปัจจุบัน สถานะทางกฏหมาย เท่ากับเป็น "บุคคลไร้สัญชาติ"

การกระทำของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงมีลักษณะไม่ผิดกับว่า นายสนธิฯ เป็นนักท่องเที่ยว เข้ามาในประเทศไทย หรือ กะเหรี่ยงหลบหนีเข้าเมือง แล้วมาปลุกระดมให้ประชาชนเจ้าของประเทศเกิดความแตกแยกทางความคิด แบ่งฝ่ายใช้อาวุธเข้าประหัตประหารกัน โดยอ้างคำว่า " กู้ชาติ " .!! เป็นเครื่องบังหน้าเพื่อก่อความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง




เมื่อเทียบลักษณะความผิดที่ปรากฏทั้งหลักฐานและพยานเชิงประจักษ์แล้ว การกระทำของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าข่าย "จารชน" ซึ่งประชาชนไทยมีสิทธิ "ยิงทิ้ง" หรือ "จับตาย" ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย (ตามระเบียบรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๑๗) ทั้งยังเป็นการช่วยทางราชการอีกด้วย

ในส่วนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อย หรือเจ้าพนักงานตำรวจ สามารถจับกุมได้โดยไม่ต้องใช้หมายจับ โทษของ "จารชน" มีสถานเดียวคือ "ประหาร" โดยไม่ต้องขึ้นศาลอีกด้วย(เป็นกฏหมายสากล International Law )


หมายเหตุ ข้อมูลเชิงลึก ในกรณีอาชีพของ บิดานายสนธิซึ่งหนีราชการทหาร แต่กลับมีเงินตั้งโรงพิมพ์ (เขาเอาเงินมาจากไหน...ประกอบอาชีพอะไรจึงร่ำรวย และเหตุใดจึงถูกฆ่าล้างครัวที่กรุงเทพฯ) ที่เหลือ จะนำมาเสนอให้ทราบต่อไปในโอกาสหน้า..

จำได้ว่า สนธิลิ้ม เขามี passport เป็นของจีนไต้หวันด้วย? สงสัยอยู่ว่า ทำไม สนธิ ถึงได้รับ passport สองประเทศ มีทั้งประเทศไทย และ ประเทศจีนไต้หวัน
ตามหมายจับบอกว่า เป็นเชื้อชาติ ไทย สัญชาติไทย แต่ถ้าได้รับ passport จากประเทศไต้หวัน เขาจะเป็นคนต่างด้าว ที่ประเทศไหน? การได้รับ passport นั้น แสดงว่า เขาเป็นบุคคลสัญชาติของประเทศนั้น หรือ อาศัยว่า พ่อเป็นคนจีนไต้หวัน ถ้าเขาได้รับ passport จากไต้หวัน จะมีเชื้อชาติ ไทย ได้อย่างไร ก็ควรจะเป็นคนต่างด้าว ถือ passport จีนไต้หวัน ใช่ไหม?

ตกลงที่เค้าว่ากันว่า เลขประจำตัวประชาชน ตัวที่ 2-5 เป็นตัวชี้จังหวัดและอำเภอขณะที่ได้เลขนั้นจริงมั้ยครับ ทำไมกะทิ เป็นเลข 1017อ่ะ

งี้แปลว่าเกิด กทม. อ่ะดิ มันยังไงกันแน่ บางคนบอกเข้ามาอยู่ไทยที่ภาคเหนือก่อน บางคนบอกเกิดสุโขทัย แต่เลข 10 นี่มันกรุงเทพไม่ใช่เหรอครับ มันยังไงอ่ะครับ

ประวัติครอบครัวและชีวิตในวัยเด็ก ของ สนธิ ลิ้มทองกุล (โต)

สนธิ เมื่อเกิดมา มีชื่อว่า ตั๊บ แซ่ลิ้ม ชื่อเล่นชื่อ โต สนธิ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ในวัยเด็ก เขาถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่ อัสสัมชัญศรีราชา  สนธิ ขณะเรียนที่ ที่ อัสสัมชัญศรีราชา ได้คะแนน 49.5% (สอบตกไม่ผ่าน) แต่ได้รองอธิการฯ ไปคุยกับอธิการให้ช่วยปัดเศษเพิ่มขึ้นอีก 0.5% ทำให้เขาจบชั้น ม.7 จากโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา

ต่อมาสนธิได้ ย้ายไปอยู่ที่ โรงเรียนอำนวยศิลป์ จบ ม.8 ด้วยคะแนนติดบอร์ด
พ่อบังคับให้สนธิเรียนหมอ สนธิจึงตอบโต้ ด้วยการโกหกว่าสอบข้อเขียนได้แต่สอบตกสัมภาษณ์ (ทั้งที่ไม่ได้ไปสอบสัมภาษณ์) พ่อจึงจัดการให้สนธิ ไปเรียนที่ต่อไต้หวัน ในวิชาวิศวกรรมเครื่องกล (ตามความต้องการของพ่อ)

นสพ.ผจก.รายวัน ฉบับประจำ 23 ส.ค. 2536 สนธิให้สัมภาษณ์ว่า ขณะที่เรียนไต้หวัน 1 ปี ไม่ได้อะไร นอกจากภาษาพูด และ การท่องราตรี ขณะเรียนมัธยมอยู่ในสมัยนั้น ผมกบฏกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบของสังคม กติกาของครอบครัว หรือ กรอบของการปฏิบัติตน.

พ่อ ของสนธิ ชื่อ วิเชียร แซ่ลิ้ม เป็นอดีตสมาชิก พรรคก๊กมินตั๋ง และ ผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหว่างผู่ (ประวัติบางอันเขียนว่าเรียนจบจากโรงเรียนนายร้องหว่างผู่ ที่จอมพลเจียงไคเช็ค แห่งพรรคก๊กมินตั๋ง เป็นผู้บังคับการโรงเรียน)

สนธิเติบโตมาในขณะที่ พรรคก๊กมินตั๋ง กับ จีนคอมมิวนิสต์ อยู่ในสภาพของความเป็นศัตรูต่อกันอย่างรุนแรง ทั้งที่เป็นชาติเดียวกัน ปี 2485 คุณปู่ได้เปลี่ยนแซ่มาใช้นามสกุล “ลิ้มทองกุล” แต่น้องชายคุณปู่เปลี่ยนแซ่เป็น “มหาวนา” ซึ่งแปลว่า “ป่าใหญ่”

แม่ สนธิ ชื่อ นางไชย้ง แซ่ลิ้ม คุณพ่อได้แต่งงานกับคุณแม่ เมื่อมาทำงานโรงพิมพ์และหนังสือพิมพ์จีนในกรุงเทพฯ ตาโกรธคุณแม่ จนถึงตัดพ่อตัดลูกกัน เพราะแม่มาแต่งงานกับพ่อ ทั้งพ่อและแม่ ทำกิจการโรงพิมพ์ และออกหนังสือพิมพ์จีน จำหน่ายให้กับชาวจีนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร

สนธิ ได้ฝึกวิชาชีพ กับ นาย พอล สิทธิอำนวย นาย พอล สิทธิอำนวย ได้ โกงเงินธนาคาร ๒๐๐๐ พันล้านบาท แล้วหลบหนีไปอยู่อเมริกาเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว
โดยโอนชื่อกิจการที่เหลือทั้งหมดให้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล

สนธิ ขาดความรัก ความอบอุ่น จากครอบครัวในวัยเด็ก สนธิ โกรธแค้น เกลียดชัง พ่อ (และอาจรวมถึงแม่ด้วย) ในส่วนลึก และแก้แค้น โดยการตอบโต้ด้วยวิธีต่างๆเช่น พูดโกหกฯลฯ

โดยความโกรธนี้ลามมาถึง การโกรธสังคมด้วย สนธิ รู้สึกสะใจเมื่อสร้างความทุกข์ให้พ่อแม่ได้สำเร็จ

การทำร้ายสังคมได้เลวร้ายขึ้น ตามความรู้ความสามารถที่เพิ่มขึ้นของสนธิ
(ตราบเท่าที่ความเป็นเด็ก ที่ขาดในตัวสนธิยังไม่ได้รับการเติมเต็ม)

พ่อมองว่า สนธิ เป็นเด็กมีปัญหา พ่อเลี้ยงสนธิขึ้นมา เพื่อเป็นตามที่พ่อต้องการ ไม่ใช่ตามที่เด็กในตัวสนธิอยากจะเป็น (พ่อชอบบังคับ) ขณะที่เด็กโรงเรียนประจำ มักจะขาดความรัก แต่ ดช.ตั๊บ ออกจะอาการหนักหน่อย ทำให้ผลการเรียนค่อนข้างแย่ เมื่อถูกบังคับให้ไปเรียนที่ไต้หวัน และ ขาดเป้าหมายของตนเอง และ ไม่ต้องการทำเพื่อพ่อแม่ หรือ ใคร

สนธิ จึงเที่ยวกลางคืน เพื่อเติมในสิ่งที่ขาด (เติมไม่เต็ม)
แม้ว่า สนธิ ลิ้มทองกุล จะโกรธเกลียดในนิสัยของพ่อตัวเอง
แต่ว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ถอดแบบนิสัยที่เขาเกลียดนั้นมาเป็นตัวเขา
ปู่กับน้องของปู่สนธิ ไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวกัน เมื่อเปลี่ยนจากแซ่เป็นนามสกุล

สนธิ โตมาในสภาพแวดล้อมที่ ประเทศจีน แยกเป็นสองส่วน จีน กับ ไต้หวัน
สนธิ สนิทกับเจ้านาย และ ได้รับอิทธิพลการทำงานแบบโกงเงินชาติมาจากเจ้านาย..

บทสรุปสุดท้ายประวัติ สนธิฯ ที่คุณ More นำมาให้อ่าน เนื้อหาอาจจะแตกต่างกันไปแต่สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือปริศนา "เชื้อชาติไทย" ว่า สนธิฯ ได้มายังไง ? เพราะ สนธิ ไม่ได้เกิดในประเทศไทย อันนี้แน่นอน

เพราะไม่ว่า ประวัติจะมาไง ไปไง นั่นไม่เท่าไร แต่มันสำคัญที่บัตรประชาชน นั้น "ปลอม"

ผู้ที่ถือ "บัตรประชาชนไทยปลอม" ย่อมจะไม่ใช่ชาวไทยโดยสุจริตจึงไม่ต้องกล่าวถึงกรณี "นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถือบัตรประชาชน เชื้อชาติไทย"

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมอันปรากฏในปัจจุบันก็คือ การปลุกระดมประชาชนในชาติ ให้แตกแยกเป็นฝักฝ่าย จึงเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิดฐาน "จารชน" ตามกฏหมายสากลโดยแท้

และ สร้างสถานการณ์ "บ่อนทำลาย เพื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์" โดยนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือ แล้วสร้างเหตุให้สถาบันเสื่อมความนิยม โดยตนเองเป็นผู้สร้างเหตุการณ์นั้นขึ้น

นี่คือสิ่งที่เราชาวไทยย่อมยอมให้เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้...

....แน่นอนที่สุด ...เชื่อว่าข้อมูลที่นำเสนอจะมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
แต่ที่แน่ ๆ หากไม่จริง ก็ไม่เห็นว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องเถียงมาแล้ว ว่าไม่จริง
แต่งานนี้ มันนิ่งไม่กล้าเถียง ไม่กล้าเขียนคอลัมภ์เรื่องนี้ขึ้นมาในหนังสือพิมพ์ของมัน..แม้แต่ตัวอักษรเดียว!! ไม่ใช่ว่ามันไม่ได้อ่านและหากว่าไม่จริง ป่านนี้เวปเราคงถูกเอาไปด่าที่เวทีหน้าทำเนียบ เหมือนกับเวปประชาไท ฯลฯ ไปแล้ว...

ไม่นานเกินรอ...ท่านจะพบศพบุคคลผู้นี้...แบบไม่ครบชิ้นส่วน...!!!

เพราะยุค IT กรรมติดจรวด ชนิด Dot เวร Dot กรรม ....กดEnter เจอนรก ....กล้ารับรอง

ความจริงจะไปโทษว่า "สนธิ เป็นคนเลว" เห็นจะไม่ถูกทีเดียว เพราะอันที่จริง แล้วเป็นเพราะ GENE มันเลว ดังนั้นการถ่ายทอดพันธุกรรม DNA จึงสืบสายพันธุ์ความเลวมาได้โดยตลอด คุณอาจไม่เชื่อ..แต่พิสูจน์ได้ ว่ามันเลวทั้งโคตร จริง ๆ

18 กันยายน 2550 เจ้าพนักงานการพิมพ์ กทม. ได้ตรวจยึดหนังสือการ์ตูนที่ ลูก "สนธิ" เป็น บก. อาทิ ตาอสูรพิฆาตมาร, เผ่าทรชนพันธุ์เถื่อน และ คุณแม่จิ๊กกี๋แช่แข็ง


เผ่าทรชนพันธุ์เถื่อน คุณแม่จิ๊กกี๋แช่แข็ง



ตาอสูรพิฆาตมาร

พล.ต.ต. สมบัติ ศุภชีวะ ผู้บังคับการอำนวยการ (ผบก.อก.) สำนักงานตำรวจสันติบาล (บช.ส.) กล่าวภายหลังจากร่วมประชุมเจ้าพนักงานการพิมพ์ กรุงเทพมหานคร วันนี้ (18 ก.ย.) ว่า หลังจากเจ้าพนักงานการพิมพ์ กทม. ได้ตรวจยึดหนังสือการ์ตูน อาทิ ตาอสูรพิฆาตมาร, เผ่าทรชนพันธุ์เถื่อน และคุณแม่จิ๊กกี๋แช่แข็ง ที่มี นายจิตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เป็นบรรณาธิการบริหาร กว่า 10 เรื่อง จากร้านหนังสือทั่วประเทศ

เนื่องจากเข้าข่ายเป็น หนังสือลามกอนาจาร ทางสำนักงานตำรวจสันติบาลได้ให้ตำรวจไปแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีข้อหา ผู้ทำ, ผู้ผลิต หนังสือลามกอนาจาร เพื่อการค้าและเพื่อจำหน่ายจ่ายแจก ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผบก.อก.บช.ส.กล่าว และว่าขอฝากผู้ปกครองสังเกตบุตรหลานซึ่งอาจซื้อหนังสือประเภทนี้มาอ่าน และหากพบเบาะแสแจ้งได้ที่ 0 2205 1455 begin_of_the_skype_highlighting            0 2205 1455      end_of_the_skype_highlighting  0 2205 1455 begin_of_the_skype_highlighting            0 2205 1455      end_of_the_skype_highlighting

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554


ประธานกก.สิทธิกรี๊ดใครไม่พอใจให้มาถอดถอนเลย
จัดไปท่านใดอยากรับคำท้าเชิญโหลดแบบฟอร์มด่วน



โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
22 กรกฎาคม 2554

ประธานกก.สิทธิท้าหากเห็นว่าผิดจะให้ลาออกหรือถอดถอนก็เชิญตามกฎหมาย

นางอมรา พงศ์ศาพิชญ์ ประธานกสม. และนพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการกสม. ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงกรณีรายงานการเสียชีวิตของทหาร ตำรวจและประชาชนจำนวน 91 ศพจากเหตุการณ์ชุมนุมก่อความไม่สงบรั่วไปยังสื่อมวลชน ว่า กสม.ยืนยันว่ารายงานฉบับดังกล่าวเป็นเพียงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ของคณะทำงานที่ยังไม่ผ่านความเห็นจากคณะอนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏตามสื่อมวลชนเป็นข้อเท็จจริงที่ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบและกสม.ทั้ง 7 คนมีความเห็นตรงกันว่า ยังจำเป็นต้องแก้ไขในบางส่วน โดยเฉพาะวิธีการนำเสนอ นอกจากนี้หากกสม.วิเคราะห์ว่ายังต้องการค้นหาข้อเท็จจริงเพิ่มก็จะต้องทำงานกันต่อไป เบื้องต้นจะมีการประชุมกันทุกวันพุธของสัปดาห์ และจะรายงานความคืบหน้าการตรวจสอบทุก 1 เดือน

นางอมรา กล่าวอีกว่า อยากขอแสดงความเสียใจที่ทำให้เกิดความสับสน และไม่แน่ใจในการทำงานของกสม. แต่อยากขอให้มั่นใจในการทำงานโดยเฉพาะเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับ เนื่องจากเป็นผู้ที่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ทำให้การทำรายงานเผยแพร่สู่สาธารณชนให้รับทราบเป็นไปอย่างล่าช้า ส่วนหนึ่งเกิดจากพยานหลักฐานมีเป็นจำนวนมากในหลายเหตุการณ์ พยานให้การไม่ตรงกัน จึงต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์อย่างละเอียด
“ หากสังคมเห็นว่า กสม.มีความบกพร่องในการทำงาน ก็พร้อมรับผิดชอบ จะให้ลาออกหรือถอดถอนก็พร้อม ขอให้ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายได้ ยอมรับว่ากสม.มีความขัดแย้งทางความคิดกันภายในองค์กร ซึ่งทุกองค์กรก็เป็นแบบนี้ และที่ไหนๆก็มีความขัดแย้ง แต่จะพยายามไม่ให้ความขัดแย้งส่งผลกระทบต่อรายงาน เบื้องต้นการทำงานของกสม.จะต้องมีการปรับปรุง”นางอมรากล่าว

นางอมรา ยังกล่าวอีกว่า แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็จะมาส่งผลกระทบต่อรายงาน ทั้งนี้รายงานของกสม.อาจจะมีความแตกต่างในรายละเอียดของการสอบสวนข้อเท็จจริง เนื่องจากเป็นคณะทำงานคนละชุด และมีเป้าหมายการทำงานแตกต่างกัน คปอ.ตรวจสอบเพื่อสร้างความปรองดอง ขณะที่กสม.ตรวจสอบว่ามีพฤติการณ์และเหตุการณ์ใดบ้างที่เป็นการละเมิดสิทธิเพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ และให้รัฐบาลหาทางป้องกันเพื่อมิให้เกิดการละเมิดสิทธิ์ได้อีก

ส่วนการที่เอ็นจีโอต้องการให้กสม.ตรวจสอบให้พบตัวผู้กระทำความผิดนั้น ขอชี้แจงว่ากสม.มีอำนาจและศักยภาพเข้าไม่ถึงข้อมูลเหมือนกับดีเอสไอหรือตำรวจ เราตรวจสอบได้เพียงว่า มีการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิหรือไม่

น.พ.นิรันดร์ กล่าวว่า ขณะนี้กสม.กำลังตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่ามีเอกสารหลุดออกไปได้อย่างไร ส่วนข้อกังวลเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิยืนยันว่า เป็นการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากรายชื่อในรายการของคณะกรรมการสิทธิ์ที่ทำงานอยู่ในชุดต่างๆอยู่แล้ว กสม.ไม่ใช่องค์กรปิดบังข้อมูลข่าวสาร แต่เราต้องระวังข้อมูลที่ระบุถึงตัวบุคคล การทำงานล่าช้าส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอก แม้ว่ากสม.จะมีอำนาจสั่งให้หน่วยงานหรือบุคคลส่งข้อมูล พยานเอกสาร หรือเข้าให้ปากคำ แต่ในทางปฏิบัติหลายหน่วยงานพยายามเตะถ่วงไม่ยอมส่งข้อมูลให้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาความขัดแย้งภายในกสม.ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้าที่จะมีการแถลงข่าวในเวลา 11.30 น. ได้มีความพยายามแจ้งยกเลิกไปยังสื่อมวลชนต่างๆ ขณะที่อีกฝ่ายยังคงยืนยันว่าจะมีการแถลงข่าวของกสม.ตามกำหนดเวลาเดิม โดยนางอมราและนพ.นิรันดร์จะเป็นผู้แถลงข่าว นอกจากนี้ยังมีการประสานไปยังเอ็นจีโอกลุ่มจับตาและตรวจสอบกสม. ให้เข้าร่วมซักถามสาเหตุของความล่าช้าในการออกรายงาน พร้อมทั้งเรียกร้องให้กสม.แสดงความรับผิดชอบ และเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสาธารณะให้มากที่สุด

แดงเดือด! ล่าชื่อถอดกรรมการสิทธิฯ เชิญโหลดแบบฟอร์ม 

เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสี่แยกราชประสงค์ ในช่วงเย็นได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงราว นำโดยนายนพพร นามเชียงใต้ นายนที สรวารี ได้ตั้งเวทีปราศรัยหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อจัดงานรำลึก 14 เดือน เหตุสลายชุมนุมที่แยกราชประสงค์ โดยมีการตั้งเต็นท์ล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งได้รับความสนใจจากคนเสื้อแดง นำบัตรประจำตัวประชาชนมาถ่ายเอกสารเพื่อเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

นายนพพร กล่าวว่า เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่าคณะกรรมการสิทธิฯ ของไทยชุดนี้ คือผู้พิทักษ์เฉพาะสิทธิของระบบราชการและกลุ่มอำมาตย์อย่างแท้จริงเห็นได้จากรายงานผลการสอบสวนกรณีทหารปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธสงคราม กลับอ้างว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทหารหน่วยแม่นปืนกระทำ ทั้งที่หลักฐานมีมากมาย อยากถามคณะกรรมการสิทธิฯ ว่าหลักฐานจำนวนมากเผยแพร่ออกไปทั่วโลกทำไมไม่นำมาเป็นข้อมูลเห็นได้ว่าคณะกรรมการสิทธิฯที่มีนางอมรา พงศาพิชญ์ เป็นประธาน เป็นคณะกรรมการฯ ที่ปราศจากคุณธรรมไร้สำนึกในการปกป้องสิทธิของมนุษยชาติ หลายคนมีส่วนในการสนับสนุนรัฐประหารปี 49 กลุ่มคนเสื้อแดงจะล่าชื่อถอดถอนคณะกรรมการสิทธิฯชุดนี้เพื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาต่อไป.
คณะผู้รวบรวมรายชื่อแจ้งว่า เราต้องการ 50,000 รายชื่อ จะล่ารายชื่อจนกว่าจะครบ เชิญดาวน์โหลดแบบฟอร์มถอดถอนคณะกรรมการสิทธิฯตามลิ้งค์
http://www.mediafire.com/?98tl4if552cnt89 และในวันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคมนี้จะมีกิจกรรมครบ 5 เดือนจับกุมอ.สุรชัย แซ่ด่าน และ 3 ปีขังคุกนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล (ดา ตอร์ปิโด)ที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพฯ ถนนงามวงศ์วาน เวลา16.00-21.00 ขอเชิญนำแบบฟอร์มถอดถอนพร้อมสำเนาบัตรประชาชนมาร่วมลงชื่อได้

หากท่านใดไม่สะดวกมางานให้กรอกแบบฟอร์ม พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชน และส่งเมล์มาที่คณะทำงานถอดถอนฯที่ mosquito_kae@hotmail.com
http://redusala.blogspot.com

ผู้พันของขึ้นซัด ฮ.ตก เพราะนายโง่ทำผิดหลักนิรภัยการบิน
ขู่ลุยมาร์คปล่อยฝรั่งยึดโบอิ้งหลู่พระบรมฯ
http://thaienews.blogspot.com/2011/07/blog-post_22.html

นาวาอากาศตรี ชนินทร์ คล้ายคลึง เมื่อตอนมอบตัว และปฏิเสธข้อหาหมิ่นฯเบื้องสูง ลั่นถูกกลั่นแกล้งทางเฟซบุ๊ค (ภาพ:มติชนออนไลน์)

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
22 กรกฎาคม 2554

น.ต.ชนินทร์ คล้ายคลึง หัวหน้าฝ่ายกรมช่างทหารอากาศ ซึ่งเคยต้องหาคดีถูกกล่าวหาว่าใช้เฟซบุ๊คหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (รายละเอียดข่าว) เขียนลงในเฟซบุ๊คของเขาแสดงความเห็นในกรณีฮ.แบล็กฮอว์กตกตำหนิผู้บังคับบัญชาของทหารที่อาจเป็นต้นเหตุของเครื่องบินตก และกล่าวตำหนิรัฐบาลที่ปล่อยให้เยอรมันอายัดเครื่องบินของสมเด็จพระบรมฯ โดยประกาศว่าจะดำเนินคดีต่อนายอภิสิทธิ์ด้วย

น.ต.ชนินทร์บอกว่า เขาเป็นนักบินพลเรือนของกองท​ัพอากาศ และเป็นวิศวกรบินทดสอบเครื​่องบินต้นแบบกองทัพ ในฐานะคนไทยแล้ว ผมเสียใจกับการตายโดยไม่สมควรแก่เหตุครับ

ทหารรับใช้นายมักสบายและได้ดีทุกคน ขอไว้อาลัยผูเสียชีวิตทุกคนจากฮ.ตกทุกท่าน ไม่ว่าท่านจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารประชาชนเมื่อปีที่แล้วหรือไม่ เราทุกคนต่างถูกหลอกใช้เหมือน ๆกันครับ

เขากล่าวว่าไม่อยากเห็นใครสะใจกับการตายในกรณีนี้ "รู้หรือไม่ว่านายทหารหนึ่ง คนกว่าจะจบได้ใช้งบประมาณเป็นล้านบาท​ ซึ่งส่วนนี้มาจากภาษีประชาชน จงอย่ายินดีในความตายโดยใช้อารมณ์ส่วนตัวครับ"

สำหรับเหตุการณ์ฮ.ตกนั้นเขาให้ความเห็นว่า
ตอบคำเดียวคือ นายสั่งเพื่อสร้างภาพ ขัดกับหลักนิรภัยการบินทุกประการ

ผมไม่อยากด่าใครอีกในกรณี ฮ.แบล็คฮอว์คตก แต่มันเหลืออดแล้ว ไอ้ผู้บังคับบัญชาหน้าโง่ตัวไหน​สั่งเครื่องขึ้นบิน ทั้งๆ ที่สภาพอากาศไม่สามารถบินได้โดยปลอดภัย ผิดหลักนิรภัยการบินชัดเจน อย่าอยากเอาหน้ามากนัก ตายไปแล้ว ยังมาตายซ้ำอีก ผิดซำ้ผิดซากส้นตีน

ส่วนเรื่องเยอรมนีอายัดเครื่องบินสมเด็จพระบรมฯนั้น น.ต.ชนินทร์เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์หน้าผมจะไปแจ้งความดำเนินคดีอาญา มาตรา 157 ต่อ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นการเบื้องต้นกรณีปล่อยปละละเลยให้เครื่องบินพระราชพาหนะถูกยึด และถ้าเข้าข่ายมาตรา 112 ผมจะแจ้งความดำเนินคดีต่อไปครับ

รัฐบาลอภิสิทธิ์คือรัฐบาลที่ปล่อยให้มีการแจ้งความดำเนินคดีอาญามาตรา 112 โดยเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองโดยชัดเจน ไม่มียุคใด ที่คดี "ล้มเจ้า" จะมากมายถึงเพียงนี้ แต่ในทางกลับกันองค์รัชทายาทกลับถูกดูหมิ่นจากคนทั่วโลก จากการยึดเครื่องบิืนพระราชพาหนะ รัฐบาลนี้สมควรถูกตัดหัวหากเป็นโบราณราชประเพณี

พระมหากษัตริย์ของปวงชนชาวไทย ต่อไปคือองค์รัชทายาท หากรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งอ้างว่าจงรักภักดีและทำลายล​้างผู้เห็นต่างด้วยข้อหา "ล้มเจ้า มาตรา 112" กลับปล่อยปละละเลย ให้พระราชพาหนะถูกยึด เหมือน รถยนต์ที่ถูกนักเลงไฟแนนซ์ยึดกลางสี่แยกไฟแดงอย่าบังอาจบอกว่า คนอื่นไม่จงรักภักดี

พบ “แบล็กฮอว์ก” แล้ว เสียชีวิตทั้งหมด 9 ราย

มีรายงานข่าวล่าสุดเข้ามาเมื่อเวลา 11.25 น.วันนี้ (22 ก.ค.) ว่า เจ้าหน้าที่ทหารชุดเดินเท้าที่เข้าไปค้นหาเครื่องบินแบล็กฮอว์ก ตกเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมาสามารถเข้าไปถึงจุดที่ “แบล็กฮอว์ก” ตกแล้ว โดยเบื้องต้นคาดเสียชีวิตทั้งหมด 9 ราย โดยจุดตกอยู่ในฝั่งพม่าห่างจากจุดเกิดเหตุที่ ฮ.ฮิวอี้ตกลำแรกเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมาไม่ไกลนัก

มีรายงานข่าว ล่าสุดขณะนี้พบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย แต่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นใคร

ต่อมาเวลา 12.06 น. พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 เปิดแถลงข่าวสื่อมวลชน ที่ศูนย์การฝึกรบพิเศษแก่งกระจาน ยืนยันพลเดินพบเห็นซากแบล็กฮอว์กในระยะไกล สังเกตการณ์ด้วยสายตา และกล้องส่องทางไกล เห็นลำเฮลิคอปเตอร์บางส่วนไม่ยืนยันว่าเป็นการระเบิด แต่จากการรายงานพบเห็นมีร่างนอนนิ่งอยู่ด้านข้างแบล็กฮอว์ก 1 ร่าง ส่วนอีก 8 นายยังไม่พบเห็น คาดว่าพลเดินเท้าจะต้องใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมงในการเดินลงไปยังจุดที่ ฮ.ตก เนื่องจากสภาพพื้นทีเป็นหุบเขาสูงชันและป่ารกชัฏ ขณะนี้ได้สั่งการให้พลเดินเท้าที่อยู่ใกล้เคียงทั้ง 15 ชุด เข้าไปสนับสนุนแล้ว

ขณะเดียวกัน นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ระดมกำลังพลเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเร่งทำลานจอดเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราวแห่งใหม่ที่บริเวณระดับความสูง 700 เตร จากระดับน้ำทะเล เพื่ออำนวยความสะดวกแล้ว

เวลา 12.30 น. มีรายงานล่าสุดจากศูนย์ประสานงานกู้ภัยเฮลิคอปเตอร์ตก ซึ่งตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ว่าได้รับแจ้งทางวิทยุสื่อสารจากพลเดินเท้าชุดลาดตระเวนที่ 92 ว่าเดินเท้าเข้าถึงจุดแบล็กฮอว์กตกแล้ว พบนักบินและลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด 9 ราย สภาพเครื่องแบล็กฮอว์กแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ จากการตกกระแทก แต่ไม่ระเบิด ทิศทางด้านหัวเครื่องหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ สภาพทั้ง 9 ศพไม่สมบูรณ์ แต่ไม่มีไฟไหม้ คาดว่าจะใช้เวลาลำเลียงศพโดยใช้วิธีเดินเท้าแบกต้องใช้เวลานาน ซึ่งขณะนี้ได้ประสานขอใช้เลื่อยยนต์และอุปกรณ์สนับสนุน

พึ่งไสยศาสตร์ขอให้พบลูกน้อง-แบ็คฮอร์คที่สูญหาย

เมื่อวานนี้ สำนักข่าวเนชั่น รายงานว่า เมื่อวานนี้ เวลา 12.20 น. ร.อ.จีรวัฒน์ สุนทรพรหม ผบ.ร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 9 กองกำลังสุรสีห์ จุดธูปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขาที่บริเวณริมสนามเฮลิคอปเตอร์ ในค่ายฝึกรบพิเศษแก่งกระจาน ตำบลแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เพื่อขอให้ช่วยเปิดทางหากเครื่องบินแบ็คฮอว์กที่สูญหายให้เจอ และผู้ที่สูญหายไปกับเครื่องบินกลับมาด้วยความปลอดภัย

ร.อ.จีรวัฒน์ สุนทรพรหม เผยว่าตนยังมีความหวังว่าลูกน้องของตนที่สูญหายไปกับเครื่องแบ็คฮอว์คยังมีชีวิตอยู่ รวมทั้งทุกคนที่อยู่ในเครื่องแบ็คฮอว์คด้วย ตนจึงได้มาจุดธูปไหว้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา ให้ช่วยเปิดทางให้เจอเครื่องบินแบ็คฮอว์คพร้อมผู้สูญหายด้วย เพราะตนเองมีประสบการณ์ในตอนที่ไปปฎิบัติราชการที่ชายแดนภาคใต้ ลูกน้องถูกยิงเสียชีวิตหาศพสองวันไม่เจอ แต่พอจุดธูปขอเปิดทางก็เจอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับเรื่องที่เครื่องแบ็คฮอว์คลำที่สูญหายไม่ได้ส่งสัญญาณแจ้งตำแหน่งเป็นเพราะเครื่องลำดังกล่าวไม่ได้ติดเครื่องส่งสัญญาณ ทำให้ไม่สามารถทราบตำแหน่งที่เครื่องตกได้
http://redusala.blogspot.com

What's Behind Thailand's Lèse Majesté Crackdown ?
TIME
TIME.com World
Thailand's King Bhumibol Adulyadej with Queen Sirikit
Pornchai Kittiwongsakul /AFP/ Getty

Last Friday, Thai police announced they had arrested Joe Gordon, 55, a.k.a. Lerpong Wichaikhammat, a U.S. citizen of Thai ethnicity, at his home in northeastern Thailand for allegedly posting a link on his blog in 2007 to the book The King Never Smiles
, a critical and, some say, unfairly harsh biography of King Bhumibol Adulyadej. The book, by U.S. journalist Paul Handley, is banned in Thailand. Gordon faces anywhere from three to 15 years in prison if convicted. Thai authorities said Gordon also holds Thai citizenship and committed his alleged offense while living in Thailand.

In Thailand it's often referred to, usually in hushed tones, as "the institution." In a land where the holy trinity consists of nation, religion and King, talking about the monarchy, except in terms of adulation, can be risky business. Political activists, university professors, webmasters and now even a U.S. citizen have found that out the hard way — arrested and charged with lèse majesté: insulting the King, Queen or heir to the throne.

Handley's book aside, few royals have commanded as much reverence at home and respect abroad as King Bhumibol, who, with 64 years on the throne, is the world's longest-reigning monarch. Now 83 and ailing, King Bhumibol has earned genuine praise, admiration and love during the decades for over 4,000 development projects designed to help the poor, and for intervening on rare occasions to end bloodshed during civil conflicts. The monarchy, deeply entwined with the 700-year history of the Thai nation, has long been viewed as the sole unifying force in society.

But whether the monarchy can retain that unifying role in a rapidly modernizing and increasingly fractious society has become a subject of quiet and careful debate in recent years as political turmoil has beset Thailand. Since the military brass ousted in 2006 the then Prime Minister, Thaksin Shinawatra, citing his alleged disloyalty to the monarchy as one reason for the power grab, the institution has been subjected to conflicts and controversies that King Bhumibol himself has studiously avoided during his reign. Government literature on Thailand will tell you that the King is above politics. No reliable information has been presented that proves otherwise. But like the monsoon-flooding waters of the Chao Phraya River — the River of Kings — that run through the country's rice basket and down past golden spires of the old Grand Palace in Bangkok, politics have inexorably been rising to the level of the throne.

The evidence is in the explosion of lèse majesté charges filed against a wide and sometimes bewildering range of people. According to David Streckfuss, a Thailand history scholar who has written extensively on lèse majesté, before the 2006 coup there was an average of five lèse majesté cases each year. Since 2006, the courts have seen more than 400 cases. They have included a computer programmer who made obscene posts about the royals, an opposition political activist who called for the execution of the royal family, the webmaster of a political site who didn't delete negative comments posted by readers quickly enough, and a university professor who has written academic papers on reforming the monarchy. On occasion, foreigners and foreign journalists have also been slapped with lèse majesté charges. "At some point the number of cases is going to reach a tipping point where it will have a negative effect upon the institution itself and society," says Streckfuss.

King Bhumibol himself made a similar point during a 2005 speech, when he said that such cases bring him trouble, and that he can, indeed, be criticized if he is doing wrong. He said: "If someone offers criticisms suggesting that the King is wrong, then I would like to be informed of their opinion. If I am not, that could be problematic ... If we hold that the King cannot be criticized or violated, then the King ends up in a difficult situation." No member of the royal family has ever filed a lèse majesté charge. They have always been filed by others, almost always with no connection to the palace, because the law allows anyone to file a lèse majesté complaint.

Yet the position of the current Prime Minister, Abhisit Vejjajiva, is that the law does not need to be changed. The problem, he said, is that the law is being abused. To try to prevent that, he formed an advisory committee to review cases before going to trial and try to weed out those that are ill founded. Nonetheless, although some high-profile cases were dropped, the volume of cases is still high. Government spokesman Panitan Wattanayagorn told reporters earlier this year that one problem is that few policemen, prosecutors or judges are willing to throw out a lèse majesté complaint for fear of being accused of disloyalty.
The government's political opponents say that Abhisit and the security establishment are using lèse majesté laws against them. In May 2010, the military dispersed antigovernment protesters, known as Red Shirts for the color they wear, who had occupied central Bangkok demanding new elections. As part of their justification for using force — 92 people died during the two-month standoff — security officials claimed the Red Shirts were engaged in a conspiracy against the monarchy. Last month, Jatuporn Promphan, a Red Shirt leader and member of parliament, was arrested on lèse majesté charges.
While many, if not most, Red Shirts support the monarchy, an antimonarchy element does exist within the movement, and some, but not all, Red leaders have criticized that element. Most Red Shirts support Thaksin, who, along with other Red leaders, accused the King's chief privy councillor of involvement in the coup — which he denies. But the anger of some Reds has spread to disenchantment with the institution itself, and particularly with Queen Sirikit because in 2008 she attended the funeral a member of an anti-Thaksin protest group called the Yellow Shirts. The Reds and Yellows are bitter enemies.
The charged political atmosphere has created a situation similar to the anti-Communist hysteria of the 1950s in the U.S. Lèse majesté charges are sometimes filed by those with vendettas wanting to tarnish the reputation of an enemy — either personal or political. Most troubling is the closing of space for serious and academic discourse on the role of the monarchy. Although The King Never Smiles is banned in Thailand, much of what it contains had already been written in Thai by Thai academics. They faced no censure for their work — until last month, when the Thai army filed charges against Somsak Jeamteerasakul, a university professor who had called for the monarchy's reform at a seminar. With Thailand in transition, such overzealousness on the part of some of the monarchy's defenders may chill honest and well-intentioned discourse, and therefore ultimately undermine the future of an institution that is still supported by the majority of Thais. That could pose problems for Crown Prince Vajiralongkorn, the heir to the throne, who has yet to win the level of the people's affection his father has earned and enjoys.

Streckfuss says a number of possible solutions in the form of "braking mechanisms" on lèse majesté cases have been discussed by some academics. They include possibly requiring cases to be approved by the Bureau of the Royal Household before going to court, bringing the law in line with standard libel laws, as well as reducing sentences. "The problem with proposing reform is that anyone who proposes it also runs the risk of being accused of disloyalty — or actually being charged with lèse majesté," says Streckfuss. The challenge for Thailand's leaders is to find the courage to allow open, reasoned and respectful debate in order to preserve what they are so determined to defend.


Read more: http://www.time.com/time/world/article/0,8599,2075233,00.html#ixzz1StGuWswh
http://redusala.blogspot.com

TIME : อะไรอยู่เบื้องหลังการปราบปรามด้วยกฎหมายหมิ่นฯ


(ภาพประกอบบทความของTIME)

โดย ROBERT HORN / BANGKOK
ที่มา Time.com
June 02, 2011
แปลไทยโดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์

อะไรอยู่เบื้องหลังของการกวาดล้างจับกุมภายใต้กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย
ในประเทศไทยมักมีการอ้างอิงถึง,ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ,ว่า"สถาบันฯ" ในดินแดนที่ซึ่งสิ่งสูงสุดสามประการประกอบไปด้วย ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ การพูดคุยเกี่ยวกับสถาบันฯ,นอกจากในแง่มุมของการเทิดพระเกียรติแล้ว,จะกลายเป็นเรื่องที่เสี่ยง นักกิจกรรมทางการเมือง,นักวิชาการมหาวิทยาลัย,เว็บมาสเตอร์ และงวดนี้มาถึงตัวประชาชนคนอเมริกันคนหนึ่ง ได้พบว่ามันเป็นเรื่องที่แย่มาเมื่อต้องถูกจับกุมตัวและถูกตั้งข้อหาด้วยกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเป็นกฏหมายเกี่ยวกับการหมิ่นพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินี หรือผู้สืบทอดราชสบบัติ

เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้แถลงว่าพวกเขาได้จับกุมตัวนายโจ กอร์ดอน, อายุ 55 ปี, หรืออีกนามหนึ่งว่า นายเลอพงศ์ (สงวนนามสกุล), คนอเมริกันคนหนึ่งซึ่งมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศไทย, ที่บ้านของเขาในภาคอีสานของไทย ด้วยข้อหาระบุว่าได้โพสต์ลิงก์หนึ่งลิงก์บนเว็บบล็อกของเขาในปี 2007 ซึ่งเชื่อมโยงไปยังหนังสือที่ชื่อ The King Never Smiles, หนังสือที่มีเนื้อหาวิพากษ์เชิงลึกในขณะที่บางคนมองว่าเป็นการงานวิพากษ์ที่ไม่ยุติธรรมต่อพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

หนังสือดังกล่าว,เขียนโดยนักเขียนที่ชื่อ Paul Handley,ถูกแบนในประเทศไทย นายกอร์ดอนถูกตั้งข้อหาที่หากถูกลงโทษต้องจำคุก 3 ถึง 15 ปี เจ้าหน้าที่ทางการไทยกล่าวว่านายกอร์ดอนยังได้ถือสัญชาติไทยและได้กระทำความผิดขณะที่อยู่ในประเทศไทย (อ่านเพิ่มเติมข้อหาหมิ่นเคสก่อนหน้านี้)

หากไม่ดูจากมุมมองจากหนังสือของ Handley, มีราชวงศ์ไม่มากนักที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงในประเทศและต่างประเทศเช่นเดียวกับที่กษัตริย์ภูมิพลได้รับ พระองค์ทรงเถลิงราชสมบัติได้ 64 ปี และเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์นานที่สุด พระองค์ท่านขณะนี้ทรงเจริญพระชนมพรรษา 83 พรรษาและไม่ค่อยมีพระพลานามัยสมบูรณ์

กษัตริย์ภูมิพลได้รับความชื่นชมอย่างแท้จริง ได้รับความยกย่อง และความรัก ระหว่างทศวรรษที่ผ่านมาจากกว่า 4,000 โครงการในพระราชดำริที่ทรงตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขช่วยเหลือคนยากจน รวมไปถึงการเข้าไปยับยั้ง,ซึ่งทรงกระทำจำนวนน้อยครั้งมาก,เพื่อที่จะหยุดการฆ่าล้างกันระหว่างความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศ สถาบันฯซึ่งผูกพันอย่างลึกซึ้งต่อประวัติของประเทศไทยกว่า 700 ปี ได้รับการมองว่าเป็นจุดศูนย์รวมของทุกภาคส่วนในสังคม แต่ไม่ว่าสถาบันฯจะสามารถดำรงการมีบทบาทในฐานะการรวมศูนย์ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงทันสมัยอย่างรวดเร็วและมีความแตกแยกในสังคมเพิ่มขึ้นได้

สถาบันฯได้กลายมาเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกนำมาดีเบตอย่างเงียบๆและระมัดระวังในปีที่ผ่านๆมาระหว่างความขัดแย้งทางการเมืองที่ได้รุมเร้าประเทศไทย นับตั้งแต่กองทัพได้ขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยอ้างว่าเขาไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯอันเป็นหนึ่งในข้อกล่าวหาเพื่อทำการเข้าควบคุมอำนาจ

สถาบันฯได้ถูกนำมาเป็นหัวข้อของความขัดแย้งเมื่อ (เซ็นเซอร์) นักวิชาการไทยในฟากรัฐบาลจะบอกคุณว่าพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือพอที่จะแสดงพิสูจน์ว่าไม่เป็นเช่นนั้น แต่ก็เป็นเหมือนกับน้ำท่วมที่มากับฝนมรสุมในแม่น้ำเจ้าพระยา - แม่น้ำของกษัตริย์ทั้งหลาย - ที่ไหลผ่านในพื้นที่ลุ่มเพาะปลูกข้าวไปยังพื้นที่พระราชวังเก่าในกรุงเทพฯ... การเมืองได้ไหลท่วมขึ้นมาถึงระดับสถาบันฯแล้ว

ข้อมูลและหลักฐานในกรณีการตั้งข้อหาอย่างกว้างขวางในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อผู้คนจำนวนมาก อ้างจากนาย David Streckfuss นักวิชาการประวัติศาสตร์ประเทศไทยผู้ซึ่งได้เขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับกรณีหมิ่นฯจำนวนมาก ก่อนการรัฐประหารปี 2006 มีเคสหมิ่นฯโดยเฉลี่ย 5 กรณีต่อปี นับตั้งแต่ปี2006 มีคดีผ่านศาลกว่า400กรณี ซึ่งรวมกรณีนักโปรแกรมเมอร์ผู้ซึ่งได้โพสต์ข้อความที่ไม่น่าดูเกี่ยวกับราชวงศ์, นักรณรงค์ทางการเมืองฝ่ายค้านผู้ซึ่งเรียกร้องให้มีการ (เซ็นเซอร์) royal family, เว็บมาสเตอร์ของเว็บการเมืองที่ไม่ได้ลบความเห็นเชิงลบที่โพสต์โดยผู้อ่านเร็วพอ และอาจารย์โพรเฟสเซอร์มหาลัยผู้ซึ่งได้เขียนบทความเชิงวิชาการที่ต้องการปฏิรูปสถาบันฯ ในหลายเหตุการณ์ ชาวต่างประเทศและผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็ต้องเผชิญกับข้อหาหมิ่นฯด้วย "ที่จุดๆหนึ่ง จำนวนคดีกำลังเพิ่มไปถึงจุดที่สร้างผลลัพธ์ในทางลบต่อตัวสถาบันฯและสังคมเอง" นาย Streckfuss กล่าว

กษัตริย์ภูมิพลได้ทรงยกเรื่องดังกล่าวในพระราชดำรัสตอนหนึ่งในปี 2005, เมื่อพระองค์ท่านทรงกล่าวว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้พระองค์ท่านเดือดร้อน และกล่าวว่าพระองค์ท่านสามารถ,จริงๆ,ถูกวิจารณ์ได้ถ้าท่านทำผิด พระองค์ท่านกล่าวว่า "ถ้าเขาบอกว่าวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัวว่าผิด งั้นขอทราบว่าผิดตรงไหน ถ้าไม่ทราบ เดือดร้อน ... แต่เมื่อบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์ ไม่ให้ละเมิด ไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ก็ลงท้าย ก็เลยพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบากแย่" ไม่เคยปรากฏว่าสมาชิกราชวงศ์จะทรงฟ้องใครด้วยข้อหาหมิ่นฯ พวกเขาถูกฟ้องโดยบุคคลอื่น โดยเกือบจะทุกเคสกระทำโดยบุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัง, เพราะว่ากฏหมายเอื้อให้ใครก็ได้สามารถฟ้องหมิ่นสถาบันฯได้

กระนั้นก็ตามจุดยืนของนายกฯปัจจุบัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คือให้คงกฏหมายไว้โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปัญหาก็คือ, เขากล่าว, กฏหมายกำลังถูกบิดเบือน เพื่อที่จะป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวเขาได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อที่จะทบทวนกรณีต่างๆก่อนที่จะมีการขึ้นศาลและถอนคดีหากว่ากรณีดังกล่าวนั้นๆมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อน แม้กระนั้นก็ตาม (หลายๆเคสที่ลิงก์กับเรื่องละเอียดอ่อนจะถูกถอน) จำนวนเคสก็ยังคงมากอยู่ดี นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลได้บอกกับผู้สื่อข่าวก่อนหน้านี้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและศาลจำนวนน้อยมากที่ต้องการจะจำหน่ายคดีเพราะเกรงข้อครหาว่าจะถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี

ฝ่ายค้านกล่าวว่านายอภิสิทธิ์และพวกแม่ทัพอำมาตย์กำลังใช้กฏหมายหมิ่นฯเพื่อต่อต้านพวกเขา ในเดือนพฤษภาคม 2010, กองทัพได้สลายการชุมนุมของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในนามกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งได้ยึดใจกลางเมืองหลวงกรุงเทพฯและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ ส่วนหนึ่งของการอ้างความชอบธรรมในการใช้กำลัง ซึ่งทำให้คน 92 คนต้องตายลงในช่วงสองเดือนของการเผชิญหน้า เจ้าหน้าที่อ้างว่าคนเสื้อแดงได้เกี่ยวข้องกับแผนการณ์ในการล้มสถาบันฯ เมื่อเดือนที่ผ่านมานายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้นำเสื้อแดงคนหนึ่งและเป็นสมาชิกสภาผู้แทนฯ ก็ถูกจับกุมด้วยข้อหาหมิ่นฯ

ในขณะที่เสื้อแดงจำนวนมาก,แม้ไม่ใช่มากที่สุด,สนับสนุนระบอบกษัตริย์ กลุ่มคนที่ต่อต้านระบอบกษัตริย์ไม่ได้อยู่ภายใต้การเคลื่อนไหวดังกล่าว และแม้กระทั่งคนบางส่วน,แม้จะไม่ทั้งหมด,ของผู้นำเสื้อแดงก็ได้วิพากษ์ต่อกลุ่มชนกลุ่มดังกล่าว คนเสื้อแดงส่วนมากสนับสนุนทักษิณผู้ซึ่งเห็นตรงกับผู้นำเสื้อแดงคนอื่นๆที่ได้กล่าวหาว่าประธานองค์มนตรีของกษัตริย์มีความเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร - ซึ่ง(เปรม)เขาได้ปฏิเสธ แต่ความ(เซ็นเซอร์)ของคนเสื้อแดงบางคนได้แผ่กระจายไปยังสถาบันฯด้วยโดยเฉพาะสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเพราะว่าในปี2008 พระองค์ท่านได้ทรงเข้าร่วมงานศพของผู้เข้าร่วมประท้วงต่อต้านนายกฯทักษิณซึ่งเป็นกลุ่มคนเสื้อเหลือง คนเสื้อแดงและเสื้อเหลืองเป็นศัตรูคู่แค้นกัน

บรรยากาศทางการเมืองที่รุมเร้าได้ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกับกระแสคลั่งลัทธิต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงทศวรรษ 50 ในประเทศสหรัฐฯ ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในบางครั้งก็ถูกใช้โดยคู่กรณีประสงค์เป็นเครื่องมือในการทำลายชื่อเสียงของศัตรู - ไม่ว่าจะเป็นทางส่วนบุคคลหรือทางการเมือง ปัญหาที่กวนใจที่สุดคือการไปปิดหนทางการถกเถียงอย่างจริงจังหรือในเชิงวิชาการต่อบทบาทของสถาบันฯ แม้ว่าหนังสือ The King Never Smiles จะถูกแบนในประเทศไทย

เนื้อหาในหนังสือส่วนมากก็ถูกเขียนขึ้นในภาษาไทยโดยนักวิชาการไทยแล้ว พวกเขาไม่ต้องถูกเซ็นเซอร์ผลงานของเขา - จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อกองทัพไทยได้กล่าวโทษต่อนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, อาจารย์โพรเฟสเซอร์มหาลัย, ผู้ซึ่งได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันในงานสัมนาอันหนึ่ง ในช่วงเหตุการณ์การเปลี่ยนผ่านในประเทศไทย ความกระตือรือร้นที่เกินเหตุของกลุ่มผู้ปกป้องสถาบันบางส่วน อาจจะดูเหมือนเป็นการกระทำที่ซื่อตรงและมีเจตนาที่ดี แต่ผลลัพธ์ของการกระทำเช่นที่ว่าจะส่งผลบ่อนเซาะอนาคตของสถาบันอันหนึ่งซึ่งยังต้องได้รับการสนับสนุนจากคนไทยส่วนใหญ่ และนั่นก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร, ผู้สืบทอดพระราชสมบัติ ซึ่งยังคงต้องรักษาระดับความรักของปวงประชาชนเฉกเช่นที่มีต่อพระราชบิดา

นาย Streckfuss ได้กล่าวถึงหนทางจำนวนหนึ่งในการสร้างกลไกการหยุดจำนวนคดีหมิ่นฯระหว่างวงนักวิชาการ พวกเขาได้กล่าวรวมถึง การที่คดีจำต้องผ่านการอนุมัติจากสำนักพระราชวังก่อนที่จะไปยังศาล เพื่อที่จะนำกฏหมายดังกล่าวไปอยู่ในระดับมาตรฐานของกฏหมายหมิ่นทั่วไป และลดจำนวนการจับกุมคุมขัง "ปัญหาในการนำเสนอการปฏิรูปดังกล่าวคือ ใครก็ตามที่เสนอจะต้องเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี - หรือจะโดนคดีหมิ่นฯซะเอง" นาย Streckfuss กล่าว

งานท้าทายที่มีต่อผู้นำประเทศไทยคือการค้นหาความกล้าหาญในการที่จะเปิดประเด็นถกเถียงด้วยเหตุผลและเคารพ ในการที่จะดำรงค์สิ่งที่พวกเขาทั้งหลายต้องการที่จะปกป้อง.
http://redusala.blogspot.com

จากเวปไซท์ กระทรวงการต่างประเทศ ..... จริงหรือเท็จ โปรดพิจารณา

Thailand's Foreign Minister Kasit Piromya (R) shakes hands with German foreign undersecretary Cornelia Pieper
RELATED SEARCH RESULTS
  • A GERMAN court on Wednesday ordered the release of an aircraft flown 
    by the Crown Prince impounded in Germany pending a 20 million euro 
    (US$34 million) bank guarantee. The Boeing 737, beonging to Crown 
    Prince Maha Vajiralongkorn, was seized at Munich airport last week 
    in a long-running dispute between Thailand and a German construction firm.
  • German court ordered the release of Boeing 737 aircraft belonging to HRH Crown Prince Maha Vajiralongkorn, but only upon receipt of a 20-million euros (S$34m) bank guarantee. -The Nation/ANN
http://redusala.blogspot.com

Zahlt der Prinz oder zahlt er nicht?
  1. http://www.sueddeutsche.de/thema/Werner_SchneiderGepfändete Boeing gegen Sicherheitsleistung freiZahlt der Prinz oder zahlt er nicht?
    Bewegung in der Affäre um die konfiszierte Boeing: Gegen eine Sicherheit von 20 Millionen Euro darf der thailändische Kronprinz mit dem Flugzeug vom Münchner Airport abheben. Doch es ist fraglich, ob der überhaupt zahlen will. Und plötzlich steht da noch eine zweite Maschine aus Thailand. Von Tobias Dorfer
  2. Gepfändeter Thai-Jet in MünchenSeine Majestät will nicht zahlen
    Massiv hatte sich Thailand dafür eingesetzt, das am Münchner Airport konfiszierte Flugzeug freizubekommen. Nun darf die Boeing gegen eine Sicherheit von 20 Millionen Euro abheben. Doch plötzlich haben es die Thais gar nicht mehr eilig. Denn da ist ja noch ein zweites Flugzeug. Von Tobias Dorfer
  3. Gerichtsvollzieher am FlughafenThailändische Prinzen-Boeing in München gepfändet
    Eine Boeing 737 der Royal Thai Air Force steht am Münchner Flughafen und darf nicht abheben. Der Grund: Ein Insolvenzverwalter hat den Flieger pfänden lassen. Es geht um die Insolvenz eines Großkonzerns - und um sehr viel Geld. Von Tobias Dorfer
  4. Flughafen MünchenKonfiszierte Thai-Boeing provoziert Staatsaffäre
    Der Streit um den gepfändeten Jet des thailändischen Kronprinzen eskaliert: Thailands Außenminister reist nach Berlin und droht mit ernsten Verstimmungen zwischen beiden Ländern. Unterdessen könnte sich das Schicksal des Flugzeugs bald entscheiden.Von Tobias Dorfer
http://redusala.blogspot.com